เวลาเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ร้านตกอยู่ในความเงียบสงบจนแม้แต่เสียงพัดลมเพดานเก่าก็ฟังดูเหมือนอยู่ห่างไกล ข้างนอกเสียงของกรุงเทพฯ ค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงรถยนต์วิ่งผ่านเป็นครั้งคราว ในร้าน ตอนนี้ผมกำลังจ้องหน้ากับวิญญาณที่น่ารำคาญที่สุดที่เคยเจอมา
Sponsored Ads
แล็ปท็อปวางอยู่บนเคาน์เตอร์ เงียบแต่มีพลังงานแปลกๆ แผ่ออกมาราวกับกำลังรอให้ผมทำอะไรสักอย่าง ผมลองใช้ทุกอย่างที่มีใส่มันแล้ว ทั้งพระเครื่อง บทสวด แม้กระทั่งน้ำมนต์ แต่วิญญาณข้างในนั้นก็ยังดื้อดึงไม่ยอมถอย
“เอาล่ะ” ผมพึมพำพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้น “มาลองกันอีกสักรอบ”
ผมหยิบพระสมเด็จขึ้นมาถือไว้เหนือหน้าจอ แสดงความหนักแน่นเต็มที่ ปกติแล้วพระเครื่องอันนี้เหมือนเป็นยาขับไล่ผี แต่สำหรับวิญญาณนี้ มันแค่อยู่เงียบๆ ปรากฏบนหน้าจอเป็นแสงสถิตเลือนๆ
ผมเริ่มท่องบทสวดที่ย่าน้อยผมสอนมา ใส่สมาธิทั้งหมดลงไปในพระเครื่อง หน้าจอกะพริบแสดงภาพลางๆ ของใบหน้าที่ไม่สมบูรณ์ชัดเจน มันมองกลับมา และผมคิดว่าเห็นความกลัวแฝงอยู่ในดวงตาของมันสักนิด
แต่พอผมสวดจบบทสุดท้าย หน้าจอก็กระตุกอย่างรุนแรง ใบหน้าผีนั้นบิดเบี้ยวเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ลำโพงมีเสียงหัวเราะต่ำๆ และหยาบคายดังออกมา
“โอ้ คิดว่ามันตลกเหรอ?” ผมพึมพำพยายามเพิกเฉยต่อความรู้สึกหนาวสะท้านที่กำลังเข้ามา
ใบหน้าหายไป ถูกแทนที่ด้วยข้อความบนหน้าจอ มันเป็นการผสมผสานของภาษาต่างๆ และสัญลักษณ์ที่ผมแทบไม่รู้จัก แต่ข้อความนั้นชัดเจน
[Vos astuces ne fonctionneront pas ici.] [กลอุบายของคุณใช้กับฉันไม่ได้หรอก]
ผมนวดขมับ พลางพึมพำกับตัวเอง “คราวหน้าที่เจอปรีชาจะบวกค่าบริการเพิ่มเป็นสองเท่าแน่ๆ”
Sponsored Ads
——————–
**มาตรการที่สิ้นหวัง**
เมื่อไม่มีทางเลือกมากนัก ผมลองหยดน้ำมนต์เล็กน้อยไปตามขอบแล็ปท็อป คราวนี้แล็ปท็อปตอบสนองทันที หน้าจอหรี่ลงครู่หนึ่ง ผมถอนหายใจโล่งอก—บางทีนี่อาจจะพอทำให้มันสงบลงได้บ้าง
แต่แล้วสัญญาณรบกวนบางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ค่อยๆ ไหลลงมาเหมือนหยาดน้ำตา แล็ปท็อปมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาและบิดเบี้ยว ราวกับมันกำลังล้อเลียนผม [Est-ce que cela est censé aider ?] [ช่วยอะไรได้หรือ?] ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ตามด้วยรูปหน้าบึ้งเล็กๆ ที่เคลื่อนไหว
“โอ้ นี่จะมาเล่นมุกขำขันเหรอ?” ผมพูดพลางกลอกตา “ไม่รู้ว่าซื้อรายการตลกผีมา”
หน้าจอกระพริบเป็นภาพต่างๆ แปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ผมไม่รู้จัก สัญลักษณ์แปลกๆ ใบหน้าเบลอๆ ที่หัวเราะอย่างเงียบๆ ราวกับว่าผีนั้นกำลังล้อเลียนผม โยนความทรงจำสุ่มๆ ใส่หน้าผมเพื่อดูว่าผมจะตอบโต้ยังไง
ผมหายใจลึก พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ปิดแล็ปท็อปลงอย่างแรง “เอาล่ะ คุณเล่นพอแล้ว คราวนี้ถึงทีผมบ้าง”
ผมหยิบสายสิญจน์พันขอบแล็ปท็อปอย่างระมัดระวังเพื่อกักพลังงานที่รบกวนไว้ หน้าจอหรี่ลงเล็กน้อย และใบหน้าของวิญญาณกลับมาอีกครั้ง มีสีหน้าที่อ่านไม่ออก
“ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่?” ผมถามเบาๆ ราวกับถามตัวเอง “คุณต้องการอะไรกันแน่?”
