มันคือช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งแปลว่า…เงินเดือนกำลังจะออก และนั่นก็แปลว่า “ลุงเอ๋” สามารถได้กลิ่นเงินเดือนฉันได้จากระยะไกล เหมือนหมาตำรวจที่ตามรอยพระเอกบาดเจ็บในหนังแอคชั่นเกรดบี
Sponsored Ads
เสียงโทรศัพท์ดังตอนบ่ายนิด ๆ ปลุกฉันจากการงีบหลังเลิกกะกลางคืน เสียงริงโทนเป็น MIDI เวอร์ชั่นสุดคลาสิก “ตื๊อ… ตื๊อ… ตือดือดือ~” เพลง ” Gran Vals”
เบอร์ไม่รู้จัก
แน่นอน ฉันมองมันเหมือนงูที่ขดตัวอยู่ตรงหน้า แล้วก็รับสายอยู่ดี
“กรณ์!” ลุงเอ๋ทักมาเสียงแจ่มใส แต่ฟังดูปลอมแบบคนที่ยิ้มขณะนับเงินจากการปล่อยกู้ “แค่อยากโทรมาเช็กดูว่านักแต่งเพลงประจำกะกลางคืนของฉันยังสบายดีอยู่นะ ไม่ลืมข้อตกลงเล็ก ๆ ของเรานะจ๊ะ?”
“ฉันไม่ลืมหรอก ฉันไม่เคยลืมคนที่คิดดอกเบี้ยฉัน 15% หรอกนะ”
“พูดได้ดีมาก!”
ฉันโอนเงินไปให้เขา 5,000 บาท ทั้งที่ยังไม่ได้แปรงฟันด้วยซ้ำ
💰 อัปเดตยอดหนี้:
ยอดหนี้คงเหลือ: ฿270,000
(โดยที่ดอกเบี้ยยังคงหายใจรดต้นคอฉันอยู่)
หนี้เดิมจากลุงเอ๋: ฿300,000
ยอดชำระรอบนี้: ฿5,000
Sponsored Ads
———————
คลิก เลื่อน จ้อง ซ้ำ
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าเหมือนกำลังประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ โมเด็ม dial-up ส่งเสียงกรีดร้องเหมือนผีบันชีใกล้ตาย—ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจแปลก ๆ
ฉันพิมพ์ URL: duangkaewpublishing.co.th
เลื่อนลง หัวใจเต้นแรง แล้วมันก็อยู่ตรงนั้น
รางวัลที่สาม: กวีในเงามืด – “กอดตัวเมื่อเหงา อุ่นไม่เท่าแม่กอด ห่วงใยตลอด คือแม่เรา”
ฉันกระพริบตา อ่านอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง จากนั้นหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ ปนความดีใจแบบไม่ทันตั้งตัว
มีคอมเมนต์สั้น ๆ ใต้ชื่อฉันจากคณะกรรมการ:
“มีความประณีตทางภาษา แต่ค่อนข้างนามธรรมเกินไปสำหรับผู้อ่านทั่วไป อารมณ์สื่อได้ชัดเจน แต่ยังขาดความเข้าถึงง่ายในวงกว้าง”
แปลว่า: ‘เราชอบนะ แต่มันเหมาะกับคนที่วิญญาณพังไปแล้วเท่านั้นแหละ’
ผู้ชนะคือ?
