ถ้ามีใครบอกฉันเมื่อห้าเดือนก่อน ว่าวันหนึ่งฉันจะได้เงินจากการแต่งเพลงแทนการเรียงขนมปังไส้กรอกไมโครเวฟในร้านสะดวกซื้อ ฉันคงถามกลับว่า “คุณดื่มไปกี่แก้ว?” แล้วอาจขอมาสักหนึ่งแก้ว
Sponsored Ads
แต่นี่แหละ ฉันยืนอยู่ตรงนี้
ปลายกันยายน อากาศเหนียวเหนอะ หน้าฝนฟุ้ง ๆ กลิ่นหมูปิ้งผสมกลิ่นฝนและลมหายใจดีเซลจากรถเมล์ทั่วกรุงเทพ เสื้อเชิ้ตของฉันแนบตัวเหมือนมันถูกออกแบบโดยหมึกยักษ์จองเวร
และตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เป็น “ออฟฟิศชั่วคราว” ของวงพี่ต้น ในเป้ของฉันมีซองจดหมาย—ข้างในคือคอร์ดที่เขียนด้วยลายมือ โน้ตเรียบเรียง ท่อนเนื้อร้อง และซีดีไรต์แผ่นใหม่พร้อมปากกาขูดขยี้เขียนไว้ว่า “เหยียบดาว (DEMO)” และใช่ ฉันวาดรูปดาวดวงเล็กไว้ข้างชื่อเพลงด้วย ตอนนั้นรู้สึกกล้าแปลก ๆ
วงซ้อมเพลงนี้มาหลายวันแล้ว ฉันแค่ยังไม่เห็นด้วยตาตัวเอง เลยคิดว่าการส่งครั้งนี้จะจบง่าย ๆ แค่ส่ง ๆ แล้วแยกย้าย
แต่พี่ต้นดันเห็นฉันก่อนจะเดินถึงโต๊ะ เขานั่งอยู่โต๊ะอะลูมิเนียมขึ้นสนิม กำลังกินก๋วยเตี๋ยวเรือเหมือนคนที่เพิ่งผ่านสมรภูมิ เขาเช็ดปาก โบกมือเรียก แล้วแสยะยิ้มเหมือนกำลังจะถูกรางวัล
“กรณ์!” เขาทัก เหมือนญาติห่าง ๆ ที่ได้เจอกันในงานศพ
ฉันวางซองลงบนโต๊ะ
“ทุกอย่างอยู่ในนี้ โครงสร้างเพลง เนื้อร้อง ซีดีเดโม ไม่มีตีคอร์ดประสานเสียงนะ ฉันเดาว่าพวกพี่คงอยากลองเอง”
พี่ต้นพยักหน้า เปิดซองด้วยท่าทางเหมือนเปิดเอกสารลับสุดยอด แล้วชะโงกดูข้างใน จากนั้นเขาก็หยิบ Nokia 3310 ออกมา แล้วพิมพ์อะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่วินาทีถัดมา โทรศัพท์ของฉันสั่น
คุณได้รับเงินจำนวน 10,000 บาท
ฉันกระพริบตา “เดี๋ยว…อะไรนะ?”
เขาทำหน้าคล้าย ๆ จะน้อยใจ “อะไร นายคิดว่าเราจะไม่จ่ายเหรอ?”
“คือ…ปกตินายต้องต่อราคาก่อน แล้วเราจะเถียงกันห้านาที แล้วฉันจะประชดอะไรสักอย่าง แล้วนายถึงจะลดราคาชาเย็นให้”
พี่ต้นเอนหลัง พิงเก้าอี้ ยกมือไขว้หลังศีรษะ “ไม่ล่ะ เพลงนี้มัน…มันพิเศษ ‘เหยียบดาว’ มันมีความหมายสำหรับหลายคนจริง ๆ ทุกคนในวงรู้สึกได้เลย แม้แต่บอลยังร้องไห้ และไอ้หมอนั่นเคยหัวเราะตอนดู สุสานหิ่งห้อย ด้วยซ้ำ”
ฉันเลิกคิ้ว “จริงดิ?”
