เสียงฮัมเบา ๆ ของไฟนีออนและเสียงต๊อกแต๊กจากคีย์บอร์ดเติมเต็มความเงียบในร้านซ่อมของผม มันเป็นหนึ่งในยามเย็นหายากที่เงียบสงบ ไม่มีลูกค้าโผล่มาเรียกร้องปาฏิหาริย์ให้แก้ของพัง ผมกำลังจะปิดร้าน แต่เมื่อประตูเปิดพรวด และเอกมอเตอร์ไซด์วินแถวนี้ก็โผล่เข้ามา หอบหายใจแรงและกำโทรศัพท์ไว้แน่นราวกับมันเป็นของสำคัญที่สุดในชีวิต
Sponsored Ads
“นาวิน” เขาหอบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ช่วยผมที”
ผมถอนหายใจพลางหมุนเก้าอี้หันมา “เอก ถ้านี่เกี่ยวกับบลูทูธของมอเตอร์ไซค์นายอีกครั้ง คราวนี้ฉันจะคิดค่าสองเท่าเลยนะ”
“ไม่ใช่เรื่องรถ!” เขาสวนกลับ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์จ่อหน้าผม “มันนี่ต่างหาก”
วิดีโอในจอสั่นไหว—ฝีมือการถ่ายแบบเอกทั่วไป—แต่ชัดพอให้เห็นเครื่องคาราโอเกะหยอดเหรียญเก่า ๆ ตั้งอยู่ในอะไรที่ดูเหมือนโกดังเก็บของที่มืดสลัว หน้าจอแตกร้าวของเครื่องกระพริบ ๆ ขณะที่มันเล่นเพลงรักไทยในเวอร์ชันที่บิดเบี้ยวจนน่าขนลุก แต่มันไม่ใช่เพลงที่ทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วน แต่เป็นข้อความที่กระพริบบนหน้าจอ ชื่อเต็มและวันเกิดของเอก
“มันต้องคำสาป” เอกพูดด้วยเสียงสั่น “ผมสาบานเลยนาวิน ผมไม่ได้แตะต้องมันเลย มันเริ่มทำแบบนี้เอง”
“เครื่องมันไม่ได้เล่นเองหรอก” ผมพูด แม้ว่าความเย็นวาบจะไหลผ่านกระดูกสันหลัง “อาจจะเป็นแค่สายไฟเก่าลัดวงจร”
“สายไฟมันไม่กระซิบนะ” เอกพูดเบา ๆ
Sponsored Ads
ผมเลิกคิ้วขึ้น “กระซิบ?”
เขาเปิดคลิปอีกคลิปให้ดู คราวนี้ไมโครโฟนของเครื่องส่งเสียงกระซิบเบา ๆ แต่ฟังได้ชัด มันเหมือนเสียงคนพูดผ่านสัญญาณแทรก แม้จะฟังจับใจความยาก แต่คำพูดบางคำก็กรีดผ่านความเงียบมาได้
[ร้อง…ให้ฉัน]
“นายเจอของนี่ที่ไหน?” ผมถาม
“ที่พักริมทางร้าง” เอกตอบ “มันดูเจ๋งดี ผมก็เลยเอามาอวดเพื่อน คิดว่ามันน่าจะสนุก แต่ตอนนี้… ตอนนี้มันเป็นแบบนี้”
ก่อนที่ผมจะทันตอบอะไร ประตูร้านก็เปิดอีกครั้ง และธนาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ ตามสไตล์ของเขา “มีเรื่องฉุกเฉินอะไร? หรือในที่สุดคนก็รู้ว่านายน่ะซ่อมของไม่เก่งแล้วล่ะสิ นาวิน?”
