019-กรณ์ หนี้ และบทกวีถึงแม่ (หรือฉันกลายเป็นนักกวีโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่สภาพจิตใจก็แอบพัง)

ปรากฏว่าหลังจากเพลงของฉันถูกเล่นสดครั้งแรก—หลังเสียงปรบมือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเบียร์ลีโอที่แชร์กัน—ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อ

เพราะโลกใบนี้มันไม่เคยหยุดเพื่อช่วงเวลาแห่งบทกวี

Sponsored Ads

คืนถัดมา ฉันกลับมาที่ 7-Twelve อีกครั้ง ยืนหลังเคาน์เตอร์ฟังเด็กมหาลัยพยายามจ่ายค่าเซลลอร์ปี้ด้วยเหรียญแคนาดา ไฟนีออนเหนือหัวสั่นพร่าราวกับคลื่นความว่างเปล่าในจิตใจ กลิ่นในอากาศก็ผสมกันระหว่างไส้กรอกไมโครเวฟกับน้ำยาถูพื้น

“กลับมาเป็นคนไม่มีตัวตนอีกแล้วสินะ” ฉันพึมพำ พลางสแกนมาม่าซองละ 25 บาทราวกับนี่คือโชคชะตา

ลูกค้าไม่ได้ยินฉัน โชคดีของเขา

จากวันไหลรวมเป็นคืน และฉันใช้ชีวิตอยู่ตรงรอยร้าวระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้น—แต่งเพลงจากความทรงจำในเวลาว่างอันแคบคับ นั่งอยู่บนพื้นกับกีตาร์ ลาเต้หลับปุ๋ยอยู่บนกองเสื้อยืดเก่า และปล่อยให้ท่วงทำนองเก่า ๆ ไหลผ่านปลายนิ้ว

บางวัน คอร์ดก็มาอย่างง่ายดาย บางวัน ฉันจ้องกำแพงแล้วเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจจะเคยแต่งเพลงได้แค่ในจินตนาการ

แต่ยังไงสมุดโน้ตก็ยังค่อย ๆ เต็มไปทีละหน้า ช้า ๆ เหมือนขวดที่ตั้งอยู่ใต้ก๊อกน้ำรั่ว

Sponsored Ads

———————

สายโทรศัพท์ (ลุงเอ๋กลับมาอีกครั้ง อย่างกับตัวร้ายในบทพล็อต)

วันที่ 15 กรกฎาคม เวลา 13:13 น. เป๊ะ ฉันได้รับสายหนึ่ง

เบอร์ไม่รู้จัก

ฉันถอนหายใจ มองเพดาน แล้วก็กดรับอยู่ดี

“กรณ์!” เสียงของลุงเอ๋ร้องมา ทั้งหวานทั้งบาดหูเหมือนกระดิ่งขึ้นสนิม “คิดถึงไหม?”

“เหมือนไมเกรนเลยครับ”

“แหม ตลกดี เอาเถอะ ใกล้วันเงินเดือนแล้ว แค่อยากโทรมาเตือนว่าหลานยังติดหนี้ลุงอยู่ ดอกเบี้ยมันไม่หยุดแค่เพราะหลานมัวไปแต่งเพลงเศร้าแล้วก็เลี้ยงแมวอ้วน ๆ หรอกนะ”

ฉันเหลือบมองลาเต้ที่กระพริบตาช้า ๆ อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“ผมเพิ่งจ่ายไปเดือนที่แล้วนะ”

“ถูกต้องเลย!” เขาตอบเสียงร่าเริง “หลานจ่ายมาตั้ง 5,000 บาทในเดือนมิถุนายน เป็นเด็กดีเลยนะ งั้นตอนนี้เหลือหนี้อีกแค่…”

เขาหยุดไปเหมือนตัวร้ายในการ์ตูนที่กำลังจะเฉลยตัวเลขนรก

“…สองแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาท”

สุดยอดไปเลย

ฉันสัญญาว่าจะส่งอีก 5,000 หลังเงินเดือนรอบหน้า—ถ้าไม่หมดไปกับอาหารแมวกับบัตรเติมอินเทอร์เน็ตก่อนนะ