“โอเค เค้าเหมือนจะจามมากกว่า แต่หน้าตาเหมือนจะอินนะ”
ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ยังงงอยู่
หนึ่งหมื่นบาท ไม่มีการต่อราคา ไม่มีความรู้สึกผิดแปลก ๆ มีแต่การยอมรับอย่างเงียบ ๆ ว่าบางครั้ง ความฝันมันไม่ได้ถูก แต่มันก็คุ้มค่าที่จะจ่ายเต็มจำนวน
เขาตบหลังฉันเบา ๆ ขณะที่ฉันลุกเตรียมกลับ “แต่งต่อไปนะ โปรดิวเซอร์ พวกฉันจะร้องต่อให้เอง”
ฉันเดินออกจากร้านพร้อมกลิ่นซีอิ๊วในผม เงินก้อนหนึ่งในบัญชี และความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ไม่ใช่ความภูมิใจ ไม่ใช่การโล่งใจ
บางทีอาจจะเรียกว่า… แรงขับเคลื่อน
ความรู้สึกที่ว่า อะไรบางอย่าง ในที่สุด มันก็เริ่มขยับ
ลาเต้คงจะภูมิใจ หรือไม่ก็เรียกร้องขนมแมวสูตรพรีเมียมคืนนี้แน่ ๆ
Sponsored Ads
———————
ท่องเน็ตยามเช้า และแรงบันดาลใจดิจิทัล
ฉันกลับถึงห้องตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ตาเบลอ หัวตึงจากพายลดราคาที่กินมากไปหน่อย และยังมีกลิ่นจาง ๆ ของไส้กรอกกับน้ำยาถูพื้นติดตัวอยู่
กะดึกที่ 7-Twelve เมื่อคืนนี้ถือว่าเรียบ ๆ ถ้าไม่นับชายคนหนึ่งที่ใส่วิกตัวตลกแล้วพยายามเอาโรลไส้กรอกที่กินไปครึ่งหนึ่งมาขอคืนเงินด้วยเหตุผลว่า “รสชาติมันลบหลู่ศักดิ์ศรีของเขา”
ฉันวางกระเป๋าลงกับพื้นเบา ๆ ถอดรองเท้า แล้วพึมพำทักทายลาเต้ ซึ่งนั่งจ้องฉันจากขอบหน้าต่างเหมือนเทพเจ้าเฝ้าบ้านที่กำลังประเมินชีวิตฉันเงียบ ๆ
ฉันควรจะเข้านอนเลยด้วยซ้ำ แต่แทนที่จะทำแบบนั้น ฉันกลับเปิดคอมพิวเตอร์เก่าขึ้นมา—ส่วนหนึ่งก็เพราะความเคยชิน เหมือนเกาจุดคัน หรือเปิดตู้เย็นทั้งที่รู้ว่าในนั้นไม่มีอะไรใหม่
เสียงโมเด็มดังขึ้นอย่างทรมาน ฉันเฝ้ามองแถบโหลดค่อย ๆ ขยับเหมือนโดนคำสาปจากวิญญาณอาฆาต
ในที่สุด ฉันก็เข้ามาที่เว็บบอร์ดที่คุ้นเคย ที่ระบายความในใจแบบไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ที่ที่ไม่มีใครรู้ว่าฉันคือใคร และนั่นแหละที่ทำให้มันน่าอยู่
แล้วฉันก็เห็นมัน
“เขียนเรื่องสั้นส่ง ‘วารสารมองมารายเดือน’ ได้ค่าตอบแทนตั้งพันนึง! ใครบอกนักเขียนต้องอดตาย 55555”
โพสต์โดย user_boywriter1998 พร้อมลายเซ็นว่า “Blessed by ink & slightly broke”
ฉันจ้องโพสต์นั้น หนึ่งพันบาท สำหรับเรื่องสั้น
ครึ่งหนึ่งของค่าเช่าห้องฉัน อาหารสองอาทิตย์ (ถ้าไม่กินมื้อเช้า) หรือราวหกถุงของทรายแมวสูตรเต้าหู้พรีเมียม (ถ้าลาเต้ไม่ประท้วงแอบฉี่ใส่มุมห้องเหมือนคราวก่อน) ฉันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
กลิ่นแว็กซ์ถูพื้นที่ติดมาจากกะเมื่อคืนยังลอยอยู่ในห้อง ข้างนอกเมืองกำลังงัวเงียตื่น
