ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหยุดงานกลางคืนเลย ที่ 7-Twelve กะดึกมันมีจังหวะเฉพาะของมัน—ตอกบัตร จัดของหนีลูกค้าแปลก ๆ วนลูปไปเรื่อย เหมือนกับที่ลาเต้จะมาขโมยหมอนฉันตอนตีสองสิบเจ็ดเป๊ะ ๆ ทุกคืน
Sponsored Ads
แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“กรณ์ น้องชาย!” พี่ต้นพูดแบบหอบ ๆ น้ำเสียงตื่นเต้น “วงเราได้เล่นสดว่ะ ศุกร์นี้ 3 ทุ่ม ร้านจริงจังเลยนะ ลำโพงก็ไม่มีเสียงซ่าเวลาพูดตัว S แล้วด้วย!”
“แล้วจะให้ผมไปด้วยเหรอ?”
“ล้อเล่นปะเนี่ย? นายต้องไปอยู่แล้ว เราจะเล่น คนไม่มีสิทธิ์ ครั้งแรกเลย สด ๆ อยากให้นายอยู่ตรงนั้น”
เขาไม่ได้พูดโต้ง ๆ หรอก แต่ในน้ำเสียงมันมีบางอย่างที่อุ่น ๆ คล้ายความหวังปนกับความภูมิใจ
เหมือนว่าแค่ได้ยินเพลงนั้นแบบสด ๆ อาจทำให้ฉันจำได้ว่า บางที—แค่บางที—ฉันอาจเป็นมากกว่าพนักงานพาร์ตไทม์ที่ใช้ Cakewalk เถื่อน กับมีแมวที่มองฉันเหมือนมนุษย์ไร้ประโยชน์
ฉันต้องหาข้ออ้างที่ฟังดูน่าเชื่อพอจะเบี้ยวงานได้ แต่น่าเสียดายที่ “ธีร์” ผู้จัดการเคร่ง ๆ ของฉัน ไม่ใช่คนที่จะหลอกง่าย ๆ
“อยากหยุดคืนวันศุกร์เหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้วสูงจนแทบทะลุเพดาน
“เรื่องครอบครัวฉุกเฉินครับ” ฉันตอบพร้อมลดเสียงลงหนึ่งระดับให้ดูซีเรียส
“หืม? ครอบครัวฉุกเฉินแบบไหน?”
ฉันลังเลนิดหนึ่ง “แบบ…ทางอารมณ์น่ะครับ”
“อารมณ์?”
“ลูกพี่ลูกน้องที่เชียงรายจะแต่งงาน แต่เรื่องมันซับซ้อน มีอารมณ์ค้าง ๆ คา ๆ แฟนเก่าเจ้าสาวยังรักอยู่ แล้วพวกเขาก็อยากให้ฉันแต่งเพลงงานแต่งให้”
ผู้จัดการธีร์มองหน้าฉันนิ่ง ๆ
“ก็ได้” เขาพูดหลังเงียบไปนาน “แต่ถ้านายโกหก แล้วฉันได้ยินเสียงนายจากวิทยุอีกนะ ฉันจะสับกะนายให้ไปถูพื้นตลอดชีวิต”
“ครับ!” ฉันรีบตอบก่อนจะรีบเผ่นออกจากร้าน
พอกลับถึงบ้าน ฉันก็เดินวนรอบห้อง พยายามเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับบทบาทนักแต่งเพลงตกอับ/โปรดิวเซอร์พาร์ตไทม์/พนักงานกะดึก ที่จะไปดูโชว์แรกของเพลงที่ตัวเองแต่งแบบ “จริงจัง”
ลาเต้มองจากบนไมโครเวฟที่เขาครอบครองเป็นบัลลังก์ส่วนตัว กระพริบตาช้า ๆ
“เสื้อยีนส์ตัวนี้มันเว่อร์ไปมั้ย?” ฉันถาม พลางหยิบแจ็คเก็ตที่ใส่ไม่ได้พอดีมาตั้งแต่ปี 2541
เขาหาววว…
“แล้วเสื้อเชิ้ตลายสก็อตล่ะ? มันดู ‘หนุ่มผู้อ่อนไหว’ เกินไปมั้ย?”
