ค่ำคืนอันเงียบสงัดปกคลุมกรุงเทพฯ มันหนักแน่นและเงียบงัน ทำให้ร้านของผมจมอยู่ในเงามืดตัดกับแสงนีออนที่ส่องสว่างจากถนนด้านนอก ตรงกลางเคาน์เตอร์นั้น แล็ปท็อปต้องคำสาปยังคงส่งเสียงครืดคราดแผ่วๆ พร้อมพลังงานบางอย่างที่ทำให้รู้สึก… เหมือนมันมีชีวิตอยู่ ใบหน้าของศาสตราจารย์ที่บิดเบี้ยวและเย้ยหยันบนหน้าจอหายไปแล้วในขณะนี้ แต่ผมรู้ดีว่ามันยังรออยู่ กำลังเฝ้ามอง
Sponsored Ads
ผมลองทุกวิธีที่รู้จักมาแล้ว แต่วิญญาณนี้กลับทำเหมือนการปัดยุงออกจากตัว ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอาอาวุธหนักออกมา ผมหยิบควายธนูออกมาจากกระเป๋า น้ำหนักเย็นเยียบและคุ้นเคยของมันอยู่ในมือของผม—ควายธนูผู้ทรงพลัง ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายที่สุด
“เอาล่ะ ควายธนู” ผมพึมพำ “ถึงเวลาที่นายจะต้องแสดงให้ผู้มาเยือนเห็นว่าทำไมสัตว์ท้องถิ่นของไทยถึงไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย”
ผมสูดหายใจลึกๆ เพื่อทำใจให้มั่นคงและถือควายธนูไว้ในมือ รู้สึกถึงความขรุขระของมันที่กดลงไปบนฝ่ามือ ขณะที่ผมเริ่มท่องบทสวดโบราณ คำพูดนั้นไหลลื่นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นบทเพลงที่ได้ยินมานับพันครั้ง
“นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ…”
ควายธนูในมือผมเริ่มอุ่นขึ้น ความร้อนนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยทุกคำที่ท่องออกมา หน้าจอแล็ปท็อปเริ่มกะพริบ และใบหน้าของวิญญาณก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง บิดเบี้ยวและยืดออก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน—ความกลัว
Sponsored Ads
ใบหน้าของวิญญาณบิดเบี้ยว ราวกับจะหลบหนีเมื่อพลังของควายธนูแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ร่างของมันสั่นไหว เกือบจะไม่สามารถยึดเกาะหน้าจอได้ เหมือนพลังของเครื่องรางกำลังดันมันกลับไปยังส่วนลึกของความมืด
ผมเลิกคิ้วขึ้น กลั้นยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ชอบสัตว์ในท้องถิ่นของเรา ใช่ไหม?”
วิญญาณนั้นส่งเสียงฮึดฮัดออกมา เสียงนั้นแทรกผ่านลำโพงแล็ปท็อปออกมา เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและการท้าทาย แต่ผมรู้สึกได้ว่าการยึดเกาะของมันเริ่มอ่อนแรงลง รู้สึกถึงพลังของควายธนูที่กำลังทำให้มันไม่สงบ แต่พอผมเริ่มจะหายใจอย่างโล่งอก ไฟในร้านก็กะพริบวูบไปมา แล็ปท็อปเริ่มร้อนขึ้นอย่างผิดปกติ พัดลมของมันหมุนด้วยความเร็วสูงราวกับกำลังดิ้นรน เสียงหวีดสูงแหลมผิดธรรมชาติดังก้องไปทั่ว ทำให้กระดูกของผมสั่นสะท้าน
“โอเคๆ!” ผมพูดพลางหยิบมีดหมอออกมาจากกระเป๋า “ถ้านายอยากสู้จริงๆ งั้นมาลุยกันให้เต็มที่เลยแล้วกัน”
Sponsored Ads
———————
การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย
ผมถือควายธนูไว้ในมือข้างหนึ่ง และมีดหมอในมืออีกข้างหนึ่ง ขณะที่เริ่มเดินวนรอบแล็ปท็อป รู้สึกถึงพลังที่หนักแน่นและเป็นปรปักษ์แผ่กระจายทั่วห้องเหมือนหมอกหนา วิญญาณที่อยู่ในแล็ปท็อปสั่นไหวและพลุ่งพล่านในแสงสลัวของหน้าจอ มันรวบรวมพลัง เตรียมพร้อมสำหรับการยืนหยัดครั้งสุดท้ายที่สิ้นหวัง ผมสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังก่อตัวราวกับงูขดตัวที่กำลังจะจู่โจม
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จับมีดหมอแน่น และเริ่มบทสวดป้องกัน เสียงของคำสวดต่ำและเป็นจังหวะ คำแต่ละคำกระตุ้นพลังที่มองไม่เห็นให้ตื่นขึ้น คำสอนของย่าน้อยดังอยู่ในใจ ทำให้ผมรู้สึกมั่นคง แม้ว่าวิญญาณในห้องนี้จะทวีความโกรธเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
ควายธนูในฝ่ามืออุ่นมากขึ้นกว่าเดิม ผมสัมผัสได้ถึงพลังโบราณที่ตื่นขึ้น มันคือพลังที่พร้อมเผชิญหน้ากับวิญญาณอาฆาตตนนี้ ลึกๆ ในจิตใจ ผมแทบจะมองเห็นวิญญาณของควายธนูเป็นรูปเป็นร่าง—ควายทองคำที่สูงใหญ่ ดุดัน มีเขาที่โค้งเหมือนดวงจันทร์เสี้ยว ดวงตาที่ดำสนิทจ้องเขม็งไปยังศัตรู
ราวกับว่ามันรู้ตัวถึงคู่แข่ง ใบหน้าของวิญญาณปรากฏขึ้นอีกครั้งบนหน้าจอแล็ปท็อป บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ดวงตาดำสนิท หน้าจอสั่นไหวบิดเบี้ยว เมื่อวิญญาณพยายามต่อสู้กับพลังของควายธนู หวังจะหลุดพ้นจากการกักขัง แต่ควายธนูก็ยิ่งเพิ่มพลังเข้าไป พลังจากเครื่องรางแผ่ออกเป็นแสงสีทองที่เติมเต็มทั่วทั้งห้อง ทำให้ร่างเงาของวิญญาณปรากฏเหมือนปีศาจที่ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์จับตัวไว้
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่แล้วนะ” ผมพึมพำ รู้สึกได้ถึงพลังของควายธนูที่แผ่กระจายราวกับเกราะป้องกัน พลังนั้นแข็งแกร่งและแน่วแน่เหมือนผู้พิทักษ์โบราณที่ยืนอยู่ระหว่างโลกนี้กับโลกวิญญาณ
Sponsored Ads
วิญญาณควายธนูเริ่มวิ่งเข้าหา มันเป็นภาพลางๆ แต่กลับดูมั่นคงเหมือนจริง มีพลังที่รู้สึกได้เหมือนการเผชิญหน้าระหว่างเทพเจ้าและปีศาจ วิญญาณกรีดร้องด้วยความท้าทาย ร่างของมันบิดเบี้ยวและพยายามดิ้นรน แต่ควายธนูก็ยังคงวิ่งเข้าหาอย่างไม่ยอมถอย
ผมยกมีดหมอขึ้น ลากมันช้าๆ รอบแล็ปท็อป จารึกสัญลักษณ์ป้องกันในอากาศ ทุกสัญลักษณ์ที่จารึกทำให้การต้านทานของวิญญาณอ่อนลง รู้สึกได้ถึงความโกรธที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง พลังของควายธนูห่อหุ้มรอบตัวผม ราวกับเป็นเกราะที่ปกป้อง ทำให้มือผมมั่นคงขณะทำพิธี
วิญญาณส่งเสียงฮืดฮาดออกมา เป็นเสียงแหลมๆ ที่แฝงไปด้วยการขอร้อง พยายามจะฝ่าพลังป้องกันออกไป แต่มันก็สายเกินไป ควายธนูได้กักขังมันไว้ กดลงด้วยพลังที่เก่าแก่และไม่อาจทำลายได้ ราวกับเท้าของเทพเจ้าเหยียบย่ำปีศาจให้แน่นิ่ง
