081-เสียงที่ก้าวออกมา

มีตอนเช้าประเภทหนึ่ง ที่จะพบได้แค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น

เช้าที่พัดลมเป็นคนตัดสินแทนคุณ ที่แสงแดดไม่ค่อย “เข้ามาในห้อง” แต่มาแบบเอกสารสอบบัญชี  ที่คุณไม่แน่ใจว่าตื่นจริง ๆ หรือแค่เหนื่อยในท่านอนเท่านั้น

Sponsored Ads

ฉันยันตัวลุกขึ้น 

ลาเต้ยังหลับอยู่ในกระเป๋าแมว ซึ่งตอนนี้วางอยู่บนตู้เย็นแล้ว เหมือนศาลเจ้าแมวขนปุย ๆ สำหรับไว้บูชาแบบ “ไม่แคร์” หูข้างหนึ่งของเขากระตุกเบา ๆ ตอนฉันขยับ นั่นคือการทักทายสูงสุดในระดับลาเต้

ฉันอุ่นข้าวเงี้ยวด้วยไมโครเวฟราคาถูก รุ่นที่หมุนตัวเลขแบบแกล้งแม่น กล่องข้าวเบี้ยวไปหน่อยจากการเดินทาง  แต่เทปข้อความจากแป้งยังแปะอยู่

“(ไม่ต้องคืนกล่องก็ได้)”

ไม่แน่ใจว่านั่นคือความรัก หรือการเหน็บแนม

ระหว่างที่ไมโครเวฟกำลังส่งเสียงหวิว  ฉันเปิดวิทยุ ช่อง 4 ช่องค่าเริ่มต้น สำหรับคนที่ยังไม่ได้จ่ายค่าข่าวแบบรายเดือน เสียงซ่า แล้วตามด้วยเสียงผู้ดำเนินรายการ

“…และในช่วง ‘เสียงจากเมืองใหม่’ เช้านี้ เราจะมาฟังความเห็นของประชาชนต่อเพลงเปิดตัวของนักร้องหน้าใหม่ ไอรี–กับเพลง **‘เจ้าหญิง’** ค่ะ!”

ฉันหยุดเคี้ยวทันที

เพลงนี้ยังไม่ควรจะอยู่ในรายการวิทยุนี่นา  หรืออาจจะควรก็ได้  ใน RB51 ตารางสื่อบางทีก็ขึ้นกับ “อารมณ์” มากกว่าระบบ

เสียงผู้ดำเนินรายการฟังดูเด็กกว่าเส้นมาม่าที่อยู่ในตู้ของฉันฉัน

“เรามีสายจากคุณแป้งหอมจากเขตลาดพร้าวนะคะ—คุณแป้งหอมคิดอย่างไรกับเพลงนี้คะ?”

“ก็… มันฟังง่ายดีค่ะ ฟังแล้วไม่รู้สึกว่าต้องฝืนเป็นคนอื่นตามนักร้อง”

พิธีกรหัวเราะคิกคัก ดังเกินขนาดห้องที่ฉันอยู่

จากนั้นมีอีกสาย

“คือผมว่ามันเหมือนเพลงปลอบใจตัวเอง แต่แบบไม่ได้อ้อน ไม่ขายฝันอะครับ…”

 “ขอบคุณคุณตั้มจากดินแดงค่ะ เอาล่ะ ตอนนี้เรามาฟังเสียงของไอรีกันบ้าง ว่าทำไมเธอถึงเลือกเพลงนี้เป็นเพลงเปิดตัว…”

เกิดความเงียบเล็กน้อย  แล้วก็เป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินนอกห้องซ้อม

“เพราะฉันไม่อยากร้องเพลงที่ให้คนมองขึ้นมาอีกแล้วค่ะ” 

“เพลงนี้ไม่ถามว่าฉันพอหรือยัง มันแค่บอกว่า ฉันเป็นเจ้าหญิงแบบที่ฉันเป็นได้”

ห้องทั้งห้องเงียบลง เหลือแค่เสียงหึ่ง ๆ ไม่เสมอของตู้เย็น

เธอพูดแบบไม่มีลีลา  และไม่จำเป็นต้องมี มันชัดกว่าเพราะไม่ได้พยายามจะชัด

“มันไม่ใช่เพลงรักคนอื่น… มันคือเพลงที่รักตัวเอง แล้วบอกให้คนอื่นหยุดถาม”

ฉันไม่ได้ยิ้ม แต่ข้าวในปากก็รู้สึกอุ่นขึ้นนิดหน่อย

Sponsored Ads

———————

เสียงที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ข้าวหมดแล้ว แต่วิทยุยังเปิดอยู่