นกเริ่มทะเลาะกันบนรางน้ำ เสียงละครช่องเจ็ดของห้องข้าง ๆ ซึมทะลุกำแพงมาเบา ๆ
และฉันก็นึกถึงบางอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำ
รถเมล์คันนั้นในช่วงปลายเดือนสิงหา ร้อน อืด แน่น ฉันนั่งแถวหลัง หลังจากไปจดลิขสิทธิ์เพลง เด็กบ้านนอก หัวเต็มไปด้วยเนื้อเพลงเงียบ ๆ รถเบรกกระทันหัน ฉันเกือบล้มใส่แม่ค้าลำไย
นอกหน้าต่าง ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราว ๆ ห้าสิบกว่า อุ้มเด็กเล็กไว้ข้างหนึ่ง อีกมือถือหนังสือเรียนเป็นตั้ง เสื้อเปียกเหงื่อ รองเท้าแตะขาด แต่ดวงตาของเธอยังมองไปข้างหน้า เหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างที่ยังไม่ยอมยกมือยอมแพ้
นั่นแหละคือเรื่องเล่า
ไม่ใช่ตอนนั้น แต่ตอนที่มันย้อนกลับมาในหัว ชัดเจนเหมือนเข็มตำ
ฉันเอื้อมไปหยิบปากกา แล้วเปลี่ยนใจ เปิด Notepad บนคอมแทน เพราะแม้แต่ผีก็สมควรถูกพิมพ์ลงไปบ้าง
“รถเมล์ กรุงเทพฯ ชีวิตประจำวัน เพลง ??”
มันยังไม่ใช่ผลงานชิ้นเอก แต่มันคือไอเดียของฉัน
ลาเต้กระโดดขึ้นโต๊ะจากด้านหลัง มองหน้าจอ แล้วทิ้งตัวนอนทับแป้นพิมพ์อย่างสงบ
เหมือนเครื่องหมายจุลภาคมีชีวิต
“โอเค นายร่วมเขียนก็ได้” ฉันพูดออกมา
เขาสะบัดหางเบา ๆ ฉันถือว่านั่นคือการอนุมัติ และแค่นั้น ฉันก็มีภารกิจใหม่
เขียนเรื่องสั้น ส่งเข้าไป แล้วหวังว่าใครสักคนจะจ่ายค่าตอบแทนพอให้ฉันเปิดไฟได้ต่ออีกเดือน …แล้วก็อาจจะเปลี่ยนชื่อให้ดูเท่ขึ้นอีกหน่อย
Sponsored Ads
———————
“เมืองหลวง” ฉบับเขียนใหม่ด้วยตั๋วรถเมล์และหัวใจที่บอบช้ำ
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นบนรถเมล์ เหมือนเรื่องหลาย ๆ อย่างในเมืองนี้
รถเมล์สีเหลืองควันดำคันหนึ่ง ที่หน้าต่างปิดไม่สนิท และคนขับขับเหมือนกำลังหนีอดีตอะไรบางอย่าง ฉันนั่งแถวกลาง ถูกบีบอยู่ระหว่างลุงที่หลับสนิทกับลังผักที่ถูกมัดด้วยเชือกฟางสีแดง เบาะที่นั่งเก่าจนรู้สึกว่ามันอยู่มานานกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยส่วนใหญ่ ส่วนกระเป๋าของฉันก็ค่อย ๆ ลื่นลงไปตามพื้นทางเดินราวกับว่ามันมีจุดหมายที่ดีกว่าฉัน
ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดถึงวรรณกรรมเลย ฉันแค่คิดว่า ค่าจดลิขสิทธิ์เพลงใหม่จะเท่าไหร่ แล้วป้าขายก๋วยเตี๋ยวหน้าออฟฟิศจะยังให้จ่ายแบบเชื่อได้อีกไหม
แล้วเมืองก็เปลี่ยน
ไม่ใช่แบบดราม่าหรืออะไร ไม่มีดอกไม้ไฟ ไม่มีชะตากรรมมาเคาะกระจก มันเป็นแค่จังหวะหนึ่ง คลิกหนึ่ง บางอย่างที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ลึกมาก ชายที่นั่งหน้าฉันจามจนมือถือหล่น เด็กท้ายรถร้องเพลง “คนไม่มีสิทธิ์” แบบเพี้ยน ๆ และรถก็เลี้ยวผ่านไซต์ก่อสร้างที่ฉันจำไม่ได้ว่ามีเมื่ออาทิตย์ก่อน