หลังจากวางสาย ฉันรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรบางอย่างมาเยียวยา และเพราะว่าลาเต้กำลังหลับ ส่วนมาม่าก็หมด ฉันเลยหันไปหาอินเทอร์เน็ตแทน

เสียงโมเด็มร้องโหยหวนเหมือนวิญญาณดิจิทัลกำลังถูกทรมาน แล้ว…ฉันก็ออนไลน์

ฉันเข้าไปที่เว็บบอร์ดเดิม ที่เคยไปจุดไฟสงครามบทกวีโดยไม่ตั้งใจ หัวใจเต้นแรงตอนคลิกเข้าไปดูกระทู้เก่าของตัวเอง

แต่ที่น่าแปลก มันยังไม่ตาย ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ

Sponsored Ads

“มีใครรู้ไหมว่าใครเป็นคนเขียน อยากอ่านอีก”

“เราแอบปริ้นท์ไปให้คลาสเขียนบทอ่านนะ อย่าบอกอาจารย์ล่ะ”

“ใครก็ตามที่เขียนนี่ เห็นโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น”

ท่ามกลางพวกปั่น กับตัวตนหลงตัวเอง ก็ยังมีคนจริง ๆ อยู่ตรงนั้น คนที่มองเห็นบางอย่างในสิ่งที่ฉันเขียน คนที่ ‘แคร์’

และสิ่งนั้น…ช่วยฉันไว้จริง ๆ

ฉันเลื่อนดูฟอรั่มกับเว็บสมัครงานแบบสมัครเล่น หางานเสริมอะไรก็ได้ที่ยังอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ขอแค่ไม่ต้องหลอกคน หรือยัดซองตอนตีสอง

แล้วฉันก็เจอ

“ประกวดเขียนกลอนสี่วันแม่ – โดยสำนักพิมพ์ดวงแก้ว”

หัวข้อ: ‘แม่’
กติกา: กลอนสี่ 1 บท
หมดเขตส่ง: 20 กรกฎาคม 2543
รางวัลที่หนึ่ง: 10,000 บาท และตีพิมพ์ในนิตยสารเดือนสิงหาคม

ฉันกระพริบตาปริบ ๆ หนึ่งหมื่นบาท? แค่เขียน?

ทันใดนั้น บทพูดเศร้า ๆ ทุกประโยคที่เคยพร่ำใส่แสงไฟตู้เย็นตอนตีสาม ก็กลายเป็นทุนทรัพย์ทางกวีที่น่าลงทุน

ลาเต้หาวข้าง ๆ ฉัน โดยไม่รู้เลยว่า ฉันกำลังจะขุดทุกความทรงจำเกี่ยวกับแม่ (ทั้งของจริงและของยืม) มาใช้เพื่อความอยู่รอดเชิงวรรณกรรม

Sponsored Ads

———————

ในขณะที่อีกโลกกำลังร้องเพลงในผับ

ในระหว่างที่ฉันกลับไปเขียนกลอน และนับสต็อกบะหมี่ถ้วย “คนไม่มีสิทธิ์” กลับกำลังทำในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดเลย

มันเริ่มแพร่กระจาย

พี่ต้นส่งข้อความมาหาฉันตอนเช้า

“โว้ยยย พี่เล่นสามผับในอาทิตย์นี้ ทุกที่ขอให้เล่นเพลงนี้ซ้ำหมดเลย
ฝ้ายบอกว่ามีลุงคนนึงร้องไห้ตอนท่อนสอง แบบ…น้ำตาจริง ๆ อะ”

เอกส่งตามมาอีกว่า

“เมื่อคืนมีผู้หญิงสองคนร้องตามตอนท่อนฮุก โว้ย! เพลงยังไม่ขึ้นวิทยุเลยนะ!!”