“มาทันเวลาเป๊ะ” ผมพูดพร้อมพยักหน้าไปทางเอก “เขาเอาเครื่องคาราโอเกะต้องสาปมาให้เรา”
รอยยิ้มของธนาแปรเปลี่ยนเป็นกว้างกว่าเดิม “เครื่องคาราโอเกะต้องสาป? นี่มันเรื่องดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับฉันทั้งอาทิตย์เลย ฉันจะเอาเสียงร้องเพลงสุดต้องสาปของฉันมาโชว์—มันก็แย่พออยู่แล้ว”
“อย่าทำเลย” ผมพึมพำ “เรากำลังพยายามแก้ปัญหา ไม่ใช่ทำให้มันแย่ลง”
Sponsored Ads
———————
ไปยังโกดัง
โกดังเก็บของของเอกเป็นอย่างที่ผมคาดไว้ทุกประการ คับแคบ รก และเต็มไปด้วยของเก่าของเสียที่เขาน่าจะเก็บมาจากรอบ ๆ ตอนส่งของ แต่ที่กลางห้อง ราวกับเป็นจุดเด่นอันชั่วร้าย เครื่องคาราโอเกะตั้งอยู่ สีแดงและเหลืองที่ฉูดฉาดของมันลอกล่อน ช่องหยอดเหรียญขึ้นสนิม แต่หน้าจอยังคงกระพริบแสงจาง ๆ เหมือนมันยังมีชีวิต
“มันไม่ได้เสียบปลั๊ก” เอกพูดทันที ชี้ไปที่สายไฟที่ห้อยอยู่บนพื้น “เห็นไหม? ไม่มีไฟ”
ธนาโน้มตัวเข้าไปใกล้ พร้อมกับหยีตา “อาจจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานผี หนึ่งในสองอย่างนั้น”
ผมไม่สนใจเขา ก้าวเข้าไปใกล้เครื่องอย่างระมัดระวัง อากาศรอบ ๆ เครื่องเย็นลงเหมือนเดินเข้าไปในตู้แช่แข็งที่ถูกลืมไว้ “อาจจะมีแบตสำรองอยู่” ผมพูด แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่เชื่อคำพูดนั้น
ทันทีที่ผมแตะเครื่อง มันกลับมีชีวิต หน้าจอเรืองแสงขึ้น และลำโพงส่งเสียง แทรก ก่อนจะเล่นจะเล่นเพลงไทยคลาสสิกในเวอร์ชันบิดเบี้ยวให้ฟังอีกครั้ง เมโลดี้ที่ช้าจนเหมือนถูกลากผ่านโคลนเหนียว ๆ แล้วไมโครโฟนก็ส่งเสียงกระซิบอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม
[ร้อง…ให้ฉัน]
เอกส่งเสียงร้องลั่นและถอยหลังไป ธนาแน่นอนว่ากลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หลอนแล้วก็ดราม่าแบบนี้ ฉันชอบ”
“ธนา” ผมพูดเสียงเข้ม “ถอยออกมาจากเครื่องเดี๋ยวนี้”
Sponsored Ads
ก่อนที่เขาจะตอบอะไร หน้าจอเครื่องกระพริบอีกครั้งพร้อมข้อความใหม่ ตัวอักษรเป็นเหลี่ยมคมและกระพริบถี่
[อีกหนึ่งเพลง]
“โอเค” ธนาพูดพลางถอยหลังเล็กน้อย “บางทีฉันอาจจะไม่ชอบมันแล้ว”
ผมคว้าสายสิญจน์จากกระเป๋า พันรอบไมโครโฟนของเครื่องอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบค่อย ๆ จางลง แต่เครื่องยังคงส่งเสียงฮัม หน้าจอเริ่มเปลี่ยนข้อความวนไปมา [ร้องหรือชดใช้] แล้วตามด้วย [เสียงของคุณเป็นของฉัน]
“ดี” ผมพูดพลางถอนหายใจ “เราจะเอาเครื่องนี้กลับไปที่ร้าน”
“ทำไมล่ะ?” ธนาถาม “ทิ้งมันไว้ที่นี่แล้วจบ ๆ ไปไม่ได้เหรอ?”
“เพราะว่า” ผมตอบพร้อมส่งสายตาเตือนเขา “ถ้ามันกระซิบแบบนี้ตอนนี้ ลองนึกดูว่ามันจะทำอะไรถ้ามันเริ่มร้องเพลงเอง”
Sponsored Ads
———————
น่าตื่นเต้น
กลับมาที่ร้าน เครื่องคาราโอเกะตั้งตระหง่านอยู่กลางโต๊ะทำงานของผม หน้าจอมันกระพริบเป็นช่วง ๆ พร้อมข้อความบางส่วนที่ขึ้นมาแบบแปลก ๆ
[ร้อง…หรือทุกข์ทรมาน]
“ฉันว่านะ” ธนาพูดพลางยิ้มขำ “มันคงโกรธนายแล้วล่ะ”
ผมกลอกตา ก่อนจะเอื้อมมือหยิบเครื่องมือขึ้นมา “อะไรก็ตามที่อยู่ในเครื่องนี้ ฉันจะหาคำตอบให้ได้”
ทันทีที่ผมไขสกรูแผงด้านหลังออก ลำโพงของมันก็ส่งเมโลดี้ที่บิดเบี้ยวอีกครั้ง คราวนี้เสียงกระซิบดังขึ้นชัดเจนกว่าเดิม มันไม่ได้เป็นแค่คำพูดสุ่ม ๆ แต่มันเอ่ยชื่อ
[นาวิน] ชื่อของผม
ธนาชะงักนิ่ง “เอ่อ นาวิน…บางทีนายควรหยุดแตะมันนะ”
เครื่องเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ไมโครโฟนของมันหมุนมาทางผมเหมือนกำลังชี้นิ้วกล่าวหา จากนั้นหน้าจอดับลง เหลือเพียงข้อความเดียวที่ปรากฏขึ้นอย่างเยือกเย็น
[ถึงตาคุณ]
และเป็นครั้งแรกในเย็นวันนั้น ผมเริ่มคิดว่า—บางที—ธนาอาจจะพูดถูกก็ได้
Sponsored Ads