ใบหน้าบนหน้าจอสั่นไหวก่อนจะพิมพ์ข้อความอีกข้อความหนึ่งด้วยลายมือยุ่งเหยิง
[La liberté est proche. Ou peut-être… pour vous, une fin.]
[อิสรภาพใกล้เข้ามาแล้ว หรือบางทีสำหรับคุณ…อาจจะเป็นจุดจบ]
ผมเลิกคิ้ว “นั่นมันละครน้ำเน่าเลยนะ คุณดูเข้ากับละครไทยดีเลยนะเนี่ย”
ดูเหมือนวิญญาณจะไม่ชอบมุกนี้ หน้าจอกระพริบ ใบหน้าผีนั้นบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ และผมรู้สึกถึงพลังที่กระจายไปทั่วห้องจนทำให้หนาวสั่น วิญญาณนี้ไม่ได้แค่เล่นสนุก มันเริ่มจะหมดความอดทน และผมเองก็เริ่มหมดวิธีที่จะควบคุมมันไว้แล้ว
Sponsored Ads
———————
**การเยาะเย้ยและการทดสอบ**
วิญญาณยังคงส่งข้อความเยาะเย้ยเป็นระยะ โดยแต่ละข้อความจะเขียนด้วยภาษาผสมประหลาด ราวกับพยายามทำให้ผมเสียสมาธิ มีสัญลักษณ์ปรากฏบนหน้าจอ ดูเหมือนสัญลักษณ์เก่าแก่ที่รูปร่างบิดเบี้ยวราวเหมือนกับถูกมองผ่านควันไฟ
ผมจดโน้ตพยายามต่อจิ๊กซอว์พวกนี้เข้าด้วยกัน หวังว่าจะได้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับวิญญาณที่กำลังเผชิญอยู่ แต่ทุกครั้งที่ผมคิดว่าตัวเองเริ่มจะเข้าใจ วิญญาณก็เปลี่ยนกลยุทธ์ โยนข้อความแปลกๆ ใหม่ๆ ใส่เพื่อทำให้ผมสับสนอีก
ผมเอนหลัง พูดกับหน้าจอ “คุณเก่งนะ ต้องยอมรับ แต่ผมก็อดทนได้นะ และนั่นเป็นสิ่งที่วิญญาณส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ”
หน้าจอตอบกลับด้วยการแสดงคำเพียงคำเดียว
[Idiot.] [โง่]
“อ้อ พูดจาน่ารักดีนะ” ผมพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอ “เดี๋ยวจะได้รู้เองว่าใครกันแน่ที่โง่”
ผมหยิบเครื่องรางใหม่ขึ้นมา กระดิ่งทองเหลืองอันเล็กที่เอาไว้ใช้รบกวนพลังงานที่ไม่สงบ และสั่นเบาๆ เสียงกระดิ่งก้องกังวานในร้านแผ่วๆ แต่หนักแน่น ออกแบบมาเพื่อทำให้วิญญาณที่หลงเหลือต้องกระวนกระวาย หน้าจอกะพริบอีกครั้ง ใบหน้าผีบิดเบี้ยวด้วยความรำคาญ และผมจับแววความหงุดหงิดในสายตามันได้
“อ้า ไม่ชอบเหรอ?” ผมยิ้ม แล้วสั่นกระดิ่งอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าบนหน้าจอเบลอไปเล็กน้อย แต่ไม่หายไป มันยังยืนกรานที่จะอยู่ตรงนั้น จ้องกลับมาด้วยสีหน้าท้าทาย
ในช่วงเวลานี้ผมเกือบจะเคารพมัน
Sponsored Ads
———————
**ความพยายามครั้งสุดท้าย**
หลังจากสวดมนต์ ใช้เครื่องราง และน้ำมนต์ไปเกือบชั่วโมงโดยไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จ ผมเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า มันเป็นการเผชิญหน้ากับวิญญาณที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปี และพูดตรงๆ เลยว่ามันเริ่มจะทำให้ผมหมดแรง ผมเอนหลังมองใบหน้าของวิญญาณที่ปรากฏจางๆ บนหน้าจอ มันมีสีหน้าสะใจ เหมือนกับว่ามันรู้ว่าตัวเองชนะแล้ว
“ดีจริงๆ” ผมพึมพำ “แม้แต่เคล็ดลับที่ดีที่สุดของผมก็ยังจัดการคุณไม่ได้”
หน้าจอของแล็ปท็อปหรี่ลง จากนั้นก็มีข้อความใหม่เลื่อนผ่านว่า
