ร้าน Starbean Coffee เป็นแบบที่ทำให้คุณรู้สึกฉลาดขึ้นทันทีที่เดินเข้าไป
เพลงแจ๊สเบา ๆ ลอยมาจากลำโพงบนเพดาน เมนูเขียนด้วยชอล์กด้วยลายมือหวัดหรูเกินกว่าจะอ่านได้ง่าย ชั้นหนังสือมือสองที่ไม่มีใครแตะต้อง หน้าต่างกรองแสงกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นสีทองอ่อนเหมือนคุณกำลังนั่งอยู่ในความทรงจำสีน้ำตาลซีเปีย ไม่ใช่ปัจจุบัน
Sponsored Ads
ฉันมาถึงก่อนเวลาสิบนาที อาจเป็นนิสัยเก่า หรือไม่ก็เพราะประหม่า ฉันไม่รู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร แค่รู้ว่ามีคนได้ยินเพลง เหยียบดาว แล้วชอบ และไม่ใช่คนจากวงเหล้าในผับ
ฉันกวาดตามองไปรอบร้าน โต๊ะสองโต๊ะมีคนนั่งอยู่ โต๊ะหนึ่งมีนักศึกษาก้มหน้าทับแฟลชการ์ด อีกโต๊ะมีลุงคนหนึ่งจิบบลูเอสเปรสโซ่ด้วยหลอดเหมือนกำลังลิ้มรสชั่วนิรันดร์ เหลืออีกสามโต๊ะว่าง และหนึ่งโต๊ะที่มีป้ายจองไว้ให้ฉัน
ฉันนั่งหันหน้าเข้าประตู หลังตรง มือจับแก้วอเมริกาโน่อุ่น ๆ ที่ยังไม่ได้แตะ รอยสะท้อนในกระจกหน้าต่างดูสุขุมเกินจริง ราวกับใครบางคนที่พยายามไม่ให้ใครจับได้ว่าเขากำลังพยายาม
แล้วกระดิ่งเหนือประตูก็ส่งเสียงกริ๊งกริ๊งดังเบา ๆ
เธอเดินเข้ามาก่อน ดุจดาว เดือนประดับ ฉันไม่ต้องการคำแนะนำเพื่อทวนชื่อ ทุกท่าทางของเธอผ่านการคัดสรร เสื้อเบลเซอร์ทรงพอดีตัว เข็มกลัดทองติดปก ผมเกล้ามวยแน่นพอจะเก็บความลับได้ รองเท้าส้นสูงของเธอแทบไม่ทำเสียงบนพื้นกระเบื้อง
หญิงอีกคนเดินตามมาข้างหลัง หมวกเบสบอล แว่นกันแดด แจ็กเก็ตยีนส์ตัวใหญ่ ก้าวเท้าเงียบ เธอดูเหมือนเป็นทีมเดียวกัน คนหนึ่งควบคุมห้อง อีกคนพยายามไม่ให้ใครสังเกตว่าอยู่ในห้องนั้นด้วย
“คุณกรณ์ใช่ไหมคะ?” ดุจดาวเอ่ย น้ำเสียงนุ่มลึกแบบผ้าไหมชุบในน้ำผึ้ง
ฉันลุกขึ้นแล้วพยักหน้า “ครับคุณผู้หญิง”
เธอยิ้มนิดหนึ่งกับคำว่า คุณผู้หญิง บางทีเธออาจจะขำ บางทีอาจจะจัดฉันเข้าแฟ้ม สุภาพ เรียบร้อย บ้านนอก
“นี่นีน่า” เธอพยักหน้าไปทางหญิงสาวข้าง ๆ “เธอมาเพื่อฟัง ส่วนดิฉันจะเป็นคนถาม”
นีน่าพยักหน้าเบา ๆ แต่ยังไม่ถอดแว่นปิดตา ปากไม่ยิ้ม ท่าทางสงบงันเหมือนพับเก็บไว้