“พอได้แล้วกับการเล่นเกมนี้” ผมพึมพำ ยกมีดหมอขึ้นและรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อสวดคำสวดครั้งสุดท้าย คำสวดดังก้องไปทั่วห้อง สะท้อนอยู่บนผนังอย่างมั่นคงและไม่ยอมแพ้ ผมยกมีดหมอสูงขึ้น รู้สึกถึงพลังของควายธนูที่อยู่เคียงข้าง
ผมฟันมีดหมดลงอย่างเด็ดขาด คมมีดเฉือนผ่านอากาศปลดปล่อยวิญญาณออกจากการยึดเกาะในโลกนี้อย่างเด็ดขาด หน้าจอแล็ปท็อปบิดเบี้ยว ร่างของวิญญาณบิดเบี้ยวเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าของมันแสดงความสิ้นหวัง ดวงตากว้างด้วยความกลัวและพ่ายแพ้ และในที่สุด ใบหน้าก็ค่อยๆ ละลายหายไปในหน้าจอ สลายไปในความมืด
ห้องเงียบสงบลง ความรู้สึกอึดอัดหนักหน่วงหายไป หน้าจอแล็ปท็อปกระพริบหนึ่งครั้ง สองครั้ง แล้วนิ่งลง ความอบอุ่นจากควายธนูในมือของผมหายไป หน้าที่ของมันได้สำเร็จลงแล้ว วิญญาณถูกขับไล่ออกไปในที่สุด ผมหายใจออกยาว รู้สึกถึงความตึงเครียดที่ค่อยๆ สลายไป มันจบลงแล้ว
หรืออย่างน้อย ผมคิดอย่างนั้น
Sponsored Ads
———————
คำเยาะเย้ยสุดท้าย
ผมเริ่มเก็บเครื่องมือของตัวเอง รู้สึกทั้งโล่งใจและเหนื่อยล้าในเวลาเดียวกัน ผมทำสำเร็จแล้ว วิญญาณนั้นหายไปแล้ว ถูกไล่ออกไปจากอุปกรณ์ที่เคยกักขังมันไว้
แต่ทันทีที่ผมกำลังจะปิดแล็ปท็อป หน้าจอก็สั่นไหวอีกครั้งหนึ่ง ข้อความสุดท้ายปรากฏขึ้น เขียนด้วยฟอนต์ที่เหมือนหมึกไหลซึมอยู่ทั่วหน้าจอ
[Tu as peut-être gagné cette fois, mortel…] [เจ้าชนะในครั้งนี้ มนุษย์…]
ผมนิ่งค้าง มองข้อความนั้นที่ค่อยๆ จางหายไปในความมืด
ความหนาวเย็นแล่นผ่านแผ่นหลังผม และผมหันมองไปรอบๆ ร้าน คาดหวังครึ่งๆ กลางๆ ว่าจะเห็นใบหน้าของวิญญาณนั้นปรากฏอยู่ในเงามืด แต่ร้านกลับเงียบสงัด ว่างเปล่า มีเพียงแสงริบหรี่จากถนนข้างนอกที่ลอดเข้ามา
ผมถอนหายใจ พลางนวดขมับตัวเอง “แน่นอน ผีที่มีกลิ่นอายดราม่า”
ขณะปิดแล็ปท็อปและเก็บควายธนู ความคิดหนึ่งยังคงลอยอยู่ในหัว วิญญาณตนนี้ไม่ใช่ผีทั่วไป มันเป็นบางอย่างที่มืดมนกว่า บางอย่างที่ไม่ยึดตามกฎเกณฑ์เดิมๆ และแม้ว่าผมจะชนะศึกครั้งนี้ แต่ผมก็รู้สึกว่านี่เป็นคำเตือน…เป็นคำสัญญาว่ามันยังไม่จบแค่นี้
Sponsored Ads
ผมล็อกร้าน ปล่อยให้ความเงียบสงบของค่ำคืนถาโถมใส่ขณะก้าวออกไป ถนนในกรุงเทพฯ ยืดยาวอยู่ข้างหน้า มีแสงและเสียงที่คึกคัก เมืองนี้ยังคงพลุ่งพล่านไปด้วยพลังที่คุ้นเคยและแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน
ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ความรู้สึกหนึ่งไม่ยอมจางหายไปจากใจ เหมือนกับว่าผมได้ก้าวข้ามเส้นบางอย่างในค่ำคืนนี้ การต่อสู้กับวิญญาณนี้อาจไปกระตุ้นบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า บางอย่างที่รออยู่เพียงนอกเหนือม่านมองเห็น
และในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่โลกของวิญญาณไม่เคยห่างไกลนัก ผมรู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว สิ่งนั้นจะหาผมเจอ