[Pas de ruse. Que la vérité.] [ไม่มีกลอุบาย มีแต่ความจริงเท่านั้น]
ผมรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แฝงมา เหมือนวิญญาณกำลังบอกใบ้ถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้ง บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรต่อ หน้าจอก็กระพริบ และผมได้ยินเสียงเบาๆ คล้ายคำเตือน เสียงกระซิบแผ่วเบาเหมือนอยู่ห่างไกล
“มันยังไม่จบหรอก” ผมพูดเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง
วิญญาณปรากฏข้อความใหม่บนหน้าจอ ราวกับต้องการได้พูดเป็นคนสุดท้าย
[Réessayez si vous l’osez.] [ถ้าคุณกล้า ก็ลองใหม่ดูสิ]
ผมสูดหายใจลึก มันถึงเวลาที่จะต้องลองทำอะไรที่ต่างออกไปแล้ว วิญญาณนี้คงไม่จากไปง่ายๆ และเครื่องมือทั่วไปของผมก็คงไม่พอ มีทางเลือกไม่กี่อย่างเหลืออยู่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมใช้ประจำ มันไม่ธรรมดา… มันเสี่ยง และอันตราย
Sponsored Ads
———————
**หมดไอเดีย**
ผมนั่งนิ่ง มองแสงจางๆ จากแล็ปท็อป “โอเค” ผมพึมพำ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของปรีชา “ถึงเวลาต้องรู้ให้ชัดแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง”
เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าจะมีคนรับ เสียงของปรีชาฟังดูง่วงงุนและอู้อี้เล็กน้อย
“เฮ้ ปรีชา” ผมพูด พยายามทำเสียงให้ดูสบายๆ “ขอข้อมูลเรื่องแล็ปท็อปหน่อยได้ไหม คุณได้มันมาจากไหนนะ?”
มีความเงียบครู่หนึ่ง ผมได้ยินปรีชาพยายามกลั้นหาวก่อนตอบกลับ “อ๋อ… ผมซื้อมือสองมาตอนเรียนที่ปารีส ร้านอยู่ชานเมืองน่ะ เป็นร้านที่มีของเก่าๆ เต็มไปหมด ดูเหมือนของดีนะตอนนั้น”
ผมมองไปที่หน้าจอซึ่งกำลังกะพริบเบาๆ ราวกับมันกำลังฟังอยู่ “แล้วเจ้าของคนเก่า? เขาพูดอะไรถึงเขาไหม…แบบว่าเป็นคนยังไง?”
ปรีชาลังเลเล็กน้อย “อืม… เจ้าของร้านบอกว่าเจ้าของคนเก่าเป็นศาสตราจารย์ เขาตายไปไม่นาน มันดูแปลกๆ เขาบอกว่า…มีคนในเมืองคิดว่าเขาเล่นของไสยศาสตร์ มันน่ากลัวนิดๆ แต่ตอนนั้นผมคิดว่าเขาแค่พยายามทำให้แล็ปท็อปดูน่าสนใจน่ะ”
“ใช่สิ” ผมพึมพำ นิ้วเคาะบนเคาน์เตอร์ “งั้นคุณก็หิ้วผีข้ามประเทศมาให้ผมดูแลเลยสินะ ดีจริงๆ จะผมควรเรียกเก็บค่าธรรมเนียมศุลกากรจากคุณ”
ปรีชาหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงที่ยังคงแฝงความกังวลอยู่ “มัน…แย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ก็แค่ผีขี้แกล้งธรรมดาที่ดื้อเป็นบ้าเท่านั้นแหละ” ผมตอบอย่างประชดประชัน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
“งั้นคุณจัดการมันได้ไหม?”
“ก็ตั้งใจจะทำอยู่ แต่คงต้องใช้มากกว่าพวกเครื่องรางพื้นๆ ของฉันแล้วล่ะ” ผมวางสาย รู้สึกถึงภาระงานหนักที่รออยู่ข้างหน้า วิญญาณนี้ไม่ใช่วิญญาณไทย มันคงไม่เล่นตามกฎของเรา ผมไม่รู้ว่ามันจะรู้จักหรือเคารพพลังของเครื่องรางผมไหม
Sponsored Ads