เขากลิ้งตัวแล้วหลับเฉย
สุดท้ายฉันก็เลือกเสื้อยืดสีดำเรียบ ๆ กางเกงยีนส์ และหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มันดูเหมาะสมดี
ก่อนออกจากบ้าน ฉันให้ลาเต้กินทูน่าพิเศษอีกช้อนหนึ่ง แล้วกระซิบว่า “อวยพรให้ฉันด้วยนะ”
แน่นอนว่าเขาไม่ตอบ…แต่ในใจฉันเชื่อว่าเขาอวยพรแล้ว
Sponsored Ads
———————
บาร์ไร้ชื่อ (และพัดลมเพดานที่มีมากเกินไป)
สถานที่ที่เราจะเล่นชื่อว่า “Juke Joint” แต่ป้ายไฟนีออนหน้าร้านดันพังจนเหลือแค่ “UKE OINT” ดูเหมือนรหัสลับใต้ดินสำหรับศิลปินขาลงและนักดนตรีมือสอง
ข้างใน บรรยากาศเต็มไปด้วยควันบุหรี่ เบียร์ และความฝันที่ถูกเลื่อนออกไป เวทีเตี้ย ๆ อยู่ตรงมุมร้าน ล้อมรอบด้วยแอมป์เก่าที่น่าจะผ่านอะไรมาหลายยุคหลายสมัย ลูกค้านั่งจิบเหล้าถูก ๆ ที่โต๊ะเหล็ก เสียงพูดคุยปนเสียงหัวเราะประสานไปกับพลังไฟฟ้าในอากาศ—แบบที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อบางอย่างจริงจังกำลังจะเริ่มต้น
ฉันมองเห็นพี่ต้นอยู่แถวบาร์ กำลังตั้งสายกีตาร์อย่างจริงจัง ฝ้ายก็นั่งอยู่ข้าง ๆ จิบโค้กจากแก้วพลาสติก หลับตา พึมพำเนื้อเพลงอย่างตั้งใจ บอล เอก และแดงก็อยู่ที่กลองและแอมป์เบส เล่นสเกลไปมาแบบครึ่งขำครึ่งตื่นเต้น
พอพี่ต้นเห็นฉัน เขาก็ยิ้มกว้างออกมา
“มาจนได้นะ!” เขาพูด พลางจับไหล่ฉันแน่น “ดูไม่ได้นอนเลยนะ”
“ก็ไม่ได้นอนจริง ๆ นั่นแหละ” ฉันตอบ “เพราะผมตั้งใจ”
เขาหัวเราะออกมา และเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ประชด
ชื่อวงคือ “Ton & The Temporarys” สะกดด้วย Y แทนที่จะเป็น I เพราะตามที่บอลบอกไว้ “เราทุกคนก็แค่ชั่วคราวในโลกนี้”
คำพูดสุดลึกซึ้งนั้นตามมาด้วยเสียงเรอ และการให้แตะมือกันหนึ่งที
พวกเขาเริ่มด้วยเพลงคัฟเวอร์สองเพลง—เพลงร็อกไทยมาตรฐานที่คนฟังเริ่มโยกตัวตามได้ จากนั้นก็ตามด้วยเพลงต้นฉบับที่ยังแต่งไม่เสร็จดี ฟังดูหม่น ๆ แต่น่าสนใจ
และจากนั้น… เวลาก็มาถึง
พี่ต้นก้าวไปที่ไมโครโฟน
“เพลงต่อไปนี้” เขาพูด “พิเศษหน่อย ชื่อว่า คนไม่มีสิทธิ์ แต่งโดยคนที่เข้าใจดีว่าการไม่มีอะไรเลย แต่ยังกล้าที่จะร้อง มันรู้สึกยังไง เพลงนี้เพื่อทุกคนที่ไม่เคยมีตัวตน”
ผู้ชมเงียบลงทันที
แล้วเสียงกีตาร์คอร์ดแรกก็ดังขึ้น
Sponsored Ads
———————
คนไม่มีสิทธิ์ (สด และมีชีวิต)
มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ
อินโทรเร็วไปนิด บอลพลาดจังหวะ ฝ้ายเข้าจังหวะก่อนกำหนดนิดหน่อย
แต่สิ่งที่สวยงามก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี
เพลง—เพลงของฉัน—ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากเวทีอย่างสง่างาม พี่ต้นร้องด้วยเสียงแหบที่แตกระหว่างท่อน แต่กลับพาเอาน้ำหนักของเนื้อร้องทั้งหมดไปด้วย เหมือนคนที่เคยผ่านทุกประโยคในเพลงมาจริง ๆ
เสียงประสานของฝ้ายยกระดับท่อนฮุกขึ้นไปอีก เอกเล่นเบสแบบนิ่งแต่มั่นคง ส่วนกีตาร์ของแดงพุ่งทะยานในท่อนบริดจ์เหมือนต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
และพอท่อนฮุกมาถึง— 🎶 “คนอย่างเรา ต้องยอมอดทน…” 🎶 —ฉันก็เห็นผู้ชมเริ่มพยักหน้าตาม บางคนหลับตา ปล่อยให้ดนตรีโอบกอดพวกเขาไว้ เหมือนความเจ็บปวดร่วมกันที่ไม่มีใครพูดแต่ทุกคนเข้าใจ
มันไม่ได้หวือหวา มันไม่ได้ไร้ที่ติ
แต่มัน “จริง”
และมันทำให้ลำคอฉันจุกขึ้นมาแบบที่อธิบายไม่ถูกเลยจริง ๆ
พอเพลงจบ ทุกอย่างเงียบไปชั่วครู่—ก่อนที่เสียงปรบมือจะตามมา ไม่ใช่เสียงปรบมือแบบมารยาท ไม่ใช่แบบขอไปที แต่มันคือเสียงปรบมือที่จริงใจ เป็นเสียงที่บอกว่า “เฮ้ เพลงนี้…มันโดน”
ฉันยืนอยู่ด้านหลัง พยายามไม่ทำหน้าภูมิใจ แต่ก็ล้มเหลวแบบไม่ต้องสงสัย
Sponsored Ads
หลังจากเล่นจบ พี่ต้นเดินเข้ามาหา เหงื่อท่วม แต่แววตาเป็นประกาย มือถือขวดเบียร์ลีโอที่ดื่มไปครึ่งหนึ่ง
“ได้ยินแล้วใช่ไหม” เขาถาม
“ได้ยินแล้ว”
“คิดว่าไงบ้าง?”
ฉันเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
“ผมว่าพี่ทำให้เดโมห่วย ๆ ของผผมฟังดูเหมือนบทสวด”
เขาหัวเราะ “แต่มันก็เพลงของนาย กรณ์”
“ไม่ใช่แล้ว” ฉันตอบ “ตอนนี้มันเป็นเพลงของพวกเราทุกคน”
ฉันเดินกลับบ้านใต้แสงไฟโซเดียมกระพริบ ๆ ของกรุงเทพฯ เมืองที่ยังคงฮัมบทกล่อมยามเที่ยงคืนตามแบบฉบับของมัน โทรศัพท์สั่นเตือนสายที่ไม่ได้รับจากพี่ธีร์ ฉันไม่รับ
ลาเต้ต้อนรับฉันด้วยการทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างโอเวอร์ดราม่า เรียกร้องความรักทันทีเหมือนเจ้านายที่รอข้ารับใช้กลับมา
“วันนี้การแสดงดีมากเลยนะ” ฉันบอกมัน พลางเกาหัวให้ “แต่นายพลาดซะแล้ว… แต่ก็ให้อภัยละกัน”
มันส่งเสียงครางพึงพอใจในลำคอ
ฉันนั่งลงข้างลาเต้ บนพื้นห้องเช่าในคืนที่เหนื่อย กีตาร์อยู่ในมือ โน้ตเพลงยังยัดไว้ในกระเป๋าหลัง และเป็นครั้งแรกในรอบนานมาก น้ำหนักที่กดลงบนอกฉัน…
ไม่ได้รู้สึกหนักเลย
มันรู้สึก…เต็มเปี่ยม