ฉันยิ้มเงียบ ๆ อ่านซ้ำหลายรอบ

เพลงได้ออกไปเจอโลกแล้ว—ไกลจากผนังแตกร้าว ไกลจากไมค์พัง ๆ และคอร์ดที่ยืมมาใช้

และตอนนี้ มีคนร้องมันอยู่

นั่นแหละ…คือเวทมนตร์แบบที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจออีกหลังจาก ‘ตาย’ ไปแล้ว

———————

กลับมาที่ห้อง พร้อมปากกาและคำปฏิญาณ

ฉันเปิดสมุดโน้ตไปหน้าว่างหน้าใหม่ แล้วจ้องมองบรรทัดที่ยังว่างเปล่า

กลอนสี่สำหรับวันแม่

ไม่ใช่อะไรที่วิจิตร ไม่ใช่อะไรที่สลักมาจากตำนาน แค่บางอย่างที่จริงใจ ไม่ใช่พวงมาลัยมะลิ หรือภาพวาดแม่ในกรอบทอง ฉันอยากเขียนถึงแม่แบบที่ตื่นมาต้มน้ำตอนฟ้ายังไม่สว่าง แม่ที่จำอาการแพ้ของฉันได้ดีกว่าวันเกิดของฉันเอง แม่ที่ไม่เคยพูดว่า “เห็นไหม บอกแล้ว” แม้ฉันจะสมควรได้ยินก็ตาม

ดังนั้นฉันจึงเขียน บางอย่างเล็ก ๆ แต่จริง

กอดตัวเมื่อเหงา อุ่นไม่เท่าแม่กอด
ห่วงใยตลอด คือแม่เรา

เพียงสี่บรรทัด

แต่มันกลับมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดทั้งหมดที่ฉันเคยลบไปก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉันวางปากกา ฉันไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลย—แค่เงียบ เหมือนแผลที่เพิ่งถูกล้าง ไม่ได้หายดี แต่ได้รับการยอมรับแล้ว

ฉันปิดสมุดลง หัวใจหนักแน่นในแบบที่ดี ไม่ใช่เศร้า …เพียงแต่มัน “เต็มเปี่ยม”

———————

กะดึก แสงดาว และชัยชนะเงียบ ๆ

เวลา 4 ตี ฉันยืนอยู่หน้าร้าน 7-Twelve ใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ สูดลมหายใจเข้าเหมือนหวังว่าเมืองนี้จะหายใจกลับมาให้บ้าง

กรุงเทพฯ ในชั่วโมงนั้นนุ่มนวลเป็นพิเศษ แสงนีออนกระพริบเหมือนกล่อมเพลงกล่อมเด็ก หมาจรขดขาตัวเองยู่ข้างร้านที่ปิดไปแล้ว ไม่ไกลนัก มีแท็กซี่จอดนิ่งใต้ไฟแดงกระพริบ และจากมุมหนึ่งของถนนเสียงเพลงลูกทุ่งลอยมาเบา ๆ เหมือนความทรงจำ—อบอุ่น ช้ำ และคุ้นเคย

มือของฉันมีกลิ่นฝุ่นจากชั้นวางของกับไส้กรอกแช่แข็ง เท้าปวดล้า เป้าตาหนักอึ้งจากการอดนอน แต่ในกระเป๋าเสื้อของฉัน มีบทกวีแผ่นหนึ่งพับเก็บไว้—เป็นบทกวีที่จริงใจ ตรงไปตรงมา และเขียนขึ้นเพื่อคนที่เลี้ยงดูฉันมาด้วยความหวังและน้ำนมเท่านั้น

และในกล่องข้อความของฉัน มีข้อความจากพี่ต้นว่า:

“เล่นเพลงอีกแล้วคืนนี้ สองคนร้องตามได้ท่อนฮุก ไม่รู้จะดีใจหรือกลัวดี”

ฉันยังไม่ตอบทันที แค่ยิ้มออกมา เพราะฉันรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร เพลงกำลังเคลื่อนไหว
เงียบ ๆ ช้า ๆ จากบาร์หนึ่งไปสู่อีกบาร์ จากเสียงหนึ่งไปสู่อีกเสียง

ไม่ต้องมีสตูดิโอ ไม่ต้องมีโปรดักชันหรู แค่มีคนฟัง แล้วรู้สึก แล้วอยากฟังอีก

และในค่ำคืนหนึ่งของกรุงเทพฯ อากาศไม่รู้สึกหนักอีกต่อไป โลกไม่เหมือนกำลังบีบฉันไว้ มันเหมือนกำลังเปิดออก แค่เล็กน้อย แต่ก็พอแล้ว

Sponsored Ads