แล้วฉันก็นึกออก
ไม่ใช่คำพูดแบบเป๊ะ ๆ คำพวกนั้นหล่นหายไปตามกาลเวลาเหมือนเศษเหรียญที่ร่วงหล่นใต้โซฟา แต่เป็นจังหวะ เป็นน้ำหนัก เรื่องสั้นที่ฉันเคยอ่านในอีกชีวิตหนึ่ง เรื่องที่เกาะติดตัวฉันเหมือนความชื้นในกรุงเทพฯ เรื่องราวของ ชายคนหนึ่ง เมืองหนึ่ง วันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง
เขาเลิกงาน ขึ้นรถเมล์ ทุกอย่างดูปกติ ธรรมดาจนเรียกว่าเฉื่อยชา จนกระทั่งมีก้อนหินตกจากไซต์ก่อสร้างลงมาตรงหน้าเขา เกือบโดนเขา แต่สุดท้ายเขาก็แค่เดินผ่านไป ไม่มีใครสนใจ แม้แต่เขาเอง
เพราะในเมืองหลวง เราชินกับการรอดจากบางอย่างโดยไม่รู้ตัวว่ามันควรจะฆ่าเราไปแล้ว
พอรถถึงป้ายที่ฉันจะลง ฉันไม่ได้คิดถึงค่าลิขสิทธิ์อีกต่อไปแล้ว ฉันกำลังเขียน “เมืองหลวง” ฉบับของฉันขึ้นมาใหม่อยู่ในหัว ฉบับที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯของฉัน กับชีวิตที่ยืมมานี้
ฉันกลับถึงห้อง ก้าวข้ามลาเต้ที่นอนประท้วงอยู่หน้าพัดลม แล้วนั่งลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ทำเสียงเหมือนเพิ่งวิ่งมินิมาราธอน จอมอนิเตอร์กระพริบสองทีถึงจะตื่น แป้นพิมพ์ยังขาดปุ่ม ‘N’ แต่ปลายนิ้วฉันก็เริ่มขยับอยู่ดี
📖 “ก็ผ่านไปอีกวัน ผมคิดขณะเก็บของบนโต๊ะ เดินออกจากที่ทำงานตรงดิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ ผมอ่อนเพลียละเหี่ยใจเกินกว่าจะเดินทอดน่องมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเหมือนเดิมทุกวันเวลาเลิกงาน มีแต่ผู้คนพลุกพล่านไปมา สีหน้าบอกบุญไม่รับกันทั้งนั้น
ผมชะงักตรงไซต์ก่อสร้างแห่งหนึ่ง มีก้อนหินหล่นมาตรงหน้าพอดี ถ้าผมเดินเร็วกว่านี้นิดเดียว มันก็อาจจะหล่นมาลงหัวผม หินก้อนแค่นี้ก็คงจะโน ไม่ถึงแตก ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปที่เครนเห็นคนงานทำงานวุ่นวายอยู่ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจว่ามีก้อนหินก้อนหนุ่งเพิ่งจะหล่นเฉียดหัวผผมไป “
ฉันไม่ได้เขียนมันเพื่อเสียงปรบมือ แต่เขียนเพราะรู้สึกว่าจำเป็นต้องเขียน
เพราะในเมืองนี้ ผู้คนถูกลืมได้ง่ายเกินไป และอย่างน้อย ต้องมีใครสักคนที่จำไว้ได้
แม้จะเป็นแค่ฉัน—พนักงานกะดึก ผู้เป็นหนี้ มีแมวหนึ่งตัว และกีตาร์มือสองที่เล่นคอร์ด G ไม่เคยเพี้ยน
📖 “… ‘จากบ้านนอกสู่เมืองฟ้า เดินมาตามหัวใจ จากมาตามความฝันที่ใฝ่ หวังว่าต้องได้ดี บ้านวันนี้เหมือนเดิมมั๊ย ไม่ได้ไปก็หลายปี ห่วงบางคนที่แสนดี ตอนนี้แม่ทำอะไร’ เด็กบ้านนอก เสียงใครหนอ ใครเปิดวิทยุหรือไร ผมชะงักจากการลุกขึ้น นั่งลงอย่างเก่า…เสียงดี ร้องเพราะ เด็กบ้านนอก ไอ้หนุ่มอีสานคนนั้นนั่นเอง… ”
