มันเริ่มจากหนังสือพิมพ์ยับ ๆ แผ่นหนึ่ง
ไม่ใช่นิมิตจากฟากฟ้า ไม่ใช่แสงแห่งอัจฉริยะที่พลันบังเกิด แต่เป็นสำเนาหนังสือพิมพ์ Bangkok Herald ที่มีใครบางคนวางทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์ 7-Twelve ข้างหมากฝรั่งหนึ่งซอง และจดหมายรักที่เขียนค้างไว้ถึง “ถึงนุ่น เคาน์เตอร์ 2”
Sponsored Ads
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอ่านเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นฉันกำลังเติมชาเขียวขวดเย็นที่หายไปเร็วกว่าปกติอย่างน่าสงสัย—น่าจะเป็นเพราะอาร์มติดชารอบดึก จนสายตาเหลือบไปเห็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า:
“ไทยชนอิรัก ศึกเอเชียนคัพ 2000 – โค้ชลั่น ‘พวกเราไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อเข้าร่วม’”
และชั่วขณะนั้น ทุกสิ่งในโลก—สลากสินค้า หนี้สิน ฮอตด็อกอุ่น ๆ—ก็เลือนหายไป เพราะมันมีบางอย่างในถ้อยคำนั้น “พวกเราไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อเข้าร่วม”
พระเจ้า… มันกระแทกบางอย่างในใจ บางอย่างเก่าแก่ เล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยเปลวไฟของความหวัง
ฉันนั่งลงบนลังนมหลังเคาน์เตอร์ ตู้แช่ด้านหลังส่งเสียงฮัมเหมือนกล่อมให้หลับ และเริ่มอ่านทุกคำในบทความนั้นเหมือนกำลังอ่านบทกวี
ประเทศไทยไม่เคยผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาหลายปีแล้ว กูรูทั้งหลายต่างพากันหัวเราะ ทีมเดินทางออกไปพร้อมความคาดหวังพอประมาณ และเสียงปรบมืออย่างสุภาพจากประเทศที่ชาชินกับความผิดหวัง
แต่โค้ช—ชายคนหนึ่งผมเกรียน แววตาแน่วแน่แบบที่มักเห็นในหนังวัยรุ่นมากกว่าในข่าวกีฬา—กลับจ้องตาผู้สื่อข่าวแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เรามาที่นี่เพื่อสู้ เรามาที่นี่เพื่อฝัน”
และในวินาทีนั้น โครงสร้างคอร์ดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวฉัน ไม่ใช่ทำนอง ยังไม่ใช่ แต่เป็นความรู้สึก
มันมีความบ้าบางอย่างที่ฝังอยู่ในตัวนักศิลปะและนักกีฬา—ผู้คนที่กล้าโยนตัวเองเข้าหาความฝันที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการไม่พยายามมันเจ็บยิ่งกว่า
ฉันไม่เคยเตะฟุตบอล ไม่ชอบพละ การออกกำลังกายของฉันมีแค่การวิ่งขึ้นบันได BTS ตอนชั่วโมงเร่งด่วน แต่ฉันรู้ดีว่าการอยากบางสิ่งจนหัวใจมันแทบจะแตกออกมาเป็นยังไง รู้ดีว่าการยืนอยู่ในสนามแห่งความไม่มั่นใจของตัวเองแล้วตะโกนสวนลมออกไปมันรู้สึกยังไง
ฉันแตะพาดหัวข่าวอีกครั้ง ปล่อยให้คำพูดนั้นสะท้อนอยู่ในใจ “เราไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อเข้าร่วม”
นั่นแหละ นั่นคือหัวใจของบทเพลงนี้
พอหมดกะ ฉันก็เขียนเนื้อเพลงครึ่งหน้าใส่หลังใบแจ้งของน้ำดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่ง พระอาทิตย์ขึ้นราวกับรอให้ใครสักคนสังเกตเห็น ฉันเดินกลับห้องด้วยกระดาษแผ่นนั้นกำแน่นในมือ เหมือนมันคือความลับที่ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว
ไกลออกไป มีใครสักคนเปิดเครื่องเล่นเทปจากหน้าต่างชั้นสอง เพลงอะไรสักอย่างดังออกมา แม้ฉันฟังไม่ชัด แต่จังหวะของมันก็คล้ายกับเสียงหัวใจที่ไม่ยอมชะลอ
ส่วนหนึ่งในใจฉันอยากจะหันไปถามว่า
“เฮ้ คุณคิดว่าบทเพลงน่ะ มันทำให้คนเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ได้ไหม?”
