ฉันเคยคิดว่า การได้เงินเดือนควรเป็นเรื่องน่ายินดี แบบที่พวกเขาพูดกัน—ผลตอบแทนจากการทำงานหนัก ความมั่นคงทางการเงิน ชัยชนะของแรงงานในระบบทุนนิยม
Sponsored Ads
แต่หลังจาก สองสัปดาห์ในนรกกะดึกของ 7-Twelve เงินเดือนงวดที่สองของฉันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนรางวัลอะไรเลย มันเหมือนซองแจ้งหนี้ค่าเช่าที่แนบมากับรอยยิ้มเย็นชาของบริษัทมากกว่า
ฉันนั่งอยู่บน ฟูกนอนเก่า ๆ ซองเงินเดือนอยู่ในมือ จ้องตัวเลขบนกระดาษอย่างกับมันจะเปลี่ยนไปเอง
ธนากร สิริพงษ์ชัย (พนักงาน #08772)
ช่วงจ่ายเงิน: 15–31 พฤษภาคม 2543
✔ ค่าแรงต่อชั่วโมง: ฿180 (ค่าแรงขั้นต่ำ)
✔ ชั่วโมงทำงานรวม: 70 ชั่วโมง
✔ เงินเดือนก่อนหักภาษี: ฿12,600
✔ ภาษีและประกันสังคม: ฿1,260 (เพราะระบบภาษีไม่สนใจความฝันทางศิลปะของฉัน)
✔ เงินเดือนสุทธิ: ฿11,340
ยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้ หลังจากจ่ายค่าเช่า ค่าข้าว ค่าใช้ชีวิตสุดหรูของลาเต้ และกองหนี้ที่ไม่มีวันหมด
ชีวิตของฉัน ถูกย่อให้เหลือสมการง่าย ๆ:
หนี้ > รายได้ = สิ้นหวัง
Sponsored Ads
———————
การทูตกับเจ้าหนี้นอกระบบ (หรือ วิธีทำให้เจ้าหนี้เลิกสนใจใน 10 วัน)
ฉันเจอ เจ้าหนี้ที่ฉันไม่โปรดปรานที่สุด ข้างๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมที่เขาชอบประจำ เขาพิงกำแพง ใส่แว่นกันแดดแม้ว่าฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว ดูเหมือน ตัวร้ายในหนังที่ไม่มีใครกล้าทำงานด้วย แต่ฉันไม่มีทางเลือก
“ไง กรณ์!”
เขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบเดียวกับที่คนใช้เรียกหนี้ตัวโปรดของตัวเอง
“ดูดีนี่ วันนี้ดูถังแตกน้อยกว่าปกตินะ?”
ฉันยื่นเงินที่นับมาพอดี 10,000 บาท ให้
เขาหยิบมันขึ้นมา พลิกดูอย่างมืออาชีพ ก่อนจะยิ้มออกมา
“ดี ๆ แบบนี้สิ ฉันชอบ—ลูกหนี้ที่ใส่ใจการจ่ายหนี้ของตัวเอง”
“ผมก็พยายามอยู่” ฉันพึมพำ
เขาหยิบ สมุดบันทึกขาด ๆ ของเขาขึ้นมา จดอะไรบางอย่าง ก่อนจะ ยื่นลูกอมเปปเปอร์มินต์ให้ฉัน
“ถ้าแกจ่ายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ บางทีแกอาจจะใช้หนี้หมดก่อนที่ฉันจะเกษียณก็ได้นะ!”
ฉัน ฝืนหัวเราะ “แล้ว… เมื่อไหร่คุณจะเกษียณ?”
