014-การต่อรองยามดึกของกรณ์ (หรือ วิธีกลายเป็นโปรดิวเซอร์เพลงโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างเรียงของบนชั้น)

หลังจากบังเอิญไปจุดสงครามบทกวีในโลกอินเทอร์เน็ต และโยนระเบิดวรรณกรรมลงเว็บบอร์ดแบบไม่ระบุตัวตน ฉันก็ทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ที่มีหนี้สินล้นตัวควรทำ—ปิดคอมพิวเตอร์ แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วกลับมาโฟกัสกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต: การอยู่รอด

Sponsored Ads

บทกวียังไม่จ่ายค่าเช่า (อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้) ส่วนสายโทรศัพท์จากลุงเอ๋ที่คอยเตือนเรื่องดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทุกวันเงินเดือนออกรู้สึกเหมือนการจ่ายค่าไถ่มากกว่ารางวัล ส่วนรายได้เสริมจากการขายริงโทน MIDI ก็แค่พอให้ฉันหายใจพ้นน้ำไปวัน ๆ

บทกวีคงต้องรอไปก่อน

ดังนั้นฉันจึงกลับไปยังโซนปลอดภัยของตัวเอง—ฮัมเพลงเก่าจากอีกโลกขณะเรียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในร้าน 7-Twelve ตอนตีสาม

ชีวิต…ก็ยังคงสวยงามในความหดหู่ของมัน

———————

ฮัมเพลงยามดึก (หรือ วิธีดึงดูดนักดนตรีที่หล่นหายจากวงการ)

คืนหนึ่ง ระหว่างที่ฉันกำลังจัดเรียงบะหมี่อยู่ใต้แสงไฟนีออน ฉันก็ฮัมเพลงเบา ๆ ให้พอหลอกหูตัวเองจากความรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต โดยไม่ดังพอจะทำให้ลูกค้าตกใจ

🎶 “อยู่อย่างคนไม่มีสิทธิ์ ก็ผิดตั้งแต่วันที่เราเกิด เจ็บอย่างไรก็ทนไปเถิด จะเกิดอะไรก็จะทน…” 🎶

เพลงเก่า เพลงหนึ่งที่จำได้ชัดจากชีวิตก่อน ความประชดประชันของเนื้อเพลงที่พูดถึงความรัก โดยที่ไม่ต้องบ่น ไม่ต้องโอเวอร์โปรดักชั่น มีแค่ความเจ็บปวด ความภาคภูมิใจ และบทกวี—มันเข้ากับชีวิตฉันอย่างแสบลึก ฉันหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้ตัวดีว่านี่คือบทเพลงประชดชีวิตโดยแท้

แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงกระแอมจากข้างหลัง

“น้องครับ” เสียงนั้นดังขึ้น ห้าว ๆ ด้วยกลิ่นบุหรี่ ค่ำคืน และความเหนื่อยล้าจากฝันที่พังไปนานแล้ว

ฉันหันไปเห็นพี่ต้น ลูกค้าประจำยามดึกที่มาซื้อบุหรี่ Marlboro หนึ่งซอง กับเครื่องดื่มชูกำลังราคาถูกทุกคืน เขาเป็นชายวัยกลางคน ผมยาวมีผมหงอกแซมเล็กน้อย มีรอยสักซีด ๆ โผล่จากปกแจ็กเก็ตหนังเก่า

“สวัสดีครับพี่ต้น” ฉันทักอย่างระแวงเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าฮัมเพลงไปแล้วทำอะไรผิด “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ไม่มีอะไร” เขาพูดช้า ๆ เกาคางที่มีตอหนวดขึ้นเล็กน้อย “เพลงที่เราฮัมเมื่อกี้…เพลงอะไร?”

“อ๋อ เพลงที่ผมแต่งเองน่ะครับ” ฉันโกหกหน้าตาเฉย รู้สึกผิดเล็กน้อยที่หยิบเอาเพลงจากอีกโลกมาใช้ “ทำไมเหรอครับ?”

เขามองฉันนิ่ง ๆ แววตาเหมือนเด็กหนุ่มอีกครั้ง “พี่อยากได้เพลงนั้น”

“อยากได้?” ฉันทวนเสียงหลง

เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “พูดจริงนะ พี่มีวง—ก็ไม่เชิงหรอก พวกพี่เล่นตามผับ ตามบาร์ ที่ไหนมีเวทีมีเบียร์ก็ไป พวกพี่ต้องการเพลงใหม่ เพลงของเราน่ะ…มันมีอะไรบางอย่าง”

ฉันลังเล ถือบะหมี่อยู่ในมือนิ่ง ๆ เหมือนตัวประกัน “พี่ เพลงมันก็แค่เพลงเองนะครับ”

