You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    พวกเรานัดเจอกันใต้สะพานลอยตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ จุดแลกเปลี่ยนกึ่งถูกกฎหมายที่ไม่มีใครคิดจะหันมามองสองรอบ พี่ต้นยืนอยู่ตรงนั้น ถือถุงพลาสติก 7-Twelve ใบโต—ดูเหมือนเขาใช้มันเป็นกระเป๋าสตางค์—ข้างในป่องออกด้วยแบงก์สด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า 2 ห่อ

    Sponsored Ads

    “อย่าถามว่าฉันไปหาเงินมาจากไหน” เขายื่นถุงให้ “แต่เชื่อเถอะ วงฉันจะกินรสต้มยำไปทั้งสัปดาห์”

    ฉันแอบชะโงกดูข้างใน เงินจำนวนห้าพันบาท—มีทั้งแบงก์ยี่สิบ แบงก์ห้าสิบ และแบงก์ร้อยในปริมาณฉุกเฉินมาก มีกลิ่นบุหรี่และความสิ้นหวังลอยมาแผ่วเบา

    “มันงดงามมาก” ฉันพูดด้วยความจริงใจ

    เขาหัวเราะ “แล้วผลงานชิ้นเอกของฉันล่ะ?”

    ฉันยกซองเอกสารบาง ๆ ขึ้นเหมือนกำลังถือพระธรรมคำสอน ข้างในเป็นคอร์ดแฮนด์เมด เนื้อเพลงเต็ม รูปแบบโครงสร้างเพลงละเอียด และแผ่นซีดี ที่เขียนด้วยลายมือว่า “คนไม่มีสิทธิ์ – DEMO – ver. Producer ThanaKorn”

    แถมพิเศษ ฉันยังหยิบสมุดบันทึกของตัวเองออกมา—ยับย่น เปื้อนเลอะ และมีรอยเท้าลาเต้ประดับอยู่หลายหน้า—แล้วยื่นให้ราวกับเป็นคัมภีร์โบราณ

    “มีโน้ตจัดเตรียมดนตรีด้วย” ฉันอธิบาย “เปลี่ยนจังหวะเล็กน้อย มีแนะนำอินโทร ถ้าพี่จะขึ้นเวทีพร้อมไฟก็มีบอกด้วย ถึงแม้—พูดตามตรง—โอกาสจะน้อยมากก็เถอะ”

    พี่ต้นจ้องสมุดเหมือนฉันยื่นคัมภีร์พระไตรปิฎกให้

    “นี่เขียนหมดนี่เลย?”

    “ฉันละเอียด” ฉันตอบเรียบ ๆ “หรือไม่ก็หมกมุ่น เส้นมันบางมากระหว่างกัน”

    Sponsored Ads

    ———————

    แนะนำวง (หรือ โรงรถ ความฝัน และพัดลมตั้งพื้นพัง ๆ)

    คืนนั้น ฉันตามพี่ต้นไปยังที่ซ้อมของวง—ห้องแถวเก่าแถวบางโพที่ดูเหมือนเคยเป็นคาราโอเกะก่อนที่ฝันจะพังลง

    สมาชิกวงนั่งแผ่บนโซฟาหนังเก่าที่ขาดกลาง ล้อมด้วยแอมป์ฝุ่นเกาะ ขวดน้ำอัดลมเปล่า และพัดลมส่ายหน้าโดนผีสิงที่หมุนอยู่ตรงกำแพงตลอดเวลา

    “ทุกคน” พี่ต้นพูดด้วยความภูมิใจ “นี่คือกรณ์ นักแต่งเพลงของเรา และโปรดิวเซอร์ด้วย เขาเป็นคนให้เพลงเรามา”

    พวกเขามองฉันเหมือนฉันเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่หลุดมาจากแผ่นเสียงไวนิล

    แล้วพี่ต้นก็ยื่นแผ่นเดโมให้พวกเขา

    “เปิดเลย” พี่ต้นพูดจริงจัง “เดี๋ยวนี้เลย”

