พอถึงปลายเดือนมิถุนายน สถานะทางการเงินของฉันก็เริ่มเหมือนกับเพลงเศร้า ๆ ที่ได้ยินตอนดึกบนคลื่น AM—เต็มไปด้วยความโหยหา ความเสียใจ และความตื่นตระหนกที่ซ่อนแทบไม่มิด
Sponsored Ads
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันสลับตารางชีวิตระหว่างกะดึกที่ 7-Twelve กับการขายริงโทน MIDI และพยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับความเบาของกระเป๋าสตางค์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เงินเดือนรอบต่อไปยังมาไม่ถึง และบัญชีธนาคารของฉัน (หมายถึงกระป๋องใบหนึ่งใต้เตียงที่ติดป้ายว่า “ธนาคารกรณ์”) ก็มีพอให้ซื้ออาหารแมวรสพรีเมียมให้ลาเต้ได้ต่ออีกไม่กี่วัน พร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับฉัน แค่นั้นจริง ๆ
ฉันถอนหายใจ มองกองกระดาษบนโต๊ะทำงาน: บทกวี เนื้อเพลง โน้ตเกี่ยวกับไฟล์ MIDI ที่เขียนไว้แบบลวก ๆ
มันตลกดี—ชีวิตสลับไปมาระหว่างแรงบันดาลใจทางศิลปะกับฝ่ามือแห่งความจริงที่ตบหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ลาเต้เหยียดตัวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะปัดกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงพื้นด้วยอุ้งเท้า ฉันหยิบขึ้นมา พลางเหลือบตาไปอ่าน
“ปณิธานกวี”
บทกวีเกี่ยวกับอุดมการณ์ของศิลปิน ความยุติธรรมเชิงกวี และความเชื่อที่ว่าคำพูดเปลี่ยนโลกได้ ฟังดูเหมือนความเพ้อฝันดี ๆ นี่เอง
ฉันกำลังจะเริ่มพิมพ์บรรทัดแรกอยู่พอดี—แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตัดขาดฉากมโนอันบอบบางของความคิดสร้างสรรค์
เบอร์ไม่รู้จัก
ฉันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับสายพร้อมถอนหายใจอย่างยอมจำนน
“ฮัลโหล?”
Sponsored Ads
———————
สายจากลุงเอ๋ (หรือ ทำไมหนี้มักโทรมาได้ตรงเวลาเสมอ)
“กรณ์!” เสียงแหบห้าวของลุงเอ๋ที่ดังมาตามสาย ทำให้ความดันโลหิตฉันพุ่งขึ้นในทันที
“ไง ศิลปินสุดที่รักของลุง สบายดีไหม?”
ฉันยกมือกุมขมับ เอนตัวลงกับพนักเก้าอี้
“ก็ดีครับ ลุงเอ๋ โทรมามีอะไรครับ?”
“ไม่มีอะไร แค่จะโทรมาทักทายเตือนใจเฉย ๆ ใกล้สิ้นเดือนแล้วนี่นา ดอกเบี้ยมันไม่หยุดพักเหมือนวันหยุดนักขัตฤกษ์นะ รู้ไหม?”
“รู้ครับ” ฉันพึมพำเบา ๆ พลางมองลาเต้ที่กำลังนอนกลิ้งสบายอยู่
“ลุงตรวจดูแล้วนะ ตอนนี้หนูยังติดลุงอยู่… ฿285,000 รวมดอกเบี้ยปกติ”
“ครับ…” ฉันตอบอย่างเจ็บแปลบในอก
“ลุงแค่โทรมาเช็กว่าเรายังมีชีวิตอยู่ดีไหม” เขาพูดเสียงสดใสราวกับกำลังคุยเรื่องผลบอล ไม่ใช่หนี้ก้อนโตที่ฉันกำลังจมอยู่
“ดีใจที่ลุงห่วงนะครับ” ฉันประชดเบา ๆ
“งั้นจ่ายเร็ว ๆ นี้ได้ไหม?”