เขายิ้มกว้าง เคี้ยวลูกอมของตัวเอง “ไม่มีวันไงล่ะ”
“เจอกันวันเงินเดือนออกรอบหน้า”
ฉันถอนหายใจ มองเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋า—฿1,340 บาทถ้วน
หลังจากจ่ายไปหลายรอบ หนี้เดิมที่เคยอยู่ที่ ฿300,000 ตอนนี้ลดลงเหลือ… ฿285,000
คืบหน้า… แบบช้า ๆ ทรมาน ๆ และสูบวิญญาณสุด ๆ
Sponsored Ads
———————
ราคาของการปกป้องเพลงของฉัน (และทำไมทุนนิยมถึงเกลียดฉัน)
ฉันอัดเพลง “กอดฉันไว้” สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาคือ… ลิขสิทธิ์ไม่ใช่ของฟรี
✔ ในประเทศไทย (ปี 2543) ค่าจดลิขสิทธิ์ ประมาณ 500 บาทต่อเพลง
✔ ในสหรัฐฯ (เพราะไทยเวอร์ชันนี้มันอเมริกันเกินไป) ค่าจดลิขสิทธิ์ อยู่ที่ $30 (~฿1,200) — ซึ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม
ฉัน จ้องกระเป๋าสตางค์ที่ว่างเปล่า ถอนหายใจ แล้วเก็บมันไป สุดท้าย ฉันใช้วิธีที่คนจนทุกยุคทุกสมัยใช้กัน:
“ลิขสิทธิ์คนจน Poor-man’s copyright”
ฉันเอา เทปคาสเซ็ตบันทึกลง CD (โดยใช้เครื่องไรท์ CD ที่ฉัน ขอยืม—ไม่สิ อ้อนวอนจนได้มา—จากผู้จัดการธีร์ ที่ 7-Twelve) แล้ว ส่งไปรษณีย์ถึงตัวเอง
ไม่ใช่ระบบที่กันฟ้อง 100% แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
ลาเต้นั่งจ้องฉันจากข้าง ๆ ด้วย สายตาดูถูกตามแบบฉบับแมว
“อย่าตัดสินฉันนักเลย” ฉันพึมพำ “นายก็ไม่ได้ช่วยจ่ายค่าเช่าห้องเหมือนกัน”
ลาเต้ กระพริบตาช้า ๆ ตอบกลับมา ใช่ ถูกต้องเลย
Sponsored Ads
———————
เจรจากับปีศาจ (หรือ วิธีขายวิญญาณแลกกับเงิน 20,000 บาท)
สองวันต่อมา โทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น
หมายเลขไม่รู้จัก
“ธนากร สิริพงษ์ชัย?”
“ขึ้นอยู่กับว่าใครถาม” ฉันตอบอย่างระแวง
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสาย “ผมมาจากค่าย ‘Sound Surge Records’ เราสนใจซื้อเพลง ‘กอดฉันไว้’ ของคุณ เราเห็นว่ามันได้รับคะแนนโหวตจากผู้ฟังเป็นอันดับสอง สนใจขายไหม?”
หัวใจฉันกระตุก… แล้วก็ดิ่งลงทันที
ขาย = เสียสิทธิ์
แต่หนี้มันไม่สนเรื่องศิลปะ
“เสนอราคามา” ฉันถามตรง ๆ
“ปกติสำหรับนักแต่งเพลงโนเนม เราจ่าย 10,000 บาทต่อเพลง”
ฉัน นิ่งไปครู่หนึ่ง “มัน… น้อยไป”
“คุณยังไม่มีชื่อเสียง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบคนที่ คุยกับศิลปินสิ้นหวังมาเป็นพันครั้ง ซึ่งก็น่าจะจริง
ฉันกลืนน้ำลาย แต่ไม่ยอมแพ้
“20,000”
มี ความเงียบปกคลุมสายโทรศัพท์
จากนั้น… เสียงถอนหายใจดังขึ้น “คุณนี่ตลกดีนะ”
“ผมพูดจริง” ฉันยืนยัน รู้สึกเหมือนเจอแรงบันดาลใจแบบฉับพลัน “ผู้ฟังโหวตให้เป็นเพลงอันดับสอง มันต้องมีค่ามากกว่านั้น”
อีกฝั่งเงียบ
สุดท้ายก็มีเสียงตอบกลับมา “โอเค 20,000 บาท แต่คุณต้องขายสิทธิ์ทั้งหมดให้เรา”
หัวใจฉันเจ็บแปลบ… แต่มันก็ยังเต้นเบา ๆ เมื่อท้องของฉันเริ่มร้องดังกว่า
“ตกลง” ฉันตอบ แบบไม่เต็มใจ
20,000 บาท เป็นเงินก้อนที่ดี แต่ มันเป็นความรู้สึกที่ดีแค่ชั่วคราว
ฉัน แบ่งเงินอย่างระมัดระวัง:
✔ จ่ายหนี้เจ้าหนี้นอกระบบ: ฿10,000
✔ จ่ายหนี้เงินกู้เรียน (ขอบคุณแฟนเก่าที่ทิ้งไว้ให้): ฿2,000
✔ ค่าอาหารและค่าดำรงชีวิต (ส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารแมว): ฿3,000
✔ อุปกรณ์ทำเพลง (กีตาร์ไฟฟ้าหลังเต่า มือสอง เทปคาสเซ็ต CD เปล่า สมุดแต่งเพลง): ฿3,000