    บอล มือกลอง หยิบแผ่นซีดีไปใส่ในเครื่องเสียงเก่าที่ดูเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทันทีที่อินโทรแบบ lo-fi ดังขึ้น—กีตาร์เพี้ยนเล็กน้อย เสียงซ่าเบา ๆ ลอยมาเหมือนวิญญาณเก่า—ทุกคนในวงโน้มตัวไปข้างหน้า

    แล้วเสียงฉันก็เริ่มร้อง

    …แย่

    ไม่ถึงกับร้องแล้ววิ่งหนี แต่ก็แย่พอที่ทุกคนทำหน้าเหมือนเผลอกินน้ำส้มสายชูโดยคิดว่าเป็นโค้ก

    ฝ้าย มือคีย์บอร์ด (และผู้หญิงคนเดียวในวง) กระพริบตาสองครั้ง “นั่น…เสียงนายเหรอ?”

    “ใช่” ฉันสารภาพอย่างภูมิใจพอ ๆ กับคนที่เพิ่งยอมรับว่าไปร้องคาราโอเกะแย่สุดในชีวิต

    มัน…ดิบดี” แดง มือกีตาร์คนที่สองพูดอย่างพยายามรักษาน้ำใจ

    “มัน…ดีนะ” เอกเสริม พร้อมเลิกคิ้ว

    “เหมือนมีคนเอาความเสียใจไปปั่นในเครื่องปั่น แล้วลืมปิดฝา” บอลพึมพำ

    พี่ต้นนั่งเงียบ หน้าตานิ่งสนิท พอเพลงจบลง ความเงียบก็ท่วมทั้งห้อง แล้วเขาหันมาทางฉัน

    “ฉันชอบมาก”

    ทุกคนหันมามองเขา เหมือนเขาเพิ่งประกาศว่าตัวเองอยากแต่งงานกับแซนด์วิชชีสย่าง

    “มันคือของจริง” เขาว่า “เราไม่ต้องการความเนี้ยบ เราต้องการหัวใจ แล้วนี่แหละ—หัวใจล้วน ๆ”

    นั่นแหละคือวินาทีที่ฉันรู้สองอย่างพร้อมกัน:

    หนึ่ง ฉันอาจเพิ่งได้ความเคารพจากวงนี้

    สอง ฉันหนีไม่รอดแล้ว ยังไงก็ต้องโปรดิวซ์เพลงนี้ให้จบแบบจริงจัง

    Sponsored Ads

    ———————

    ชำแหละเพลง (แค่เพลงนะ ไม่ใช่สติของฉัน)

    ฉันเปิดสมุดบันทึก แล้วเริ่มอธิบายโครงสร้างเพลง พวกเขาฟังอย่างตั้งใจเหมือนฉันกำลังเทศน์จากคัมภีร์

    อินโทร: กีตาร์ฟิงเกอร์พิกแบบใส ๆ “สร้างบรรยากาศ—เบาแต่มีจริต”

    ท่อนแรก: “ค่อย ๆ สร้างอารมณ์ ปล่อยให้เบสหายใจได้ ฝ้าย ฮาร์โมนีของเธอจะช่วยดึงพรีคอรัสให้ลอยขึ้นมา”

    ท่อนสอง: “เสียงเต็มวง อารมณ์ต้องมาแน่น ๆ คิดว่า ‘ยอมรับโชคชะตาแล้ว แต่ยังไม่โอเคกับมัน’”

    ท่อนบรรเลง: “ใส่โซโลหนัก ๆ ให้กระชากใจ”

    เอาท์โทร: “ถอดทุกอย่างออก ให้มันจบเบา ๆ แบบยอมแพ้ด้วยศักดิ์ศรี”

    ทุกคนพยักหน้าตาม สีหน้าเข้าใจ ฝ้ายเคาะปากกากับคีย์บอร์ดเบา ๆ “คิดมาเยอะเลยนะเนี่ย”

    “เยอะเกินไปด้วยซ้ำ” ฉันตอบ “ฉันคิดเรื่องนี้เยอะเกินควร”