“…และตอนนี้ เรามีข้อความจากกระทู้ชาวเน็ตที่เลือกมาพิเศษค่ะ เริ่มจากคุณ @น้องไม่ฝันแล้ว จากเชียงใหม่…” 

“‘ตรงท่อนที่ร้องว่า “ได้ใช้ชีวิตอันเป็นจริง เป็นแค่ผู้หญิงที่แสนธรรมดา” ฟังแล้วเหมือนมีใครเอามือแตะไหล่เราเบา ๆ ตอนนั่งรถเมล์เลยค่ะ“

มีสายเข้ามาอีก

“คือเพลงนี้มันพูดเหมือนเราคุยกับเพื่อนอะครับ” 

“ตอนฟังว่า ‘ปวดท้องก็ทนไป’ แล้วแบบ… เฮ้ย นี่มันชีวิตจริงของคนไม่มีสิทธิเลือกเลยนะ”

ฉันเอนหลังพิงกำแพง  พัดลมหมุนช้า ๆ พร้อมเสียงหวิวแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความเห็นของตัวเอง

ลาเต้ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ในกระเป๋า เหยียดขาออกมาหนึ่งข้าง เหมือนกำลังยอมแพ้ให้แรงโน้มถ่วงในเชิงปรัชญา

เสียงอีกสายดังขึ้น เสียงฟังดูเด็กกว่าเดิม

“‘ฉันรู้ว่าฉันมันเป็นใคร’ ฟังแล้วแบบ… ไม่ใช่การยอมแพ้อะค่ะ แต่เป็นแบบยอมรับ แล้วไม่ง้อใคร” 

“อยู่อย่างนี้ก็สบาย สุขทุกข์ไม่เป็นไร—แม่หนูฟังแล้วเงียบเลยนะคะพี่!”

พิธีกรหัวเราะออกมาอีกครั้ง เบากว่าเดิม ไม่ใช่แบบหยอก ฟังเหมือนเธอหยุดอ่าน แล้วเริ่มฟังจริง ๆ

ฉันไม่ขยับ ไม่ได้จด  ไม่ได้เปิดโฟลเดอร์งานของเพลงนี้ แม้แต่เพราะอยากภูมิใจ มันไม่ใช่ของฉันอีกแล้ว นั่นแหละประเด็น

มีท่อนหนึ่งในเพลงนี้  จริง ๆ แล้วก็หลายท่อน ที่ไอรีไม่ได้ “ขึ้นเสียงโน้ตสูง” เธอแค่…พูดมัน

🎶 “ได้พบความรักอันลวงลวง ก็แค่เก็บมันจับโยนไว้ใต้เตียง บอกลา แล้วปิดไฟ” 🎶

มีคอมเมนต์หนึ่งอ่านท่อนนี้ออกมาอีกครั้ง  ช้า ๆ เหมือนอ่านบทสวด

“‘บอกลา แล้วปิดไฟ’ นี่คือวิธีเลิกรักที่ดีที่สุดในยุคนี้ครับ ไม่ดราม่า ไม่บล็อก ไม่ร้องไห้ คือเก็บ โยน แล้วนอน”

ฉันยิ้มเล็ก ๆ

ไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เข้าใจเพลง แต่เพราะพวกเขาไม่พยายาม “เก่งกว่า” เพลงนั้น

พวกเขาแค่ปล่อยให้มันพูด

Sponsored Ads

———————

คลิก แล้ว ส่ง

พัดลมตัวนั้นยอมแพ้แล้ว มันไม่ได้เสียหรอก แค่ล้า หมุนไปด้วยจังหวะของคนที่ทำต่อเพียงเพราะไม่มีใครบอกให้หยุด

ฉันเสียบ โมเด็มแบบ 56k เสียงเชื่อมต่อเหมือนจุดชนวนระเบิดใต้น้ำ

คลิก—แคร่ก—วืดดดดด—ปี๊งงง—ชชชชชช…

เสียงแบบนี้ต่อเน็ตแล้ว ในทางทฤษฎี

โน้ตบุ๊กยังมีกลิ่นจาง ๆ ของกาแฟตามสถานีรถไฟกับฝุ่นจากภาคเหนือ ฉันเปิดเครื่อง พิมพ์รหัสผ่าน แล้วคลิกเข้า mail ระบบถามย้ำอีกครั้ง ระบบรักษาความปลอดภัยแบบราชการ กรองด้วยความเบื่อหน่าย

ฉันแก้ชื่อไฟล์ใหม่ไว้ตั้งแต่เช้า `ใต้เสา.doc` 

ไม่มีพิมพ์ใหญ่ ไม่มีเวอร์ชันเลข 

จบก็คือจบ

จากนั้นฉันก็เปิดอีเมลขึ้นมา

To: วารสารมองมารายเดือน
Subject: ส่งเรื่องสั้น: ใต้เสา / ตะวันหลงทาง
Attachment: ใต้เสา.doc

