018-กรณ์หยุดกะกลางคืน (หรือ คืนแรกที่ฉันได้ยินเพลงตัวเองแบบสด ๆ แล้วไม่อยากฝังหน้าลงพื้น)

ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหยุดงานกลางคืนเลย ที่ 7-Twelve กะดึกมันมีจังหวะเฉพาะของมัน—ตอกบัตร จัดของหนีลูกค้าแปลก ๆ วนลูปไปเรื่อย เหมือนกับที่ลาเต้จะมาขโมยหมอนฉันตอนตีสองสิบเจ็ดเป๊ะ ๆ ทุกคืน

Sponsored Ads

แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“กรณ์ น้องชาย!” พี่ต้นพูดแบบหอบ ๆ น้ำเสียงตื่นเต้น “วงเราได้เล่นสดว่ะ ศุกร์นี้ 3 ทุ่ม ร้านจริงจังเลยนะ ลำโพงก็ไม่มีเสียงซ่าเวลาพูดตัว S แล้วด้วย!”

“แล้วจะให้ผมไปด้วยเหรอ?”

“ล้อเล่นปะเนี่ย? นายต้องไปอยู่แล้ว เราจะเล่น คนไม่มีสิทธิ์ ครั้งแรกเลย สด ๆ อยากให้นายอยู่ตรงนั้น”

เขาไม่ได้พูดโต้ง ๆ หรอก แต่ในน้ำเสียงมันมีบางอย่างที่อุ่น ๆ คล้ายความหวังปนกับความภูมิใจ

เหมือนว่าแค่ได้ยินเพลงนั้นแบบสด ๆ อาจทำให้ฉันจำได้ว่า บางที—แค่บางที—ฉันอาจเป็นมากกว่าพนักงานพาร์ตไทม์ที่ใช้ Cakewalk เถื่อน กับมีแมวที่มองฉันเหมือนมนุษย์ไร้ประโยชน์

ฉันต้องหาข้ออ้างที่ฟังดูน่าเชื่อพอจะเบี้ยวงานได้ แต่น่าเสียดายที่ “ธีร์” ผู้จัดการเคร่ง ๆ ของฉัน ไม่ใช่คนที่จะหลอกง่าย ๆ

“อยากหยุดคืนวันศุกร์เหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้วสูงจนแทบทะลุเพดาน

“เรื่องครอบครัวฉุกเฉินครับ” ฉันตอบพร้อมลดเสียงลงหนึ่งระดับให้ดูซีเรียส

“หืม? ครอบครัวฉุกเฉินแบบไหน?”

ฉันลังเลนิดหนึ่ง “แบบ…ทางอารมณ์น่ะครับ”

“อารมณ์?”

“ลูกพี่ลูกน้องที่เชียงรายจะแต่งงาน แต่เรื่องมันซับซ้อน มีอารมณ์ค้าง ๆ คา ๆ แฟนเก่าเจ้าสาวยังรักอยู่ แล้วพวกเขาก็อยากให้ฉันแต่งเพลงงานแต่งให้”

ผู้จัดการธีร์มองหน้าฉันนิ่ง ๆ

“ก็ได้” เขาพูดหลังเงียบไปนาน “แต่ถ้านายโกหก แล้วฉันได้ยินเสียงนายจากวิทยุอีกนะ ฉันจะสับกะนายให้ไปถูพื้นตลอดชีวิต”

“ครับ!” ฉันรีบตอบก่อนจะรีบเผ่นออกจากร้าน

พอกลับถึงบ้าน ฉันก็เดินวนรอบห้อง พยายามเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับบทบาทนักแต่งเพลงตกอับ/โปรดิวเซอร์พาร์ตไทม์/พนักงานกะดึก ที่จะไปดูโชว์แรกของเพลงที่ตัวเองแต่งแบบ “จริงจัง”

ลาเต้มองจากบนไมโครเวฟที่เขาครอบครองเป็นบัลลังก์ส่วนตัว กระพริบตาช้า ๆ

“เสื้อยีนส์ตัวนี้มันเว่อร์ไปมั้ย?” ฉันถาม พลางหยิบแจ็คเก็ตที่ใส่ไม่ได้พอดีมาตั้งแต่ปี 2541

เขาหาววว…

“แล้วเสื้อเชิ้ตลายสก็อตล่ะ? มันดู ‘หนุ่มผู้อ่อนไหว’ เกินไปมั้ย?”