“ครับ… จะโอนให้เร็ว ๆ นี้” ฉันตอบอย่างหมดทางเลือก
“ดีมาก ไว้ใจได้จริง ๆ ลุงภูมิใจนะ” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “จำไว้ ศิลปะน่ะดี แต่เงินสดดีกว่า”
แล้วเขาก็วางสายไป ก่อนที่ฉันจะคิดคำเหน็บแนมทัน ฉันมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอย่างหมดแรง
“เจ้าหนี้นอกระบบ…” ฉันพึมพำเสียงเรียบ “…คือผู้อุปถัมภ์ศิลปะที่แท้จริง”
ฉันไม่มีทางเลือก เงินที่ได้จากการขายริงโทน MIDI—รวมแล้ว 10,750 บาท—ตอนแรกตั้งใจจะใช้ประคองชีวิตไปจนถึงวันเงินเดือนออก แต่ตอนนี้กลายเป็นของลุงเอ๋ไปแล้ว
ฉันนับเงิน 5,000 บาท อย่างพอดิบพอดี แล้วยัดใส่ซองด้วยความไม่เต็มใจนัก วางไว้สำหรับการนัดพบอันแสนน่าหวาดหวั่นครั้งต่อไปกับเจ้าหนี้ของฉัน
เหลือเงินอยู่แค่ 5,750 บาท—แทบไม่พอประทังชีวิต
ยอดหนี้ตอนนี้เหลือ 280,000 บาท ดอกเบี้ยยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบเชียบแต่ไม่หยุดพัก ลาเต้นอนพุงป่องพอใจอยู่ข้างเตียง ไม่รับรู้เลยว่าภัยการเงินกำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ
“กินของแพงไปเถอะ” ฉันบ่นใส่มันเสียงเบา “อย่างน้อยก็มีใครสักคนที่ยังใช้ชีวิตหรูหราได้”
Sponsored Ads
———————
เมื่อความจริงกระแทกใจ (หรือ บทกวีเขียนตัวเองเมื่อชีวิตบีบบังคับ)
ด้วยเงาของลุงเอ๋ที่คอยตามหลอกหลอนในหัว “ปณิธานกวี” ที่เคยตั้งใจจะเขียน กลับดูไร้เดียงสาเกินไปในยามนี้
ฉันพยายามจะพิมพ์บรรทัดเปิดเรื่องอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกว่า… มันกลวงเปล่า ฉันหยุดมองเคอร์เซอร์กระพริบอยู่บนหน้าจอ นิ่งอยู่อย่างนั้น บางที ฉันอาจต้องเขียนอะไรที่ “จริง” กว่านี้ บางอย่างที่สะท้อนถึงชีวิตที่ฉันกำลังใช้จริง ๆ ไม่ใช่ความฝันทางศิลปะที่สร้างไว้ในหัว
ฉันจึงเขียนบทกวีใหม่ บทกวีที่เคยอ่านในโลกเดิมของฉัน บทกวีที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ และตอนนี้… มันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ บทกวีที่ขมขื่น ตรงไปตรงมา และเจ็บปวด นิ้วของฉันเคลื่อนบนแป้นพิมพ์เร็วอย่างไม่รู้ตัว ราวกับคำเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของความคิดมานานแล้ว:
📖 “เขาจรจากฟากอดีตอย่างโดดเดี่ยว มาขับเคี่ยวปัจจุบันอันวิกฤต
จากโคมรุ้งทุ่งฝันอันโสภิต มามืดมิดกันหลืบเมืองอันโสมม
จากวิถีสู่วิถี วิถีเปลี่ยน หนึ่งชีวิตกรีดเขียนตำนานขม
เหลือบันทึกบาดลึกในอารมณ์ สะท้อนภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
หนึ่งคนทุกข์ สะท้อนแสนคนล้าน ผู้ พลัดบ้านพรากเรือนสะเทือนสมัย
แค้นเพียงหนึ่ง ประหนึ่งแค้นอีกแสนใจ โลกจะลุกเป็นไฟเพราะใจแค้น
เขาคับข้องร้องถามถึงพรุ่งนี้ ใต้แสงดาว เหนือวิถี ที่เปลี่ยนแสน
กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง เพียงครึ่งแดน ข้างถนนจะเหมือนแม้นเป็นเรือนตาย”
ฉันอ่านข้อความซ้ำอีกครั้งในใจ รู้สึกถึงความหนักแน่น เจ็บจริง และตรงใจ
นี่ไม่ใช่ “ปฏิญาณกวี” แบบในอุดมคติอีกต่อไป แต่มันคือ ความจริงที่เปลือยเปล่า และ สิ่งที่ฉันจำเป็นต้องเขียน
ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กด “โพสต์” ปล่อยบทกวีนี้ออกไปในความวุ่นวายของโลกออนไลน์—โดยไม่ลงชื่อ
Sponsored Ads
———————
ปฏิกิริยาออนไลน์ (และการกำเนิดของกวีไร้นามคนใหม่)
เพียงไม่นาน การแจ้งเตือนก็สว่างวาบขึ้นมาทั่วหน้าจอ
ผู้ใช้ “MidnightMuse99”: “ใครก็ตามที่เป็นกวีไร้นามคนนี้—คำของคุณแทงลึกมาก ฉันรู้สึกถึงทุกถ้อยคำจริง ๆ”
ผู้ใช้ “Inkheart88”: “กวีคนเดิมจากก่อนหน้านี้แน่ ๆ! สำนวนคุณโดดเด่นมาก ใครกันนะ?”