ไม่มีจดหมายปะหน้า  ไม่มีข้อความส่วนตัวเกี่ยวกับ “ที่มาของไอเดีย”

แต่ฉันพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ไว้ในเนื้ออีเมล ไม่ใช่เพื่ออธิบาย แค่ให้บริบทบางอย่างเบา ๆ:

“เรื่องนี้เขียนจากความเงียบ ไม่ได้เขียนเพื่อดังกว่าใคร เขียนเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเล่า 

— ตะวันหลงทาง”

ฉันอ่านซ้ำ ไม่ใช่เพราะลังเล แค่ติดนิสัย เหมือนตอนมองซ้ายขวาบนถนนที่ไม่มีรถฝั่งตรงข้าม ลาเต้เปลี่ยนจากขอบหน้าต่างมานอนบนพื้นกระเบื้อง เขาเหยียดตัวยาว แล้วทิ้งตัวลงข้างเดียว เหมือนจักรพรรดิที่เกษียณแล้วเพิ่งค้นพบว่าเซรามิกเย็นกว่าไม้

ฉันมองเขา

“จะตัดสินฉันไหมถ้ากดส่ง?”

เขากลิ้งตัวหงายพุง นั่นอาจแปลว่า ส่งเลย หรือ หิวแล้ว กับเขา ส่วนมากคือทั้งสองอย่าง

ฉันเลื่อนเมาส์ไปวางเหนือปุ่ม “ส่ง”

บางคนเปรียบการส่งงานออกไปว่า “ปล่อยนก”  สำหรับฉัน มันเหมือนโยดกระดาษลอยน้ำท่วม  แล้วคอยดูว่าจะลอย… หรือจมหาย

ฉันคลิก

แถบอัปโหลดปรากฏ  อินเตอร์เน็ตไม่เร็ว แต่ซื่อตรง อย่างน้อย… มันทำให้คุณรู้ว่ามันช้าแค่ไหน

ขณะรอ ฉันเอนหลังพิงกำแพง มองตรงไปข้างหน้า

ตรงนั้นมีโปสเตอร์ซีด ๆ โปสเตอร์คอนเสิร์ตของวงที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว สไตล์ฟรีแฮนด์แบบข้างถนน ที่มีท่าทีมากกว่าระเบียบ แบบที่เราจะนึกถึง…เมื่อมันหายไปแล้ว

ฉันเคยส่งงานไปวารสารมองมาหลายครั้ง แต่เรื่องนี้รู้สึกต่าง ไม่ใช่เพราะเขียนดีขึ้น แต่เพราะมันไม่ได้เป็นหนี้ใคร

“ใต้เสา” ไม่ฉลาด  ไม่เศร้า มันแค่อยู่

ซึ่งสำหรับฉัน  นั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุดที่คนเขียนจะเขียนได้

เสียง “ติง” เบา ๆ ดังขึ้น  ไฟล์ถูกส่งเรียบร้อย

ฉันไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้เอนหลังอย่างผู้ชนะ

แค่ปิดฝาโน้ตบุ๊กเบา ๆ เหมือนปิดหน้าหนังสือที่ไม่จำเป็นต้องถูกเปิดค้างไว้อีกต่อไปลาเต้ที่ตอนนี้ไปนอนอยู่ใต้โต๊ะ  ส่งเสียงบางอย่าง ระหว่างหาวกับถอนใจ เขามองฉัน 

ไม่อยากรู้ ไม่ภูมิใจ แค่อยู่ด้วย แค่นั้นก็พอ

ฉันถอดปลั๊กโมเด็ม  เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ปล่อยให้ความร้อนของเมืองไหลกลับเข้ามา

ที่ไหนสักแห่ง ในกล่องจดหมายที่อาจไม่มีใครเช็คมาหลายวัน มีไฟล์ชื่อเหมือนเสียงที่เคยถูกฝัง รออยู่แล้ว

ไม่ได้ร้องเรียก  แค่…รออยู่

Sponsored Ads

———————

เจ้าหญิง นักลอก และหมูปิ้ง

แผนของฉันคือไปซื้อไข่

แค่ไข่

แต่กรุงเทพฯ ไม่เคยให้คุณทำภารกิจไหนได้จบโดยไม่แถมเควสต์ข้างทาง กว่าฉันจะถึงซอยใกล้ร้าน ก็ต้องหลบท่อประปาแตก  เด็กอีกสามล้อหน้าตาเหมือนมีแผนฆาตกรรม  กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โผล่มาแบบไม่มีเสียง เดินตรวจสายราวตากผ้าเหมือนมันฝังไมโครชิปไว้