ฉันเขียนถึงเพลงเด็กบ้านนอก เพื่อบางอย่างที่เป็นตัวฉันเอง เพื่อบางอย่างที่เป็นความจริง และสำหรับเธอ
📖 “ ‘เดี๋ยวก่อน ขอโทษเถิด ถามจริงๆ บ้าหรือเปล่า’ ผมถามไปอย่างลุกลี้ลุกลน ‘เปล่า…’ หนุ่มนักร้องส่ายหน้า ‘…แต่อยากบ้าเหมือนกัน’ เขาตอบผม
แล้วเดินหายไปในกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันรอรถเมล์แถวนั้น”
เมื่อฉันเขียนเสร็จ ลาเต้ก็กระโดดขึ้นโต๊ะเหมือนทุกครั้ง ดมแป้นพิมพ์ เหยียบแป้นเว้นวรรค แล้วจ้องหน้าจออย่างนิ่งงัน ฉันชอบคิดว่าเขาอนุมัติ หรือไม่ก็แค่หิวอีกแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็กด ‘บันทึก’ แล้วเปลี่ยนชื่อผู้ใช้เป็น “ตะวันหลงทาง” ก่อนจะกดส่งไฟล์ไปยังเว็บของนิตยสาร
ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีแรงกดดัน แค่เรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง
การลุกขึ้นต่อต้านแบบเงียบ ๆ ที่พิมพ์ขึ้นในความมืด
และเสียงพัดลมที่ดังแอ๊ดเบา ๆ อยู่เหนือหัว เตือนฉันว่า อย่างน้อย ฉันยังอยู่ตรงนี้
Sponsored Ads
———————
คลิกเบา ๆ ที่เข้าที่
การส่งต้นฉบับเรื่องสั้นออนไลน์ในปี 2543 นั้นโรแมนติกพอ ๆ กับการจ่ายบิลด้วยเหรียญบาท
เว็บไซต์ค้างไปสองรอบก่อนจะยอมรับไฟล์ที่อัปโหลด อีเมลยืนยันก็ไม่มีอะไรเกินกว่าหนึ่งประโยคสั้น ๆ ที่ดูเหมือนเขียนโดยข้าราชการที่เหนื่อยล้าและมีเรื่องทะเลาะกับเครื่องหมายวรรคตอน
แต่ทันทีที่เห็นหัวข้อในกล่องจดหมายว่า
“ได้รับต้นฉบับแล้ว – แผนกวรรณกรรมประจำเดือน”
ฉันก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้เหมือนเพิ่งส่งอะไรบางอย่างขึ้นสู่อวกาศ ซึ่ง…ในแง่หนึ่ง มันก็จริง ไม่ใช่ระเบิด ไม่ใช่ผลงานชิ้นโบแดง แค่…อะไรบางอย่างที่เป็นความจริง ฉันไม่ได้ฉลอง ไม่ได้ลุกจากเก้าอี้ด้วยซ้ำ แค่นั่งมองจอมอนิเตอร์เก่า ๆ ที่มีฝุ่นจับ จนเงาสะท้อนของตัวเองในหน้าจอเริ่มดูเหมือนใครบางคนที่ฉันอาจอยากกลายเป็น
ลาเต้ขยับตัวขณะหลับอยู่ข้างหลังฉัน หางของเขากระทบสมุดโน้ตของฉันเบา ๆ หนึ่งที
เหมือนเครื่องหมายวรรคตอน นุ่มนวลแต่หนักแน่น
มันอาจไม่มาก แต่ก็เป็นบางสิ่ง และบางครั้ง “บางสิ่ง” ก็เพียงพอแล้ว
คืนนั้น ฉันยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ที่ 7-Twelve มองเด็กมหา’ลัยคนหนึ่งยืนลังเลอยู่หน้าชั้นขนมขบเคี้ยว ไม่รู้จะเลือกเลย์รสสาหร่ายหรือสปาเก็ตตี้สำเร็จรูปดี ร้านทั้งร้านอาบอยู่ในแสงไฟนีออนที่เหนื่อยล้าแบบเฉพาะตัว แสงที่ทำให้ทุกอย่าง รวมถึงความฝันของคุณ ดูซีดจางเกินจริงไปนิดหน่อย
อาร์มส่งกาแฟให้ฉัน
“เมื่อคืนดึกเหรอ?”