ผู้ใช้ “UrbanDreamer”: “บทนี้จับความเศร้าของชีวิตในเมืองได้อย่างแม่นยำ ได้โปรดเขียนเพิ่มอีกนะครับ”
ฉันนั่งจ้องหน้าจอด้วยความตกตะลึง บทกวีที่แต่งขึ้นอย่างกะทันหันของฉันกลับสัมผัสใจคนแปลกหน้ามากมาย—คนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย
ไม่รู้ว่าฉันมีหนี้
ไม่รู้ว่าฉันทำงานกะดึกที่ 7-Twelve
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแมวฉันชื่อลาเต้
ตอนนี้ฉันคือ “ใครก็ไม่รู้” กวีไร้นามที่โพสต์จากห้องเล็ก ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำ
มีเงินพอแค่ประทังชีวิตในแต่ละวัน
และบางที… ความไร้ชื่อเสียงนี่เอง ที่ทำให้บทกวีของฉันมีพลัง
เมื่อแสงแดดยามบ่ายค่อย ๆ จางไปเป็นยามเย็น ฉันก็จำใจต้องออกจากระบบอินเทอร์เน็ต ดูเวลาที่เหลือในบัตรก็ใกล้จะหมดพอดี
ฉันมีเวลาแค่พอจะทำอาหารเย็น—ใช่ครับ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกแล้ว—ก่อนต้องเปลี่ยนชุดไปทำงานกะกลางคืนที่ 7-Twelve
ลาเต้เหยียดตัวยาว หาวหวอดอย่างมีความสุขในแบบที่ฉันอิจฉานิด ๆ
“สบายดีนะ” ฉันพูดเสียงเรียบขณะหยิบเสื้อยูนิฟอร์ม “เพราะอีกคนต้องออกไปหาเงินแทนเราแล้ว”
ลาเต้ก็แค่ส่งเสียงครางพอใจเบา ๆ ไม่ได้สนใจอะไรเลย
ฉันถอนหายใจ มองไปรอบ ๆ ห้องเช่าขนาดเล็กของตัวเองที่เริ่มมืดลงจากแสงตะวัน
กระดาษเต็มไปด้วยบทกวีและเนื้อเพลงกระจัดกระจายไปทั่ว คำพวกนั้นมีความหมาย… แต่ก็ยังไม่พอจะเปลี่ยนชีวิตได้ อย่างน้อย… ยังไม่พอในตอนนี้
ฉันปิดประตูห้อง เดินออกไปเผชิญอากาศร้อนชื้นยามค่ำของกรุงเทพฯ และทันใดนั้น ฉันก็ตระหนักถึงบางสิ่ง บางที บทกวีอาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของฉัน
ไม่ได้ช่วยปลดหนี้
ไม่ได้ทำให้เจ้าหนี้หายไป
ไม่ได้ทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำดีขึ้น
แต่สิ่งที่มันทำได้—คือทำให้ฉันรู้สึกเป็น “มนุษย์” อีกครั้ง
และตอนนี้… แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
นครใต้แสงดาว (2538) ไพวรินทร์ ขาวงาม