ร้านวิทยุมุมซอยยังเปิดลำโพงสามตัวติดเสาไว้เหมือนบูชาเทพดีเจที่ไม่มีใครจำชื่อ ทุกตัวเปิดวิทยุช่อง 4 พร้อมเสียงซ่า เสียงแหลมหาย แต่ก็พอดีกับถนนแบบนี้แปลก ๆ แล้วท่ามกลางเสียงช็อต… ฉันก็ได้ยินอีกครั้ง

🎶 “ได้ใช้ชีวิตอันเป็นจริง เป็นแค่ผู้หญิงที่แสนธรรมดา ไม่หนีไปกว่าใคร” 🎶

เสียงของไอรี เพี้ยนเล็กน้อยจากลำโพงเก่า แต่ยังคงเหมือนใครวางแก้วน้ำเต็มลงบนโต๊ะหลังเดินไกล

ฉันชะลอฝีเท้า ไม่ใช่เพราะอยากฟัง แค่เพราะความจำของกล้ามเนื้อตอนนี้ แต่ชายสองคนหน้ารถเข็นหมูปิ้งตรงหัวมุม ไม่พยายามลดเสียงเลย

“มึงว่ามันเหมือนกันมั้ย? กูฟังแล้วแบบ เฮ้ย… มันโครงเดียวกับ ‘เจ้าหญิงคนต่อไป’ เป๊ะเลยนะเว้ย!”

“เหรอวะ? ของอันนั้นมันมีหอคอย มีเจ้าชาย มีเลือดสาด… อันนี้มันแค่บอกไม่อยากรอใครไม่ใช่เหรอ?”

“เออนั่นแหละ! มันแค่เอาของคนอื่นมาย่อ แล้วทำเป็นอินดี้!”

คนหนึ่งหยิบไม้เสียบหมูปิ้ง และตะโกนพร้อมลูกชิ้นอยู่ในปาก

“แถมยังใช้ชื่อเพลงซ้ำกันอีก! ‘เจ้าหญิง’ นี่มันจะไม่ตั้งใจได้ไงวะ!”

แม่ค้าหมูปิ้งไม่ตอบ แค่พลิกไม้ด้วยท่าทางของคนที่ได้ยินประเด็นนี้ทุกสองชั่วโมงตั้งแต่เช้า

“ถ้ามึงจะไม่รอเจ้าชาย ก็อย่ามาเรียกตัวเองว่าเจ้าหญิงดิ ไม่งั้นมันก็เหมือนดูถูกเทพนิยายอะ มึงเข้าใจมั้ย”

“อ้าว… แล้วถ้ามีคนอยากเป็นเจ้าหญิงแบบไม่มีเจ้าชายล่ะ?”

“อันนั้นมันเรียกว่า ‘ปลอมตัวตนเพื่อขายจุดยืน’ ป่ะวะ”

ฉันไม่พูดอะไร เพราะจะพูดอะไรได้?

ถ้าเพลงอย่าง “เจ้าหญิง” โดนกล่าวหาว่าลอก “เจ้าหญิงคนต่อไป”  บางทีอาชญากรรมจริง ๆ อาจคือ…เรายังเชื่อว่าเสียงหนึ่ง  ต้องรออนุญาตจากอีกเสียงหนึ่งถึงจะมีอยู่ได้

แต่ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้ความรู้ใครกลางกลิ่นหมูย่าง ฉันเดินไป ร้านโชห่วยข้าง ๆ หยิบมาม่ามาหนึ่งห่อเพื่อให้ภารกิจวันนี้ไม่เปล่าประโยชน์

ตอนเดินกลับ เสียงท้ายเพลงของไอรีลอยตามหลังมา

🎶 “ได้พบความรักอันลวงลวง ก็แค่เก็บมันจับโยนไว้ใต้เตียง บอกลา แล้วปิดไฟ หลับ ตา เพื่อ ตื่น มา เริ่ม ต้น ใหม่” 🎶

เด็กหญิงตัวเล็กถือลูกโป่งอยู่หน้าร้านวิทยุ เงยหน้ามองลำโพงแล้วถามลอย ๆ

“เพลงนี้เศร้ารึเปล่าแม่?”

แม่เธอไหล่ตกนิด ๆ ตอบเบา ๆ

“เพลงมันเงียบเฉย ๆ นะะลูก… ไม่ได้เศร้า แต่ก็ไม่ได้ปลอม”

ฉันไม่หันกลับไปมอง

Sponsored Ads