แต่สุดท้าย ฉันก็แค่เดินต่อไป เพราะในใจ ฉันรู้คำตอบอยู่แล้ว
Sponsored Ads
———————
“เหยียบดาว” (หรือ: ความหวังบันทึกไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะพยายามไม่ได้)
บทเพลงนี้เริ่มต้นจากสองสิ่ง
เศษหนังสือพิมพ์ New Bangkok Post ที่มุมขาดวิ่น มีคำว่า “AFC Asian Cup 2000” พออ่านออกข้างภาพเบลอ ๆ ของมิดฟิลด์ที่กำลังวิ่งเต็มฝีเท้า
กับเสียงพัดลมเก่าของฉันที่ดังครืดคราดราวกับพยายามจะจับจังหวะกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามันเอง
ฉันจ้องหน้ากระดาษเปล่าในสมุดบันทึก แล้วมองไปที่กีตาร์
จากนั้นก็มองลาเต้ ที่กระพริบตาหนึ่งทีเหมือนจะบอกว่า เอาไงล่ะ?
เอาล่ะ ฉันดีดสาย คอร์ดหนึ่ง… แล้วก็คอร์ดที่สอง
ฉันไม่ได้แค่เล่นเพลง ฉันพยายาม ปล่อย มันออกไป เหมือนสตั๊ดที่ออกตัวจากพื้นหญ้าเพื่อวิ่งไล่ลูกบอลครั้งแรก เหมือนเด็กคนหนึ่งที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วถามว่า
“ทำไมจะไม่ใช่ฉัน?”
🎶 “จะไปดวงดาวที่ไกลสุดปลายฟ้า ไปดวงจันทร์ที่ล่องลอยบนนภา…” 🎶
ฉันไม่ได้พยายามให้มันดูฉลาด ฉันแค่พยายามให้มัน ซื่อสัตย์
เนื้อเพลงไหลมาเร็ว… เร็วกว่าปกติ อาจเป็นเพราะครั้งนี้ฉันไม่ได้เขียนจากความทรงจำ
ฉันเขียนจาก แรงขับ จากบางอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ศรัทธาบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านการกรอง
🎶 “หลายคนบอกว่าฉันทำผิด แต่ชีวิตของใครก็ของมัน…” 🎶
ฉันเขียนเร็วขึ้น ท่อนฮุคมาเต็มแรง
🎶 “จะไปเป็นคนที่ยืนอยู่บนนั้น มันอาจไกลแต่หัวใจไม่หวั่น…” 🎶
ประโยคนั้นทำให้ฉันชะงัก หายใจลึก มันไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลอีกแล้ว
มันคือเรื่องของทุกค่ำคืนที่ฉันเคยนอนมองเพดาน ถามตัวเองว่า ชีวิตนี้ เส้นเวลานี้ มีที่ว่างสำหรับคนอย่างฉันไหม? พนักงานออฟฟิศล้มเหลวจากอีกโลกหนึ่ง ที่มีแค่เครดิตแย่ ๆ Cakewalk ละเมิดลิขสิทธิ์ กับแมวหนึ่งตัวที่แย่งพื้นที่บนเตียงไปครึ่งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังเขียนอยู่
ทำนองของมันเหมือนดึงขึ้นข้างบน มีความโหยในทุกโน้ตที่ฉันไม่รู้ว่ามันหลุดออกมาจากตรงไหน ฉันอัดเสียงไกด์โวคอลในรอบเดียว ไม่ใช่เพราะมันสมบูรณ์ แต่เพราะมันมีความสั่นไหวในเสียงที่ฉันแกล้งทำไม่ได้