เรานั่งลง เครื่องชงกาแฟด้านหลังปล่อยเสียง ฉี่ ออกมาราวกับไม่พอใจความเคร่งขรึมที่กำลังก่อตัว ไม่มีใครยื่นมือไปแตะเครื่องดื่ม
ดุจดาวหยิบสมุดโน้ตหนังบาง ๆ วางข้างจานรองกาแฟ ท่าทางเดียวทำให้ฉันนั่งหลังตรงกว่าเดิม
“ดิฉันเข้าใจว่าคุณเป็นคนแต่งเพลง เหยียบดาว ใช่ไหมคะ”
ฉันเอียงศีรษะ “ขึ้นอยู่กับว่าใครถาม”
เธอยิ้มอีกครั้ง คราวนี้บางกว่าเดิม ราวกับเธอเตรียมรับคำตอบนี้ไว้แล้ว และมีแฟ้มชื่อ นักแต่งเพลงหัวดื้อระดับเบา
“ดิฉันเป็นตัวแทนของศิลปินหลายคนที่มีสัญญาแบบ… เฉพาะตัว” เธอพูดอย่างระมัดระวัง “หนึ่งในนั้นต้องการเพลง เพื่อใช้เร็ว ๆ นี้ เพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือน เหยียบดาว หรืออาจดีกว่าด้วยซ้ำ”
ฉันหันไปมองนีน่า เธอยังนั่งนิ่ง ใต้หมวกและแว่นกันแดด จ้องฉันเหมือนแมวในกล่อง ไม่แน่ใจว่ามีตัวตนอยู่หรือไม่
“แล้วถ้าผมปฏิเสธ?” ฉันถามช้า ๆ
“เราก็จะขอบคุณที่คุณสละเวลา แล้วคุณก็กลับไปทำงานที่ 7-Twelve” น้ำเสียงเธอไม่เปลี่ยน พูดราวกับบอกว่า อากาศช่วงนี้ดีนะคะ ไม่ได้เย้ย แค่… จริง
ฉันกะพริบตา “คุณทำการบ้านมาดี”
เธอไม่ตอบ แค่มองฉันเหมือนฉันเป็นบรรทัดสุดท้ายในตาราง Excel ที่รอจะสรุปผล
ฉันเคาะขอบแก้วเบา ๆ “นีน่าเป็น… นักร้องเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ” นีน่าตอบ เพียงคำเดียว พอให้รู้ว่าเธออยู่ตรงนี้จริง ๆ เสียงเธอนุ่มและชัดเจนเหมือนมีดที่เฉือนความเงียบออกมา
มันแปลกที่ฉันจำเธอไม่ได้ เหมือนมีคนบอกว่าคนดังนั่งข้างคุณในรถเมล์มาตลอด แต่คุณไม่เคยสังเกตเลย ไม่มีเครื่องสำอาง ไม่มีไฟ ไม่มีเฟรมจากเอ็มวี แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อยีนส์ธรรมดา
ระหว่างเราผ่านลมหายใจหนึ่งบางเบา เหมือนบางอย่างกำลังจะเกิด แต่ยังไม่กล้าเอ่ยออกมา
ดุจดาวกระแอมเบา ๆ อย่างสุภาพ “นี่ไม่ใช่สัญญานะคะ แค่บทสนทนา”
“ผมยังฟังอยู่ครับ”
“ดีค่ะ เพราะเรื่องนี้เวลา… สำคัญมาก”
ฉันพยักหน้าช้า ๆ พยายามควบคุมน้ำเสียง “ผมไม่ให้เพลงฟรี และไม่เขียนแทนให้ใครที่จะแกล้งทำเป็นแต่งเอง”
“รับทราบค่ะ” ดุจดาวตอบ