“ฝันตอนเช้า” ฉันตอบ
เขากะพริบตา “นั่นมันลึกซึ้งมาก หรือไม่ก็แกยังไม่ได้นอนเลย”
“ทั้งสองอย่างก็เป็นเรื่องจริงได้”
ช่วงเวลาที่เหลือของกะ ฉันก็ฮัมท่อนฮุก “เหยียบดาว” เบา ๆ ในลำคอ ขีดเส้นทำนองลงบนกระดาษเศษ ๆ ระหว่างลูกค้ากับการไล่จับพนักงานเดลิเวอรี่ที่พยายามใช้คูปองหมดอายุ
ท่อนฮุกวนเวียนอยู่ในหัวฉันเหมือนกับเป็นคำสัญญา
🎶 “จะไปเป็นคนที่ยืนอยู่บนนั้น มันอาจไกลแต่หัวใจไม่หวั่น…” 🎶
ฉันฮัมเพลงท่อนนั้นในขณะที่กำลังจัดปลากระป๋องขึ้นชั้น มันไม่ใช่อะไรที่ซ่อนเร้นนัก
แต่ฝันน่ะ—มันไม่ค่อยแอบอะไรใครอยู่แล้ว
เสียงคลิกเบา ๆ ดังขึ้นในอกฉัน เป็นความรู้สึกที่สิ่งที่คุณกำลังสร้างอยู่ แม้ว่าถ้าใครยังไม่เห็น—มันก็เริ่ม “เป็นจริง” ขึ้นมา
ราวกับว่ามันสามารถมีอยู่จริงในโลกได้ ราวกับว่ามันสามารถอยู่รอดที่นี่ได้
เหมือนกับว่า บางที ตัวฉันเองก็อาจจะรอดเหมือนกัน
พอเลิกกะตอนพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ฉันก้าวออกสู่ถนนที่ยังหลับครึ่งหนึ่ง อากาศชื้นด้วยฝันและกลิ่นดีเซล ฉันล้วงกระดาษเนื้อเพลงเวอร์ชันใหม่ที่พับไว้แน่นในกระเป๋าเสื้อ มันอยู่แนบข้างสมุดโน้ตของฉันตลอดทางกลับบ้าน
แสงแรกของเช้าเริ่มส่องลอดตึกสูงมาอย่างอ่อนแรง เหมือนลมหายใจลึก ๆ ที่เพิ่งปล่อยออก ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ มีซีดีแผ่นหนึ่งที่มีชื่อของฉันวางอยู่ในเครื่องเล่นซีดีของใครสักคน และอีกที่หนึ่ง ใครบางคนอาจกำลังอ่านเรื่องสั้น “เมืองหลวง”
มันไม่ใช่ความสำเร็จ มันไม่ใช่การปฏิวัติ มันแค่เป็นเพียงเสียง “คลิก” คลิกเบา ๆ แต่นั่นมันเป็นของฉัน
เค้าโครงเรื่องจาก เมืองหลวง (พิมพ์ครั้งแรกในลลนา) วาณิช จรุงกิจอนันต์