✔ ซื้อเครื่องไรท์ CD ภายนอกมือสองสำหรับบันทึกเสียง: ฿2,000
ยอดเงินคงเหลือหลังจากจัดงบประมาณอย่างมีความรับผิดชอบ: ฿0.00 บาทถ้วน
สมบูรณ์แบบ
Sponsored Ads
———————
วิธีสูญเสียเพลงของตัวเอง (และความประชดประชันของชื่อเสียงแบบไม่ได้ตั้งใจ)
ไม่กี่วันต่อมา เพลงของฉันอยู่ทุกที่ แต่… มันไม่ใช่เพลงของฉันอีกแล้ว
ตอนนี้มันกลายเป็นของ “The Close-up” นักร้องอินดี้หนุ่ม ผมเดรดล็อก กับเสน่ห์ล้นเหลือ ที่ทำให้คาเฟ่ทุกแห่งในนิวบางกอกละลายไปกับเสียงของเขา
เขาเปลี่ยนเพลงบัลลาด Lo-Fi เรียบง่ายของฉัน ให้กลายเป็นเพลงเร็กเก้-ป๊อปอุ่น ๆ ฟังสบาย และคนก็รักมัน
ฉันได้ยินมัน เปิดคลอในร้านอาหารข้างทาง มันดังทั่วห้างสรรพสินค้า แท็กซี่ก็ฮัมเพลงนี้ตอนติดไฟแดง แม้แต่ผู้จัดการธีร์จาก 7-Twelve ยังผิวปากเพลงนี้ตอนจัดของบนชั้น
ฉันรู้สึกทั้งภูมิใจ… และปวดใจไปพร้อมกัน
“เพลงเพราะดีนะ” ผู้จัดการธีร์พูดขึ้นมาคืนนั้น ยิ้มอย่างไม่รู้อะไรเลย
“อืม” ฉันพึมพำ พยายามไม่ให้ตัวเองดูเหมือนกำลังตายจากข้างใน “เพราะมากเลยล่ะ”
———————
การตัดสินจากแมวอ้วน (และความพยายามสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดของฉัน)
กลับถึงห้อง ฉันทิ้งตัวลงบนเตียง หมดแรงจากกะดึกที่ 7-Twelve
รู้สึกว่างเปล่า
ลาเต้ นั่งอยู่ข้าง ๆ จ้องฉันเงียบ ๆ ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“คิดว่าไง ฉันเป็นนักแต่งเพลงเงาเต็มตัวแล้วสินะ” ฉันถอนหายใจ
“เหมียว”
“อะไร?”
เขาเหยียดตัว เมินฉันโดยสิ้นเชิง
ฉันมองไปที่ คีย์บอร์ดเก่า ๆ ในมุมห้อง ฉันยังไม่พร้อมจะยอมแพ้ ฉันอาจจะเสียไปแล้วหนึ่งเพลง—แต่ในหัวฉัน ยังมีอีกเป็นร้อย
และคราวหน้า… ฉันจะไม่ขายมันถูก ๆ อีกแล้ว ฉันจะทำให้มันต่างออกไป
แต่ตอนนี้ ฉันเอนตัวลง ปล่อยให้ลาเต้ม้วนตัวเป็นก้อนบนอกฉัน พร้อมเสียงครางเบา ๆ อย่างพอใจ
“นายโชคดีนะ” ฉันพึมพำ “อย่างน้อยอาหารแมวก็ไม่มีใครขโมยได้”
ลาเต้ครางดังกว่าเดิม เห็นด้วยเต็มที่
ขณะที่ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หมายเลขไม่รู้จัก
“กรณ์!” เสียงปลายสายที่คุ้นเคย ร่าเริงเกินเหตุ
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ เพลงของแกฮิตไปทั่วเลย”
“คุณชอบมัน?” ฉันถาม เสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ชอบมาก โคตรทำกำไรเลย”
แล้วน้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนเป็น อบอุ่นแบบน่ากลัว
“ว่าแต่… หนี้ของแกยังค้างอยู่ 285,000 บาท รวมดอกเบี้ยแล้วนะ”
“ผมรู้”
“งั้นก็หวังว่าแกจะกำลังแต่งเพลงใหม่อยู่ เพราะถ้าจะใช้หนี้ให้หมด… แกคงต้องแต่งอีกสัก 29 เพลงล่ะมั้ง?”
เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตัดสายไปก่อนที่ฉันจะตอบอะไรได้
ฉันนอนนิ่ง จ้องเพดานเงียบ ๆ
ลาเต้ขดตัวอยู่ข้าง ๆ ครางอย่างพอใจ—ไม่สนหรืออาจไม่แคร์เลยว่าฉันกำลังดิ่งลงสู่ภาวะสิ้นหวังระดับจักรวาล
ชีวิตมันยาก… แต่มันก็ สวยงามอย่างแปลกประหลาดและเจ็บปวดไปพร้อมกัน
ฉันถอนหายใจยาว ยกมือเกาพุงลาเต้เบา ๆ
“ใช่ นายพูดถูก” ฉันกระซิบ “เดี๋ยวเราคงหาทางออกได้เอง”
ลาเต้ครางในลำคอ พอใจเต็มที่ คงไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
และแปลกดี…เพียงชั่วขณะนั้น ฉันกลับรู้สึกว่า… มันก็โอเคอยู่เหมือนกัน
บรรจบ พลอินทร์