ความเงียบอีกครั้ง ยาวพอให้กลิ่นขนมปังอบซินนามอนลอยมาจากเคาน์เตอร์ ยาวพอให้แสงเดือนตุลาคมเลื่อนบนพื้นไม้ ยาวพอให้ฉันสงสัยว่าฉันเพิ่งก้าวเข้าไปในอะไรที่ใหญ่กว่าตัวเอง
เราทั้งสามนั่งตรงนั้น สองคนแปลกหน้า กับหนึ่งนักร้องชื่อดังในคราบคนธรรมดา ไม่มีอะไรตกลงกันนอกจากว่าเราทุกคนตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน
บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย
และที่ด้านหลังความเงียบของนีน่า ฉันแทบได้ยินเสียงเพลงใหม่กำลังก่อตัวอย่างเงียบงัน
Sponsored Ads
———————
ช่องว่างในสัญญา
ดุจดาวไม่เสียเวลาทำทีว่าบทสนทนานี้คือการพูดคุยเรื่อยเปื่อย
เธอเปิดสมุดบันทึกขึ้นด้วยความแม่นยำเงียบงัน และพูดด้วยน้ำเสียงของคนที่เคยร่างสัญญาฉบับใหม่ระหว่างจิบชาอู่หลงบนไฟลท์กลางคืนไปไทเป
“นีน่าเซ็นสัญญาเจ็ดปีกับศักดินาเรคคอร์ดตั้งแต่อายุสิบห้า” เธอเริ่ม “เงื่อนไขตามมาตรฐานยุคนั้น เข้าข้างค่ายอย่างชัดเจน เธอยังเด็ก พวกเขาคือฉลาม และไม่มีใครอ่านข้อความตัวพิมพ์เล็ก ๆ เลย”
นีน่านั่งเงียบอยู่ข้างเธอ แว่นกันแดดยังอยู่ที่เดิม เธอขยับตัวน้อยมาก แค่พอให้ฉันเห็นความตึงเครียดจาง ๆ บนขากรรไกร
ดุจดาวยังพูดต่อ ลื่นไหลราวกับแล็กเกอร์เงาวาว “สัญญาจะหมดอายุสิ้นปีนี้ 31 ธันวาคม 2543 แน่นอนว่าทางค่ายต้องการให้เธอต่อสัญญา แต่นีน่าปฏิเสธ”
ฉันไม่พูดอะไร แค่ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นการพยักหน้าเงียบ ๆ ฉันเคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อน เรื่องเล่าหลังเวทีในมุมมืดของบาร์และสตูดิโอซ้อม เด็กที่มีเสียงเซ็นสละวัยเยาว์ให้กับคำสัญญาที่ดูเหมือนแสงระยิบระยับ แต่รู้สึกเหมือนคอนกรีตถ่วงอยู่บนอก
“พวกเขาโต้กลับ” เธอพูดพลางพลิกหน้าสมุด “ตัดเวลาสตูดิโอ พับเก็บการแสดงเดโม แช่แข็งกระบวนการผลิต อ้างว่าเป็นปัญหาเรื่องตารางงาน บอกว่าเธอเรื่องมาก แต่เป้าหมายจริง ๆ ก็ชัดเจน ถ่วงเวลาให้เธอคลานกลับไปหาเอง”
นิ้วของนีน่าขยับเล็กน้อยบนตัก ไม่ใช่อาการสั่น แค่แรงกดดันที่เงียบงัน
“แต่…” ดุจดาววางคำราวกับวางหมากบนกระดานหมากรุกขัดมัน “พวกเขาพลาด”