เขากลิ้งตัวแล้วหลับเฉย

สุดท้ายฉันก็เลือกเสื้อยืดสีดำเรียบ ๆ กางเกงยีนส์ และหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มันดูเหมาะสมดี

ก่อนออกจากบ้าน ฉันให้ลาเต้กินทูน่าพิเศษอีกช้อนหนึ่ง แล้วกระซิบว่า “อวยพรให้ฉันด้วยนะ”

แน่นอนว่าเขาไม่ตอบ…แต่ในใจฉันเชื่อว่าเขาอวยพรแล้ว

Sponsored Ads

———————

บาร์ไร้ชื่อ (และพัดลมเพดานที่มีมากเกินไป)

สถานที่ที่เราจะเล่นชื่อว่า “Juke Joint” แต่ป้ายไฟนีออนหน้าร้านดันพังจนเหลือแค่ “UKE OINT” ดูเหมือนรหัสลับใต้ดินสำหรับศิลปินขาลงและนักดนตรีมือสอง

ข้างใน บรรยากาศเต็มไปด้วยควันบุหรี่ เบียร์ และความฝันที่ถูกเลื่อนออกไป เวทีเตี้ย ๆ อยู่ตรงมุมร้าน ล้อมรอบด้วยแอมป์เก่าที่น่าจะผ่านอะไรมาหลายยุคหลายสมัย ลูกค้านั่งจิบเหล้าถูก ๆ ที่โต๊ะเหล็ก เสียงพูดคุยปนเสียงหัวเราะประสานไปกับพลังไฟฟ้าในอากาศ—แบบที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อบางอย่างจริงจังกำลังจะเริ่มต้น

ฉันมองเห็นพี่ต้นอยู่แถวบาร์ กำลังตั้งสายกีตาร์อย่างจริงจัง ฝ้ายก็นั่งอยู่ข้าง ๆ จิบโค้กจากแก้วพลาสติก หลับตา พึมพำเนื้อเพลงอย่างตั้งใจ บอล เอก และแดงก็อยู่ที่กลองและแอมป์เบส เล่นสเกลไปมาแบบครึ่งขำครึ่งตื่นเต้น

พอพี่ต้นเห็นฉัน เขาก็ยิ้มกว้างออกมา

“มาจนได้นะ!” เขาพูด พลางจับไหล่ฉันแน่น “ดูไม่ได้นอนเลยนะ”

“ก็ไม่ได้นอนจริง ๆ นั่นแหละ” ฉันตอบ “เพราะผมตั้งใจ”

เขาหัวเราะออกมา และเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ประชด

ชื่อวงคือ “Ton & The Temporarys” สะกดด้วย Y แทนที่จะเป็น I เพราะตามที่บอลบอกไว้ “เราทุกคนก็แค่ชั่วคราวในโลกนี้”

คำพูดสุดลึกซึ้งนั้นตามมาด้วยเสียงเรอ และการให้แตะมือกันหนึ่งที

พวกเขาเริ่มด้วยเพลงคัฟเวอร์สองเพลง—เพลงร็อกไทยมาตรฐานที่คนฟังเริ่มโยกตัวตามได้ จากนั้นก็ตามด้วยเพลงต้นฉบับที่ยังแต่งไม่เสร็จดี ฟังดูหม่น ๆ แต่น่าสนใจ

และจากนั้น… เวลาก็มาถึง

พี่ต้นก้าวไปที่ไมโครโฟน

“เพลงต่อไปนี้” เขาพูด “พิเศษหน่อย ชื่อว่า คนไม่มีสิทธิ์ แต่งโดยคนที่เข้าใจดีว่าการไม่มีอะไรเลย แต่ยังกล้าที่จะร้อง มันรู้สึกยังไง เพลงนี้เพื่อทุกคนที่ไม่เคยมีตัวตน”

ผู้ชมเงียบลงทันที

แล้วเสียงกีตาร์คอร์ดแรกก็ดังขึ้น

Sponsored Ads

———————

คนไม่มีสิทธิ์ (สด และมีชีวิต)

มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ

อินโทรเร็วไปนิด บอลพลาดจังหวะ ฝ้ายเข้าจังหวะก่อนกำหนดนิดหน่อย

แต่สิ่งที่สวยงามก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี

เพลง—เพลงของฉัน—ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากเวทีอย่างสง่างาม พี่ต้นร้องด้วยเสียงแหบที่แตกระหว่างท่อน แต่กลับพาเอาน้ำหนักของเนื้อร้องทั้งหมดไปด้วย เหมือนคนที่เคยผ่านทุกประโยคในเพลงมาจริง ๆ

เสียงประสานของฝ้ายยกระดับท่อนฮุกขึ้นไปอีก เอกเล่นเบสแบบนิ่งแต่มั่นคง ส่วนกีตาร์ของแดงพุ่งทะยานในท่อนบริดจ์เหมือนต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง

และพอท่อนฮุกมาถึง— 🎶 “คนอย่างเรา ต้องยอมอดทน…” 🎶 —ฉันก็เห็นผู้ชมเริ่มพยักหน้าตาม บางคนหลับตา ปล่อยให้ดนตรีโอบกอดพวกเขาไว้ เหมือนความเจ็บปวดร่วมกันที่ไม่มีใครพูดแต่ทุกคนเข้าใจ

มันไม่ได้หวือหวา มันไม่ได้ไร้ที่ติ

แต่มัน “จริง”

และมันทำให้ลำคอฉันจุกขึ้นมาแบบที่อธิบายไม่ถูกเลยจริง ๆ

พอเพลงจบ ทุกอย่างเงียบไปชั่วครู่—ก่อนที่เสียงปรบมือจะตามมา ไม่ใช่เสียงปรบมือแบบมารยาท ไม่ใช่แบบขอไปที แต่มันคือเสียงปรบมือที่จริงใจ เป็นเสียงที่บอกว่า “เฮ้ เพลงนี้…มันโดน”

ฉันยืนอยู่ด้านหลัง พยายามไม่ทำหน้าภูมิใจ แต่ก็ล้มเหลวแบบไม่ต้องสงสัย

Sponsored Ads

หลังจากเล่นจบ พี่ต้นเดินเข้ามาหา เหงื่อท่วม แต่แววตาเป็นประกาย มือถือขวดเบียร์ลีโอที่ดื่มไปครึ่งหนึ่ง

“ได้ยินแล้วใช่ไหม” เขาถาม

“ได้ยินแล้ว”

“คิดว่าไงบ้าง?”

ฉันเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา

“ผมว่าพี่ทำให้เดโมห่วย ๆ ของผผมฟังดูเหมือนบทสวด”

เขาหัวเราะ “แต่มันก็เพลงของนาย กรณ์”

“ไม่ใช่แล้ว” ฉันตอบ “ตอนนี้มันเป็นเพลงของพวกเราทุกคน”

ฉันเดินกลับบ้านใต้แสงไฟโซเดียมกระพริบ ๆ ของกรุงเทพฯ เมืองที่ยังคงฮัมบทกล่อมยามเที่ยงคืนตามแบบฉบับของมัน โทรศัพท์สั่นเตือนสายที่ไม่ได้รับจากพี่ธีร์ ฉันไม่รับ

ลาเต้ต้อนรับฉันด้วยการทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างโอเวอร์ดราม่า เรียกร้องความรักทันทีเหมือนเจ้านายที่รอข้ารับใช้กลับมา

“วันนี้การแสดงดีมากเลยนะ” ฉันบอกมัน พลางเกาหัวให้ “แต่นายพลาดซะแล้ว… แต่ก็ให้อภัยละกัน”

มันส่งเสียงครางพึงพอใจในลำคอ

ฉันนั่งลงข้างลาเต้ บนพื้นห้องเช่าในคืนที่เหนื่อย กีตาร์อยู่ในมือ โน้ตเพลงยังยัดไว้ในกระเป๋าหลัง และเป็นครั้งแรกในรอบนานมาก น้ำหนักที่กดลงบนอกฉัน…

ไม่ได้รู้สึกหนักเลย

มันรู้สึก…เต็มเปี่ยม