🎶 “คนเราชีวิตนั้นสั้นจะตาย ทำไมไม่ใช้มัน…” 🎶
ใช่เลย ประโยคนั้นมันใกล้ตัวเกินไป
ฉันนั่งปรับเสียงจนถึงเช้า ดึงคีย์บอร์ดเข้ามาใกล้ ใส่ไลน์ซินธ์ที่เหมือนแสงไฟหน้ารถผ่าฝน เพิ่มแบ็คกิ้งโวคอลให้เหมือนเสียงฝันที่ไล่ตามคุณอยู่กลางสนามฝุ่นใต้แสงไฟสนาม
พอทุกอย่างจบ ฉันนั่งเงียบ ไม่ใช่ความเงียบจากความเหนื่อย แต่เป็นความเงียบแบบที่กระซิบว่า “วันนี้นายสร้างบางอย่างขึ้นมานะ”
ลาเต้กระโดดขึ้นโต๊ะ ดมไมโครโฟน เหยียบคีย์แบบไม่ตั้งใจ แล้วก็เปิดท่อนแรกของเพลงขึ้นมาใหม่
ฉันยิ้ม
🎶 “ฉันจะบอกเธอไว้ ว่าฉันจะไปบนฟ้าเหยียบดาวสักวัน…” 🎶
“ฉันจะไปให้ได้” ฉันพูดกับเพดาน แล้วพูดกับลาเต้ แล้วพูดกับความเงียบ เพราะบางที เราไม่ได้เกิดมาแค่เพื่ออยู่รอด บางที… เราเกิดมาเพื่อร้องเพลง แม้จะเป็นแค่กับตัวเอง ตอนตีห้า แม้จะไม่มีใครเชื่อในความฝันของเราก็ตาม โดยเฉพาะตอนนั้นแหละ…ที่ต้องร้องให้สุดเสียงที่สุด
Sponsored Ads
———————
คอมเมนต์ คำขอโทษ และการไถ่บาปเงียบ ๆ ของอินเทอร์เน็ต
ตอนนั้นเป็นเวลาตีสองครึ่ง
ร้านเงียบ มีแค่เสียงฮัมของตู้แช่กับเสียงถอนหายใจเป็นระยะจากอาร์ม ที่กำลังเรียงขวดนมเปรี้ยวเหมือนกำลังทำพิธีศักดิ์สิทธิ์
ฉันนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เท้าแขนไว้กับโต๊ะ เอียงหัวพิงมือข้างหนึ่ง นิ้วอีกข้างเคาะเบา ๆ ข้างแป้นพิมพ์ฝุ่นจับของคอมพิวเตอร์ประจำร้าน เครื่องเดียวที่ช้าพอจะให้ฉันได้คิดอะไรระหว่างที่หน้ากำลังโหลด
เราถูกห้ามใช้มันเปิดเว็บส่วนตัว แน่นอน ฉันก็เปิดฟอรั่มกลอนอยู่นั่นแหละ
ที่เดิม ที่เคยมีคนวิจารณ์โคลงสี่สุภาพของฉันว่า “เรียบเกินไป” ราวกับรายงานกลุ่มที่ไม่มีใครอยากทำ ที่ที่ชื่อยูสเซอร์นิรนามแต่งตัวด้วยความหยิ่งทะนงราวกับน้ำหอม
แต่คืนนี้มันต่างออกไป
หัวข้อกระทู้:
[“เด็กบ้านนอก” ทำให้ฉันโทรหาคุณแม่เลย (ขอบคุณนะ ใครก็ตามที่เขียน)]
ผู้ใช้ “rainyseason_feels”: “เพลงนี้… มันมีต้นฉบับจากกลอนใช่ไหม? บรรทัดที่พูดถึง ‘กอดตัวเมื่อเหงา’? โอ้โห ฉันร้องไห้เลย”
ผู้ใช้ “regretful_critic”: “ตอนมันออกใหม่ ๆ ฉันเคยด่าไว้ว่าธรรมดาเกินไป แต่พอฟังเวอร์ชันที่ร้องสดในผับ ฉันร้องไห้หนักมากในหอพัก”
ผู้ใช้ “sonofamotorcyclemechanic”: “ “ขอบคุณคนเขียนกลอนนี้นะ คุณทำให้ฉันนึกออกว่าชีวิตที่บ้าบอนี้ ฉันกำลังทำเพื่อใคร”
ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้กระพริบตาถี่ ๆ ไม่มีใครรู้ว่าคนเขียนคนนั้นคือตัวฉันเอง ไม่มีใครรู้ว่าในขณะที่พวกเขากำลังร้องไห้จากการฟังแผ่นบันทึกเสียงสดในผับ ฉันกำลังถูน้ำอัดลมที่หกในชั้นสาม ไม่มีใครรู้ว่าฉันยังคงปริ้นท์ใบเสร็จให้ลูกค้าที่ถามหาฮอตดอก ขณะจดท่อนฮุคใหม่ไว้ในใจ และนั่นแหละ… มันถึงได้สวยงาม
ฉันไม่ได้ต้องการเครดิต ฉันแค่ต้องการความเงียบในตอนที่บทกวีส่งถึงคนที่มันควรไปถึง
ความหยุดนิ่ง ความหน่วงในอก กรรมดีแบบเงียบ ๆ ที่อินเทอร์เน็ตคืนกลับมาในตอนที่คุณไม่ได้จ้องมันอยู่ ฉันย่อหน้าต่างลงพอดีกับที่อาร์มเดินผ่านมาพร้อมตะกร้าแซนด์วิชหมดอายุ
“แต่งกลอนเที่ยงคืนอีกแล้วเหรอ?” เขาถาม
“ก็ประมาณนั้นแหละ” ฉันตอบ
เขายิ้ม “ยังดีกว่านับของในคลัง”
ฉันคิดในใจว่า… ก็แค่พอ ๆ กันนั่นแหละ แต่กลอนน่ะ อย่างน้อยมันไม่มีบาร์โค้ด
ตอนตีสี่ ถนนข้างนอกเริ่มผ่อนลมหายใจ ลาเต้คงนอนอยู่ที่บ้านแล้ว ม้วนตัวบนผ้าซักค้างไว้ราวกับเพิ่งจบกะดึกสิบสองชั่วโมงในการตัดสินชีวิตฉันด้วยสายตา
ฉันขีดข้อความสั้น ๆ ไว้บนใบเสร็จสำรองก่อนจะตอกบัตรเลิกงาน
“ปล่อยให้ถ้อยคำมีชีวิตของมันเอง เธอแค่เขียนก็พอ”
แล้วฉันก็เดินออกไปสู่ราตรีอีกครั้ง ทั้งที่ยังจน ไม่มีใครรู้จัก
แต่คืนนี้… ฉันรู้สึกเหมือนมีใครได้ยินเสียงฉันจริง ๆ
Sponsored Ads
———————
ฝันให้ไกล ค่อยว่ากันทีหลัง
ตอนที่ฉันกลับถึงห้อง ในที่สุด นาฬิกาบนผนังกระพริบตัวเลขสีเขียวเพลีย ๆ ว่า 6:12 น. และลาเต้ก็นั่งจ้องอยู่ตรงประตูทางเข้า ราวกับกำลังรอจะยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการ
ฉันยื่นข้อแก้ตัวตามปกติในรูปของปลาทูน่าพรีเมียม และเกาคางให้สามทีถ้วน ก่อนจะปล่อยกระเป๋าลงบนพื้นราวกับถุงไส้กรอกเวฟกับภาระทางอารมณ์อันถาโถม ร่างกายอยากล้มลง แต่สมองยังไม่ยอมจบ
เพราะทำนองมันยังไม่ไปไหนเลย
🎶 “จะไปดวงดาวที่ไกลสุดปลายฟ้า…” 🎶
เนื้อร้องมันยังติดอยู่ เหมือนไฟฟ้าสถิตเกาะอยู่ตามผิวจิตใจ สะบัดยังไงก็ไม่หลุด ยิ่งฮัมก็ยิ่งรู้สึกว่าเพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงเชียร์บอล มันคือเพลงของคนที่เคยถูกบอกว่า “อย่าพยายามเลย”
คนแบบฉัน คนที่เอาความฝันค่าแรงขั้นต่ำ แล้วกล้าดึงมันยาวเหมือนริบบิ้นเทปคาสเซ็ตต์พาดผ่านท้องฟ้า