สายตาฉันคมขึ้น “เดาว่า… สัญญาบอกว่าเธอต้องปล่อยซิงเกิลภายในปีนี้…”
“แต่ไม่ได้ระบุว่าใครต้องแต่ง หรือใครต้องโปรดิวซ์” เธอพูดต่อ ริมฝีปากยิ้มเพียงนิดเดียว ไม่ถึงกับยิ้ม แต่มากกว่าการนิ่งเฉย “แค่ระบุว่าต้องมีเพลงต้นฉบับหนึ่งเพลงบันทึกและเผยแพร่ในชื่อของเธอก่อนสิ้นปี 2543”
“แล้วถ้ามีล่ะ?” ฉันถาม
“สัญญาถือว่าสำเร็จ เธอหลุดออกมาได้ พวกเขาฟ้องไม่ได้ ต่อสัญญาเพิ่มไม่ได้ กลบผังเสียงของเธอในคลังเพลงที่ไม่เคยปล่อยออกมาไม่ได้”
คำพูดนั้นลอยอยู่กลางอากาศ
เครื่องชงกาแฟส่งเสียง ฉี่ อีกครั้ง เสมือนขีดเส้นใต้ให้บทสนทนานี้อย่างศักดิ์สิทธิ์
ฉันเอนหลังเล็กน้อย ไขว้แขน “เพราะงั้นคุณต้องการเพลง ด่วน และเงียบ”
“เราต้องการเพลงที่ใช่” ดุจดาวแก้ พร้อมจัดจีบกระโปรงที่เธอสวม “เพลงที่ดีพอจะปล่อย เพลงที่มีเอกลักษณ์เป็นของนีน่า แต่ไม่ใช่อะไรที่ค่ายจะตามรอยกลับมาได้”
“แล้วคุณเลือกฉัน” ฉันพูด ไม่ใช่คำถาม
“เหยียบดาว ไม่ได้แต่งมาเพื่อตลาด ไม่ได้ทำมาเพื่อขายน้ำหอมหรือเพิ่มยอดขาย มันมีความหมาย” เธอมองไปทางนีน่า “เราต้องการอะไรแบบนั้นอีกครั้ง”
ฉันหันมองออกนอกหน้าต่าง ผ่านพวกเธอไป เห็นตุ๊กตุ๊กคันหนึ่งกระตุกตัวฝ่าไปในหมอกควันเย็น ๆ ของกรุงเทพฯ เห็นบางอนาคตปลิวไกลไปในเสียงจราจร ฉันนึกถึงทุกไฟล์ที่เคยส่งให้ตัวเองในซองจดหมายติดแสตมป์ ทุกชื่อที่ไม่เคยมีเครดิต ทุกเพลงที่ถูกเปิดแต่ไม่มีใครเอ่ยชื่อฉัน
ฉันรู้เกมนี้ดี มันเคยถูกใช้กับฉัน
แต่ครั้งนี้… ฉันเป็นคนถือปากกา
“ทำไมไม่ใช้เดโมเก่า ๆ ของเธอล่ะ?” ฉันถามเสียงราบเรียบ
“พวกเขาจะบล็อกช่องทางเผยแพร่” ดุจดาวตอบทันที “ตามกฎหมาย พวกเขาขัดขวางไม่ได้ว่าเธอจะปล่อยเพลง แต่พวกเขาห้ามใช้สตูดิโอ ทีมโปรดิวซ์ แพลตฟอร์ม และการตลาดได้ เราต้องทำแบบอินดี้ นั่นคือเหตุผลที่ต้องเป็นคุณ”
ฉันมองไปทางนีน่าอีกครั้ง เธอยังไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ตอนนี้ศีรษะเธอเอียงมาทางฉันแล้ว ฟัง ไม่ใช่แค่ด้วยหู แต่ด้วยอะไรบางอย่างลึกลงไปกว่านั้น แบบที่นักดนตรีฟัง เมื่อพยายามนึกถึงเสียงของความหวังในความทรงจำ
“แล้วคุณล่ะ?” ฉันถามเธอเบา ๆ “คุณต้องการแบบนี้จริงไหม?”