“ไม่ใช่แค่เพลง” เขาพูดจริงจัง “มันเป็นเพลงที่ปลุกวิญญาณเก่าให้มีลมหายใจอีกครั้ง”

ฉันกระพริบตา คำพูดมันฟังดูเว่อร์ แต่ก็แปลกที่…ทำให้ใจสั่นนิดหน่อย

Sponsored Ads

———————

การต่อรองแบบไม่ยอมแพ้ (หรือ วิธีกลายเป็นนักธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ)

ตลอดสามคืนถัดมา พี่ต้นมาปรากฏตัวตรงเวลาเป๊ะที่ 02:45 น. และเดินตรงมาหาฉันที่ชั้นวางขนมทุกครั้ง พร้อมความมุ่งมั่นอย่างกับกำลังตามหาของวิเศษ

“พี่ต้องได้เพลงนั้นนะ กรณ์” เขาพูด “ตั้งราคามาเลย”

ฉันถอนหายใจ “พี่ต้น ผมซาบซึ้งนะครับ แต่—”

“แค่บอกตัวเลขมา” เขายืนกราน สีหน้าดูจริงจังราวกับคนใกล้จะหมดทางเลือก “พี่ไม่มีเงินเยอะ แต่จะหาทางมาให้ได้”

คืนที่สี่ หลังจากโดนความตั้งใจจริงของเขารุกหนัก (และเริ่มรู้สึกกังวลนิดหน่อยกับความทุ่มเทระดับขอแต่งงาน) ฉันจึงยอมแพ้

“ก็ได้” ฉันพูดอย่างเหนื่อยล้า ขณะกำลังจัดปลากระป๋องขึ้นชั้น “มาคุยกัน”

ใบหน้าของพี่ต้นเปล่งประกายเหมือนคนถูกรางวัลที่หนึ่ง

“ตกลงแบบนี้นะครับ” ฉันเริ่มอย่างระมัดระวัง “ผมจะให้ลิขสิทธิ์การใช้เพลง แต่ขอค่าลิขสิทธิ์ล่วงหน้า 10,000 บาท และขอส่วนแบ่งทุกครั้งที่เพลงถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ที่สำคัญที่สุด—ผมต้องได้รับเครดิตในฐานะผู้แต่งเพลง”

พี่ต้นเบ้หน้าเล็กน้อย “หมื่นนึงเหรอ? พี่เล่นตามบาร์ได้แค่ทิปกับเบียร์นะ ไม่ได้ขึ้นเวทีแกรมมี่”

ฉันถอนหายใจ ยกมือขึ้นหยุดเขาก่อนจะเริ่มเล่าชีวิตน่าสงสาร “พี่จ่ายไหวเท่าไหร่ครับ?”

“ห้าพัน…” เขาพูดเบา ๆ “แล้วพี่จะต้องกินมาม่าทั้งเดือน”

ฉันยกมือกุมขมับ ห้าพันบาทน่ะเหรอ… แทบจะไม่พอให้ลุงเอ๋ยิ้มเลยด้วยซ้ำ แต่พี่ต้นดูตั้งใจจริงจนฉันก็ใจอ่อนไม่ลง

“เอางี้ครับ” ฉันพูดอย่างใช้ความคิด “ห้าพันก็ได้ แต่ผมขอแลกกับบางอย่าง”

พี่ต้นขมวดคิ้ว “อะไรเหรอ?”

“ให้ผมเป็นโปรดิวเซอร์”

พี่ต้นเบิกตากว้าง “เราเหรอ? เป็นโปรดิวเซอร์?”

ฉันยักไหล่ ทำเป็นไม่แปลกใจกับคำพูดตัวเองเท่าไร “ครับ ถ้าจ่ายผมไม่ครบ อย่างน้อยให้ผมมีส่วนร่วม ผมอยากช่วยทำให้เพลงมันออกมาดีที่สุด”

พี่ต้นดูลังเล ชั่งใจอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วก็มีอีกอย่างครับ” ฉันรีบพูดเสริม “ถ้าวงพี่เอาไปเล่นสดตามผับตามบาร์ ผมไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ ถือเป็นน้ำใจให้เพื่อนร่วมวงการ”

เขากะพริบตา “พูดจริงเหรอ?”

ฉันพยักหน้า “จริงครับ พี่ก็ดูจริงใจดี แล้วนักดนตรีก็ควรช่วยกันใช่ไหมครับ?”