เจ็ดโมงครึ่ง ฉันอาบน้ำ แต่งตัว ใส่เสื้อเชิ้ตลายทางที่ดูเหมือน “มีความคิดสร้างสรรค์” หน่อย ๆ (แม้แขนเสื้อจะสั้นไปหน่อยก็เถอะ) แล้วเปิดแฟ้มเก็บของสำคัญ—ซีดีเดโม เนื้อเพลงพิมพ์ ฟอร์มลงทะเบียน และรายการคำนวณว่าเหลือเงินพอซื้อมาม่ากี่ห่อหากไม่กินข้าวทั้งสัปดาห์
ฉันสอดเพลง “เหยียบดาว” ลงในซองจดหมายใหม่ ท่อนฮุคยังดังอยู่ในหัวขณะที่ฉันปิดผนึก
🎶 “จะไปเป็นคนที่ยืนอยู่บนนั้น มันอาจไกลแต่หัวใจไม่หวั่น…” 🎶
ใช่… ฟังแล้วมันใช่เลย แล้วก็มาถึงช่วงที่ฉันเกลียดที่สุด
จ่ายค่าลงทะเบียนลิขสิทธิ์ห้าร้อยบาท อีกแล้ว ฉันจ้องแบงก์ใบสุดท้ายในกระเป๋าเหมือนมันทรยศฉัน ซึ่งในแง่หนึ่ง… มันก็ทรยศจริง ๆ นั่นแหละ
ฉันคิดจะเลื่อนออกไปก่อน รอเงินเดือนรอบหน้า หรืออยู่รอดด้วยคอร์นเฟลกส์กับกาแฟสำนักงานไปก่อนสักอาทิตย์
แต่ฉันก็นึกถึงเด็ก ๆ ที่เคยนั่งรถเมล์ข้างฉัน ดวงตาเป็นประกาย เล่นบอลในจินตนาการด้วยรองเท้าขาด ๆ นึกถึงทีมชาติไทยที่พยายามแบกความฝันของทั้งประเทศไว้บนขาอ่อนล้าและสนามหญ้าที่ไม่เคยสมบูรณ์
ฉันจึงหยิบซองขึ้นมา และอุ้มแมวขึ้นมาด้วย “รอบนี้อย่าฉี่ใส่ซองอีกล่ะ” ฉันเตือนลาเต้
เขาหาวตอบ
กรมทรัพย์สินทางปัญญายังคงเหมือนเดิม: แสงไฟขาวจ้า เอกสารกองเป็นตั้ง และเจ้าหน้าที่ที่ดูเหมือนนั่งจัดฝันคนอื่นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2495
เจ้าหน้าที่หญิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อเพลง
“เหยียบดาว?” เธอทวน
ฉันพยักหน้า “แบบ… เหยียบดาวบนท้องฟ้าน่ะครับ”
เธอทำหน้ากลาง ๆ แล้วตอบ “ห้าร้อยบาทค่ะ”
ฉันยื่นเงินเหมือนขายชิ้นส่วนจิตวิญญาณตัวเองให้เธอ เธอรับไปโดยไม่กระพริบตา
กลับถึงห้อง ฉันทิ้งตัวลงบนฟูกข้างลาเต้ แขนกางเหมือนนักมวยที่เพิ่งโดนน็อกกลางเวที
“สามเพลงแล้วสินะ” ฉันพูดเบา ๆ ขณะมองเพดาน
คนไม่มีสิทธิ์
กรุงเทพมหานคร
เด็กบ้านนอก
และตอนนี้…
เหยียบดาว
สี่เพลง หนึ่งแมวขี้ตัดสิน และศูนย์ชั่วโมงการนอน แถมฉันยังต้องไปเข้ากะคืนนี้อีก
ฉันปิดตา ปล่อยให้เพลงเล่นวนในหัวอีกครั้ง คราวนี้ดังขึ้น ราวกับมันควรจะดังอยู่ในสนามกีฬา หรืออย่างน้อยก็ในห้องนั่งเล่นแคบ ๆ ที่มีลำโพงพัง ๆ และคนตะโกนใส่ทีวีขณะดูเอเชียนคัพ
🎶 “ฉันจะบอกเธอไว้ ว่าฉันจะไปบนฟ้าเหยียบดาวสักวัน” 🎶
ใช่…แม้ว่าสุดท้ายฉันจะไปไม่ถึงดาวจริง ๆ แต่อย่างน้อย ฉันก็จะกล้าฝันถึงมัน
Zeal