เธอถอดแว่นตาออก
ไม่มีพิธี ไม่มีแสงไฟ มีแค่ดวงตาสีน้ำตาลคู่หนึ่ง อ่อนล้าแต่มั่นคง
“ฉันอยากออกจากตรงนั้น” เธอพูด “และฉันอยากให้เพลงสุดท้ายที่ปล่อยกับพวกเขาเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันได้เอาเครดิตไป”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่มีแรงขับ เหมือนคำที่รอจะพูดมานานหลังประตูหลายชั้น
ฉันพยักหน้าเบา ๆ “งั้นนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเพลงแล้วสินะ”
“ไม่ใช่” ดุจดาวพูด “นี่คือเรื่องของเสรีภาพ”
ฉันปล่อยให้ความเงียบดำรงอยู่ ไม่ใช่เพื่อดราม่า แค่เพื่อให้มันได้หายใจ
เพราะในวินาทีนั้น ฉันรู้สึกได้ ไม่ใช่ข้อเสนอ ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่คำเยินยอ แต่คือเสียงสะท้อน ความทรงจำของทุกไฟล์ที่หายไปอย่างไร้เครดิต ทุกเพลงที่ฉันเขียนจากเงามืด
และตอนนี้ มีคนกำลังชวนฉันเดินออกมาสู่แสงสว่าง
Sponsored Ads
———————
ข้อเสนอที่อยู่ตรงหน้า
ดุจดาววางปากกาลงเหมือนกำลังปิดคดี
“นี่คือสิ่งที่เราขอเสนอ”
ไม่มีการปูทาง ไม่มีคำหวาน มีแต่ประโยคที่ถูกขีดผ่านอากาศอย่างเรียบเฉียบ
“ค่าลิขสิทธิ์ล่วงหน้า 20,000 บาท และส่วนแบ่งรายได้ศิลปิน 20% หากเพลงติดชาร์ตหรือขายได้”
ฉันไม่กระพริบตาเลย สองหมื่นบาท มากกว่าที่ฉันได้จากสองเพลงหลังรวมกันเสียอีก และเพลงเหล่านั้นก็ถูกซื้ออย่างลับ ๆ พร้อม NDA* และใบเสร็จที่ดูเหมือนพิมพ์มาจากกระดาษบุหรี่
“คุณจะได้รับเครดิต” เธอเสริม “อย่างเป็นทางการ อย่างเปิดเผย ในนามนักแต่งเพลงเพียงคนเดียว”
ประโยคนี้แหละทำให้ฉันกระพริบตา
ไม่มีการเขียนเงา ไม่มีคำว่า ‘แรงบันดาลใจจาก’ ไม่มีเนื้อร้องที่ถูกปั่นผ่านเครื่องปั่นของค่ายจนเหลือแค่กลวงเปล่า มีแต่ชื่อฉัน—อยู่ในหน้าเครดิต
“เราจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรหลังจากนี้ ไม่มีการจัดเรียงใหม่โดยคนอื่นในสตูดิโอ ไม่มีชื่อโปรดิวเซอร์ที่โผล่มาแบบงง ๆ เพื่อหั่นส่วนแบ่งของคุณ ที่นี่ไม่มีญาติผู้กำกับที่โผล่มาร่วมแต่งในภายหลัง”
น้ำเสียงของเธอฟังราบเรียบ แต่ในนั้นมีความคม ฉันได้ยินมัน เธอเคยเห็นเกมนี้มาเยอะ อาจเคยเสียใครบางคนให้กับเกมแบบนี้
“คุณจะส่งเดโมและโครงสร้างภายในกลางเดือนพฤศจิกายน จากนั้นเราจะจัดการเรื่องเวลาในสตูดิโอและการมาสเตอริ่ง สิทธิ์ทั้งหมดและเครดิตจะยังคงอยู่กับคุณ”
เธอเอนตัวพิงพนัก
