กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่คุณต้องทำใจยอมรับว่าบางอย่างมันไม่สมเหตุสมผล ถนนเต็มไปด้วยตุ๊กตุ๊ก ศาลเจ้าซ่อนตัวอยู่ระหว่างตึกสำนักงาน และอากาศหนาจนแทบเคี้ยวได้ แต่บางอย่างมันก็โดดเด่นเกินจะมองข้ามไป เช่น aPhone ต้องคำสาป ผมเพิ่งล็อกร้านเสร็จ โทรศัพท์ในมือก็สั่นอีก ข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักอีกครั้ง
Sponsored Ads
“aPhone มีปัญหา สั่นไม่หยุด ช่วยด้วย”
ผมถอนหายใจ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเป็นแค่การซ่อมง่ายๆ เทคโนโลยีมักเสียแปลกๆ วิญญาณแอบเข้ามาอาศัย และสุดท้ายก็เป็นผมนี่แหละที่ต้องหาทางแก้ นี่คงเป็นผลจากที่ผมเก่งเรื่องซ่อม และพกถุงเครื่องรางกับน้ำมนต์ติดตัวไปทุกที่
ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ตอบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เบอร์เดิม ผมปล่อยให้มันสั่นสองสามครั้งก่อนจะรับสาย “นี่นาวินครับ รีบพูดเลย ดึกแล้ว”
“คุณคือช่างซ่อมใช่ไหม?” เสียงปลายสายกระซิบ ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ผม…เอ่อ เต๋าเอง โทรศัพท์ผม… คุณช่วยมาได้ไหม? ได้โปรด มันไม่หยุดเลย มันทำให้ผมกลัว”
เสียงของเขาเหมือนคนที่ไม่ได้หลับมาหลายวัน และน้ำเสียงหวาดกลัวของเต๋าทำให้ผมต้องนั่งตัวตรง “ใจเย็นๆ บอกผมว่าอยู่ที่ไหน?”
เขาให้ที่อยู่ห้องพัก และย้ำว่า “รีบมานะ ผมคิดว่ามันกำลังจ้องผมอยู่”
แค่นี้ก็พอให้ผมรู้ว่าต้องไป ถนนในกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่เคสนี้ให้ความรู้สึกแปลก เหมือนปัญหาใหญ่กำลังรอผมอยู่ที่ปลายสาย
Sponsored Ads
นั่นแหละทำให้ผมมายืนอยู่หน้าประตูห้องของเต๋า เหงื่อซึมเต็มเสื้อยืดของผมท่ามกลางอากาศชื้นยามค่ำคืน เต๋าเปิดประตูแง้มมานิดเดียว สายตาลุกลี้ลุกลนเหมือนกำลังคาดหวังว่าจะเจออะไรที่น่ากลัวกว่าผม
“คุณคือนาวิน?” เขากระซิบ
“ตัวจริงเสียงจริง” ผมตอบ “จะให้ผมเข้าไปไหม? หรือว่าเราจะทำเรื่องโทรศัพท์ผีสิงกันที่นี่”
เต๋าไม่ขำ เขาขยับตัวหลบให้เข้ามา พลางหันไปมองข้างหลังอย่างหวาดระแวง ห้องอพาร์ตเมนต์มีกลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและความหวาดกลัว ผมเดินเข้าไป สำรวจความวุ่นวายในห้อง หนังสือเรียนกระจัดกระจายบนพื้น ขวดกระทิงแดงที่ยังไม่ได้เปิดวางกองอยู่บนโต๊ะ และ aPhone สีดำมันวาววางอยู่อย่างน่าขนลุกบนโต๊ะกลาง
“มันยังส่งเสียงอยู่อีก” เต๋าพึมพำ พลางขยี้ผมที่ยุ่งเหยิง “ผมลองทุกอย่างแล้ว รีเซ็ตเครื่อง ดึงซิมออก ปิดเครื่องไปแล้ว แต่มันก็… ไม่หยุดเลย”
“มันไม่หยุดทำอะไร?” ผมถาม พลางทิ้งตัวลงบนโซฟา เต๋าลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์
ทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสมัน หน้าจอสว่างวาบพร้อมเสียงสั่นแรง การแจ้งเตือนหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดจากแอปที่ไม่มีอยู่จริง ข้อความในนั้นเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และคำประหลาด อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เต๋าถือโทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นจนข้อนิ้วขาวโพลน
Sponsored Ads
ผมหยิบโทรศัพท์จากเขามา พลางนึกเสียใจในใจที่มารับเคสนี้ ทันทีที่มันอยู่ในมือผม เสียงสั่นก็หยุดลง หน้าจอก็ดับไป
“แหม ก็จบแบบห้วนๆ ซะงั้น” ผมพูด
จากนั้นหน้าจอก็สว่างขึ้นอีกครั้ง ข้อความแจ้งเตือนเพียงข้อความเดียวโผล่ขึ้นมาที่มุมบนตัวอักษรเปล่งแสงคมชัด
[คุณมาสายเกินไปแล้ว]
ผมหันไปมองเต๋า “เรื่องนี้มันเริ่มเมื่อไหร่?”
“สามวันก่อน” เขากระซิบ พลางนั่งลงที่เก้าอี้อย่างคนจนมุม “มันเริ่มจากข้อความแปลกๆ แบบน่ากลัวนิดหน่อย ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่สแปม แต่หลังๆ มันก็… เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ”
“แปลกยังไง?”