“แม่คือผู้ให้ ด้วยใจเต็มรัก ไม่เคยหยุดพัก รักลูกด้วยใจ”
—ได้รับคำชมว่าเรียบง่าย เข้าถึงง่าย และอบอุ่นจากใจจริง
ฉันยอมรับนะ—มันก็เพราะดี…แค่ไม่ใช่ของฉัน
Sponsored Ads
———————
หนึ่งพันบาทที่ฉันไม่เคยได้ใช้
ฉันจ้องผลการประกวดบทกลอนอยู่นาน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์
มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินรางวัลพันบาทอีกต่อไป แต่มันคือความรู้สึกประหลาดที่หนักอยู่หลังดวงตา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อสองชีวิตซ้อนทับกัน แล้วคุณก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในโลกไหนกันแน่
ความจริงก็คือ— ฉันจำหน้าพ่อแม่ในโลกนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฉันยังจำแม่ของฉันได้ แม่จากชีวิตก่อนหน้า ผมหยักโศกเล็กน้อย เสียงเล็กแหลมแต่ใจดี
มือที่อ่อนโยน มีกลิ่นบรรเทาปวดติดปลายนิ้ว
แต่ในโลกนี้ ในประเทศไทยเวอร์ชันนี้ ในไทม์ไลน์นี้… แม่ของฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น
ที่นี่ พวกเขาอยู่ทางเหนือ ในสวนผลไม้ ไม่ใช่ที่นา พ่อก็ยังดื้อเหมือนเดิม แม่ก็ยังทำงานหนักเหมือนเดิม แต่ใบหน้า…ความทรงจำ…มันพร่าเลือน เหมือนฝันที่คุณตื่นเร็วเกินไป ฉันต้องโทรหาเธอ ไม่ใช่แค่จะบอกว่าได้รางวัล แต่เพราะฉันอยากได้ยินเสียงเธอ อยากให้สองความทรงจำนั้นหลอมรวมกัน อยากเชื่อว่าชีวิตนี้…มันก็เป็นของฉันเหมือนกัน
“แม่” ฉันพูดทันทีที่เธอรับสาย
“หืม?” เธอตอบ น้ำเสียงระแวงปนนุ่ม “ไปทำอะไรมาอีกล่ะ?”
“ฉันชนะรางวัลน่ะ”
“อย่าบอกนะว่า…หวย”
“ไม่ใช่ แค่ประกวดกลอนวันแม่”
เธอเงียบไปพักหนึ่ง ฉันได้ยินเสียงกระทะเหล็กกระทบเตา กับเสียงผัดผักบุ้งที่คุ้นเคย
“ลูกแต่งกลอนได้ด้วยเหรอ?” เธอพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“ฉันเขียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“นึกว่ามีแต่นิยายน้ำเน่า”
“มันก็อันเดียวกันนั่นแหละ” ฉันหัวเราะ
ฉันเล่าให้เธอฟังว่าได้เงินพันบาท เธอก็เริ่มทำเสียงประท้วงตามสูตร แต่ฉันโอนให้เธอก่อนที่เธอจะพูดจบเสียอีก
Sponsored Ads
ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอส่งข้อความกลับมา:
“แม่เก็บไว้ให้งานแต่งของลูกนะ”
ฉันถอนหายใจ ยิ้มเล็ก ๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่มีวันแต่งงานหรอก”
ลาเต้ที่นอนเกลือกอยู่บนสมุดเพลงของฉันเหมือนตุ๊กตาถ่วงกระดาษแบบมีขน หาวอย่างเอื่อยเฉื่อยแบบไม่ใส่ใจ แม้แต่ขนตายังไม่กระพริบ
ก่อนจะวางสาย ฉันลังเลเล็กน้อย แล้วถามเบา ๆ “แล้วพ่อเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงแม่อ่อนลงทันที “ก็ยังไปงัดต้นมะม่วงอยู่เหมือนเดิม ทำเป็นไม่ปวดหลังน่ะนะ ช่วงนี้ฝนดี ปลูกล็อตหลังเพิ่มอีก แต่ก็พังรถไถอีกแล้ว”
ฉันหัวเราะเบา ๆ “บอกพ่อด้วยนะว่าอย่าแบกของหนักคนเดียว”
“แม่ก็บอกแล้ว แต่เขาไม่เคยฟัง ลูกก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“น่าสงสารเขาเนอะ”
เราหัวเราะพร้อมกัน
แล้วเธอก็พูดเสียงเบา “กินข้าวบ้างนะลูก ฟังดูเหนื่อย ๆ”
“ฉันเหนื่อยตลอดแหละแม่ แต่ไม่เป็นไรหรอก”
และครั้งนี้… เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฉันมาอยู่ในโลกนี้ ที่คำว่า “ไม่เป็นไร” ของฉัน รู้สึกเหมือนมันเป็นจริง
———————
จากบาร์เถื่อนสู่เดโมเทป
วันถัดมา ฉันได้รับสายจากพี่ต้น เสียงเขาสั่นแทบทะลุลำโพงออกมา
“โว้ย กรณ์! ไอ้พี่จากค่ายเพลงน่ะ มาจริงเมื่อคืนนี้!”
“พี่จากค่ายไหนนะ?”