    พี่ต้นหันมายิ้ม “ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงนะ โปรดิวเซอร์กรณ์”

    “ลาเต้เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ของฉันนะ” ฉันพูดเสริมทันที

    “…ลาเต้?” เอกถามด้วยความงง

    “แมวของฉัน” ฉันตอบจริงจัง “เขาอนุมัติงานสุดท้ายทุกไฟล์”

    พวกเขาพยักหน้าอย่างช้า ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าฉันพูดเล่นหรือจริง

    …ซึ่ง ฉันไม่ได้พูดเล่น

    หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการจัดเรียงเพลง ถกเรื่องโทนเสียงของเครื่องดนตรี และเถียงกันว่า 6/8 ควรนับยังไง (เฉลย: ไม่มีวิธีไหนถูกต้องจริง ๆ) เราก็ปิดการซ้อมลงในคืนนี้

    เรานั่งล้อมวงบนพื้น กินมาม่าด้วยส้อมพลาสติก ดื่มน้ำอัดลมจากแก้ววิสกี้เก่า

    “เพลงนี้นะ” พี่ต้นพูดระหว่างเคี้ยว “มันจะโดนใจคนแน่ มันคือเรื่องของพวกเราทุกคน คนที่ติดอยู่ข้างล่าง”

    “เพลงของคนที่ไม่มีชื่อเสียง” ฉันเสริม

    “คนไม่มีชื่อเสียงที่พัดลมพัง กับแอมป์ยืมเขามา” ฝ้ายพูดเสริมพร้อมรอยยิ้ม

    เราหัวเราะพร้อมกัน

    Sponsored Ads

    ———————

    ลาเต้—เช่นเคย—มีความเห็น

    กลับถึงบ้าน ฉันทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างหมดแรง

    ลาเต้เดินมาดมกระเป๋าของฉันอย่างจริงจัง (น่าจะได้กลิ่นปลาจากขนมของบอล) แล้วกระโดดขึ้นมานอนข้างฉัน ร่างหนัก ๆ ของเขาวางพาดซี่โครงอย่างอบอุ่น

    “ฉันส่งเดโมไปแล้วนะ” ฉันกระซิบ “ยังไม่ตาย พวกเขาชอบมัน…มั้ง”

    ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ แล้วเอาหัวมาชนคางฉันเบา ๆ

    “ขอบใจนะ” ฉันพึมพำ “แต่นายก็ยังไม่ได้ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์อยู่ดี”

    เขาสะบัดหางเหมือนรำคาญ ก่อนจะขดตัวกลายเป็นขนมปังก้อนกลมที่เต็มไปด้วยการตัดสิน

    ด้านนอก กรุงเทพยังคงส่งเสียงจาง ๆ อยู่ในความมืด—เสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงพ่อค้าเร่ตะโกนขายหมูปิ้งยามดึก เสียงหึ่ง ๆ ของป้ายไฟนีออนที่สัญญาว่าฝันนั้นเปิด 24 ชั่วโมง

    ภายในห้องเล็ก ๆ ฉันมีแผน มีทีม มีเพลง

    เป็นครั้งแรกในรอบนาน ฉันรู้สึกว่า…ฉันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปสู่ที่ไหนสักแห่ง

    ฉันคว้าสมุดโน้ตขึ้นมา เขียนสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตา

    📖 “ข้าพเจ้าคือกวีในเงามืด
    ข้าพเจ้าเขียนบทกวีด้วยความมืด
    เพราะที่นี่ไม่มีข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่
    ที่แห่งนี้มีแค่กวี
    กวีที่เปรียบดั่งต้นไม้ประหลาด
    ต้นไม้กลางพื้นที่รกร้าง
    เป็นต้นไม้ที่รากชี้ฟ้าใบแผ่ใต้ดิน
    นั่นแหละคือกวี
    นั่นแหละคือข้าพเจ้า

    ในเงามืด รอนฝัน ตะวันเศร้า

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note