เต๋ากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ “มันรู้ว่าผมจะไปไหน แนะนำที่อยู่เพื่อนให้ก่อนที่ผมจะคิดได้เอง มันรู้ว่าผมคิดอะไรก่อนที่ผมจะคิดซะอีก แล้วตอนนี้มันก็ไม่หยุดเลย”
ผมพลิกโทรศัพท์ไปมาในมือ หน้าจอที่มืดสนิทสะท้อนใบหน้าของผม แต่… เหมือนมีอะไรอยู่ตรงนั้นด้วย ร่างเลือนลางยืนอยู่หลังผมพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว
ผมกะพริบตา แล้วมันก็หายไป
“อืม ไม่หลอนเลยสักนิด” ผมบ่น พลางวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
Sponsored Ads
เต๋ากุมหัวด้วยความสิ้นหวัง “ผมได้ยินเสียงกระซิบตอนกลางคืน มันเรียกชื่อผม มันไม่หยุดสั่น ไม่ว่าจะทำอะไร”
ผมจ้องโทรศัพท์นิ่งๆ เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเอง เว้นแต่จะมีบางอย่างที่เหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักบางอย่าง มีบางสิ่งเกาะติดกับอุปกรณ์นี้ ผมรู้สึกได้ชัดเจน
“เอาล่ะ ลองดูสักหน่อย” ผมพูด ขณะลุกขึ้นยืน
ผมล้วงหยิบขวดน้ำมนต์จากกระเป๋าสะพาย เต๋ามองด้วยตาเบิกกว้าง ผมเปิดจุกภาวนา “ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ…” แล้วหยดน้ำมนต์ลงบนหน้าจอ aPhone น้ำมนต์ส่งเสียงซู่เบาๆ เมื่อกระทบกับกระจก และในเสี้ยววินาทีหน้าจอก็กระพริบอย่างรุนแรง มีสัญลักษณ์และรูปทรงแปลกๆ แวบขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองดูไม่ทัน
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง
“เห็นไหม ไม่มีปัญหาแล้ว” ผมพูด
ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็สั่นอย่างรุนแรง เต๋าส่งเสียงร้องและแทบจะล้มจากเก้าอี้ หน้าจอสว่างขึ้นอีกครั้ง ข้อความตัวหนาปรากฏขึ้นว่า
[เหลือเวลา 72 ชั่วโมง]
“นี่มันหมายความว่ายังไง?” เต๋าพึมพำ
ผมก้มดูตัวเลขบนหน้าจอ [71:59:58] เริ่มนับถอยหลัง มีข้อความบรรทัดล่างสุดเลื่อนผ่านอย่างจางๆ
[ตอนนี้คุณเห็นฉันหรือยัง?]
“อืม อันนี้ไม่เคยเจอ” ผมบ่น
Sponsored Ads
เต๋าหายใจถี่ “แล้วเราจะทำยังไงดี?”
“อย่างแรก เราไม่ต้องตื่นตระหนก” ผมตอบ แม้ว่าความรู้สึกขนลุกที่คอจะบอกว่าการตื่นตระหนกอาจไม่ใช่เรื่องแย่ “อย่างที่สอง เราต้องหาทางหยุดมันก่อนที่เวลาจะหมด เพราะผมไม่คิดว่า aPhone นี้จะส่งข้อความเตือนน่ารักๆ มาบอกเราตอนนับถอยหลังถึงศูนย์”
เต๋ามองผมราวกับว่าผมเป็นความหวังสุดท้าย ซึ่งสำหรับเราทั้งสองคน มันก็คงเป็นแบบนั้นจริงๆ วิญญาณนั้นเจ้าเล่ห์ และถ้ามันฉลาดพอที่จะใช้การนับถอยหลังขู่ เราคงเจอปัญหาหนักกว่าที่คิด
ผมหยิบข้าวสารเสก มาโรยเป็นวงกลมรอบโทรศัพท์ มันไม่สามารถไล่ผีได้ แต่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มได้ชั่วคราว
“โอเค” ผมพูด ขณะเก็บของ “ขั้นแรก หาที่มาของโทรศัพท์ คุณบอกว่าซื้อมือสองมา?”
เต๋าพยักหน้าแรงๆ “ใช่ จากร้านใกล้ๆ ตลาด แต่คนที่ขายให้ผม… เขาดูแปลกๆ นะ”
“ก็แน่อยู่แล้ว” ผมบ่น “คนพวกนี้มักจะเป็นแบบนั้น”
ผมเก็บน้ำมนต์และข้าวสารเสกเข้ากระเป๋า สะพายขึ้นบ่า “เอาเป็นว่า คุณอยู่ที่นี่ ห้ามแตะโทรศัพท์เด็ดขาด ถ้ามันมีปัญหาอีก โทรหาผมทันที เข้าใจไหม?”
เต๋าพยักหน้าเร็วมากจนผมกลัวคอเขาจะหัก
“แล้วก็อีกอย่างนะเต๋า” ผมหยุดที่ประตู “ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อย่าตอบข้อความจากมันเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ?” เต๋าถามด้วยเสียงสั่นๆ
“เพราะ” ผมตอบ “คนที่ส่งข้อความมา… ไม่ใช่เพื่อนของคุณ”
Sponsored Ads
———————
**น่าตื่นเต้น**
เมื่อผมปิดประตูลง รู้สึกได้ถึงพลังแปลกๆ จากโทรศัพท์ยังคงวนเวียนเกาะติดอยู่บนผิวหนัง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องผีสิงธรรมดา มันมีบางอย่างที่เจตนาอยู่เบื้องหลัง วิญญาณไม่ได้สิงโทรศัพท์เพราะความสนุก
ตัวเลขถอยหลังฉายแวบในหัวผม [เหลือ 72 ชั่วโมง]
ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่ที่ปลายทางของการนับถอยหลังนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ และถ้าผมไม่รีบหาทางแก้ไข เต๋าคงไม่ใช่คนเดียวที่เดือดร้อน