“ที่ฉันเคยบอกไว้ไง จากพึ่งใจมิวสิค เขาได้ยินพวกเราเล่น ‘คนไม่มีสิทธิ์’ แล้วบอกว่าอยากอัดจริง ออกเทปจริงจังเลย!”
ฉันนั่งหลังตรงทันที “พูดจริง?”
“จริงจังมาก แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
ฉันรอฟัง
“เขาจะไม่ไฟเขียวให้ออกเทป ถ้าไม่มีอีกอย่างน้อยหนึ่งเพลงที่ปังเท่ากัน”
“แล้วพี่อยากให้ผมเขียน”
“ไม่มีแรงกดดันนะ แต่จริงๆ ก็มีแรงกดดันทันทีเลยอะ ฮา เขียนได้ไหม?”
ฉันหันไปมองลาเต้ มันจ้องกลับมาด้วยสีหน้าของแมวที่เห็นฉันตัดสินใจพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน และก็ยังอยู่กับฉันอยู่ดี
“ได้,” ฉันตอบ “ฉันจะเขียน”
คืนนั้น ระหว่างช่วงที่ร้านเงียบ ฉันยืนหลังเคาน์เตอร์ 7-Twelve เขียนเนื้อเพลงลงหลังใบปลิวเรดบูลจางๆ ที่คั่นอยู่ระหว่างหมากฝรั่งกับคูปองไส้กรอกใกล้หมดอายุ
ความกดดันครั้งนี้ต่างออกไป
เพลงแรกเหมือนแสงแฟลร์กลางความมืด แต่เพลงนี้? มันคือก้าวต่อไป คือหลักฐานว่าเพลงก่อนหน้าไม่ใช่แค่โชคช่วย
มันเหมือนพยายามจับสายฟ้าใส่เครื่องวอล์กแมนพังๆ ด้วยปากกาด้ามสุดท้ายของจักรวาล
แต่ท่อนแรกก็มา จากนั้นเป็นฮุก แล้วก็จังหวะที่ฉันรู้สึกได้ในกระดูกของตัวเอง
ฉันฮัมมันเบาๆ — มั่นใจ ติดหู แบบที่ทำให้เผลอตบเท้าตามในคืนอบอ้าวของกรุงเทพฯ แล้วอาร์ม เพื่อนร่วมงานของฉันก็เดินผ่านมาในจังหวะนั้นพอดี
“แต่งเพลงเศร้าอีกแล้วเหรอ?” เขายิ้มกวน
ฉันไม่เงยหน้าเลย “เปล่า ฉันกำลังแต่งเพลงฮิตอยู่”
เขากะพริบตา “หืม”
“เดี๋ยวจะได้เห็น นายจะได้จัดแผงขายซีดีที่มีชื่อฉันบนปกเร็วๆ นี้แหละ”
“ขอให้ขายได้ก็แล้วกัน” เขาพึมพำก่อนเดินจากไป
Sponsored Ads
———————
คะแนนอนุมัติจากลาเต้: ยังคงโหด แต่ก็ซื่อสัตย์
กลับถึงห้อง ฉันเปิดเซ็ตอัดเสียงสุดโทรมเหมือนเคย — ไมค์เก่าโปร่งแสง ซอฟต์แวร์ Cakewalk เถื่อน และแมวที่นั่งจ้องฉันจากบนไมโครเวฟอย่างจับผิด
ฉันเปิดเดโมให้ลำโพงเล่น
มันไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันมีจังหวะ มีความมั่นใจ มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เผลอขยับหัวตามโดยไม่รู้ตัว
ลาเต้ลุกขึ้นนั่ง หางกระดิกเบาๆ อย่างสำรวจ
“ว่าไง?” ฉันถาม
มันจ้องฉันกลับด้วยสายตาแบบเดียวกับที่มันจ้องปลาทูน่าราคาถูก
แล้วหลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง มันก็เดินไปชนหัวกับลำโพง แล้วก็นอนขดอยู่ข้างๆ เหมือนจะบอกว่า ก็พอไหวอยู่นะ
“รู้อยู่แล้วล่ะ” ฉันว่า พลางหยิบสมุดโน้ตกลับมาอีกครั้ง “ฉันไม่ได้แต่งเพลงเศร้า…ฉันแต่งเพลงฮิตต่างหาก”