เขายิ้มกว้าง จับมือฉันแน่นอย่างกับฉันเพิ่งตกลงบริจาคไต “กรณ์ นายมันคนดี”

“อย่าไปบอกใครนะครับ” ฉันบ่นเบา ๆ “ผมยังต้องรักษาภาพลักษณ์นักธุรกิจเลือดเย็นอยู่”

Sponsored Ads

———————

ปิดดีล (และอาชีพโปรดิวเซอร์แบบไม่ตั้งใจ)

เรานั่งทำข้อตกลงกันที่โต๊ะมุมร้าน พร้อมกาแฟสำเร็จรูปร้อน ๆ หลังจากพิจารณาแล้วว่าไม่ควรเขียนสัญญาบนกระดาษทิชชู่ ฉันจึงหยิบกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่นจากหลังเคาน์เตอร์ และปากกาดำที่ดูเป็นทางการจากโต๊ะผู้จัดการ (ธีร์ไม่น่าจะรู้หรอก…มั้ง)

ฉันเขียนข้อตกลงอย่างระมัดระวัง พยายามใช้ถ้อยคำให้ดูมืออาชีพที่สุด เผื่อวันไหนต้องเอาไปให้ลุงเอ๋ดู

ข้อตกลงการให้สิทธิ์ใช้เพลง

ค่าลิขสิทธิ์: 5,000 บาท (ชำระเต็มจำนวน ณ วันลงนาม)

บทบาทการผลิต: ธนากร สิริพงศ์ชัย (โปรดิวเซอร์) จะดูแลการเรียบเรียง บันทึกเสียง และการผลิตเพลงจนจบ

เครดิตผู้แต่งเพลง: ธนากร สิริพงศ์ชัย มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้แต่งและผู้ประพันธ์

ค่าลิขสิทธิ์:

  • การจำหน่ายหรือบันทึกเสียงเชิงพาณิชย์: ธนากรได้รับส่วนแบ่ง 20% จากรายได้สุทธิ
  • การแสดงสดในผับ บาร์ หรือสถานที่คล้ายกัน: ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์

ลงชื่อโดย:

ผู้ผลิต (ธนากร สิริพงศ์ชัย) _________________________
ศิลปิน (ธนศักดิ์ เอียดภูรี) ___________________________

พี่ต้นลงนามด้วยท่าทีจริงจัง เหมือนกำลังเซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ ไม่ใช่บนโต๊ะพลาสติกในร้านสะดวกซื้อ

“เจอกันวันซ้อมนะ โปรดิวเซอร์กรณ์” เขากล่าวพร้อมจับมือฉันอย่างจริงใจ

ฉันมองตามเขาเดินจากไปอย่างภูมิใจ พร้อมกับพับสัญญาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อราวกับเป็นเอกสารลับของชาติ ทันใดนั้น ความรู้สึกหนักอึ้งของสิ่งที่ฉันเพิ่งตกลงไปก็ถาโถมเข้ามา

บางที…การเป็นมืออาชีพอาจน่ากลัวกว่าที่คิดไว้ก็ได้

Sponsored Ads

———————

ความจริงที่กลับมา (และเหตุผลว่าทำไมฉันยังจน ทั้งที่ต่อรองเก่งขนาดนี้)

หลังจากเลิกงานกลับมาถึงห้อง ฉันก็พบว่าลาเต้นั่งรออยู่ตรงประตูเหมือนเดิม มองฉันด้วยสายตากล่าวหา ข้าง ๆ ชามข้าวที่ว่างเปล่าของเขา

ฉันถอนหายใจ แล้วเปิดปลาทูน่ากระป๋องรสพรีเมียมให้ตามหน้าที่

“นายรู้นะ” ฉันบ่นพลางเทอาหารใส่ชาม “ตอนนี้ฉันเป็นโปรดิวเซอร์เพลงอย่างเป็นทางการแล้ว นายควรจะแสดงความภูมิใจหน่อยก็ยังดี”

ลาเต้เพียงแค่ส่งเสียงครางเบา ๆ แล้วเอนตัวลงนอนอย่างเฉื่อยชา ราวกับจะบอกว่า แล้วไง ใครจะแคร์

ตามเคยแหละ

ฉันเอนตัวลงบนฟูกที่แม้จะบางแต่ก็พอให้หลับได้ เหนื่อยล้าแต่แปลกดีที่รู้สึกมีความหวังอยู่ลึก ๆ ในใจ ฉันนอนมองเพดาน คิดคำนวณในหัวว่า ต้องขายเพลงอีกกี่เพลง ถึงจะหนีออกจากเงื้อมมือของลุงเอ๋ได้เสียที

คำตอบคือ—อีกเยอะมาก

แต่บางที… บางที งานโปรดิวเซอร์ที่ได้มาโดยบังเอิญครั้งนี้ อาจจะเป็นก้าวแรกของการเป็นอิสระ ทั้งในฐานะศิลปิน และในเรื่องเงินทอง

ก็ฉันใช้ชีวิตแบบ “คนไม่มีสิทธิ์” มานานพอแล้วนี่นะ

บางที… ถึงเวลาที่จะยืนด้วยขาตัวเองสักที

คนไม่มีสิทธิ
ไมโคร