ไม่มีคำขู่ ไม่มีเงื่อนไขซ่อนเร้น มีแต่ความชัดเจน นี่คือสงครามด้วยบทเพลง และฉันกำลังถูกเชิญให้ช่วยติดอาวุธให้คนที่ถูกปลดอาวุธมาหลายปี
นีน่ายังไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เธอพูดสั้น ๆ ว่า “ฉันอยากออกจากตรงนั้น”
แต่ตอนนี้ เธอพูดแล้ว
น้ำเสียงของเธอเบา แค่เหนือระดับกระซิบขึ้นมาไม่กี่ขั้น แต่มันเต็มไปด้วยน้ำหนัก เธอไม่จำเป็นต้องพูดเสียงเพื่อให้คนฟังรู้สึก
“ฉันไม่ต้องการฮีโร่” เธอว่า “ฉันเจอคนที่พยายามช่วยฉัน แล้วพาฉันไปอยู่ในกรงอีกแบบมามากพอแล้ว”
ฉันพยักหน้าแผ่ว ๆ ช้า ๆ
“ฉันก็ไม่เก่งเรื่องกรงนักหรอก”
เธอยิ้มน้อย ๆ จริงใจ
“ทั้งหมดที่ฉันต้องการ คือเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกว่า… ถ้าฉันเคยได้แต่งเอง มันก็คงเป็นแบบนั้น”
“แล้วเธอ…ฟังเหมือนอะไร?” ฉันถาม
เธอเงียบไปเล็กน้อย มองลงต่ำ ก่อนหันหน้าไปทางหน้าต่าง ที่ซึ่งแสงหมอกสีอำพันของกรุงเทพฯ ปลายเดือนตุลาคมทอดผ่านกระจกอย่างแผ่วเบา
“เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันรู้” เธอพูด “ก่อนที่มันจะมีท่าเต้น แผนลดน้ำหนัก ปีแล้วปีเล่าของคำพูดว่า เธอนุ่มเกินไป คมเกินไป มากเกินไป หรือไม่พออะไรสักอย่าง”
เงียบอีกครั้ง
“แต่ตอนที่ฉันได้ฟัง เหยียบดาว” เธอหันกลับมามองฉันตรง ๆ “ฉันจำได้ว่ามันรู้สึกยังไง ที่จะเชื่อในบางอย่างอีกครั้ง ไม่ใช่ในวงการ ไม่ใช่แม้แต่ในตัวเอง แต่เชื่อว่า เพลง… ยังสามารถมีความหมายได้อยู่”
มันเกิดขึ้นอีกครั้ง ความเงียบระหว่างเรา เต็มไปด้วยคอร์ดที่ยังไม่ได้เล่น
ฉันจิบกาแฟเย็นอีกครั้ง ความขมจาง ๆ ที่ก้นถ้วยกลายเป็นอะไรบางอย่างที่แปลก แต่ไม่แย่ เหมือนความเสียใจเก่าที่กลายเป็นกลิ่นคุ้นเคย
นี่ไม่ใช่การทำบุญ ไม่ใช่ความสิ้นหวัง และไม่ใช่การช่วยใคร
นี่คือข้อเสนอที่ใสสะอาด ยุติธรรม และ จริง
ฉันมองไปที่ดุจดาว “คุณมั่นใจว่าค่ายจะเล่นตุกติกไม่ได้?”
เธอมองกลับตรง ๆ “ฉันไม่ใช้คำว่ามั่นใจค่ะ คุณธนากร ฉันใช้คำว่าสัญญา ช่องว่างทางกฎหมาย และแผนสำรองสามชั้น ฉันรู้ดีว่าพวกเขาไปได้ไกลแค่ไหน”
ฉันพยักหน้า ปล่อยให้อากาศนิ่งอีกสักพัก
จากนั้นจึงหันไปหานีน่า
“เธอร้องเพลงคีย์ไหนประจำ?”
เธอกระพริบตาหนึ่งครั้งอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“D major”
ฉันพยักหน้า “ดี คีย์แห่งความหวังเลย”
และแค่นั้น บทสนทนาก็เปลี่ยนไป
ยังไม่มีข้อตกลง ยังไม่มีลายเซ็น แต่โน้ตแรกได้ถูกบรรเลงแล้ว
Sponsored Ads
———————
คุณเล่นเปียโนได้ไหม?
ดุจดาวปิดสมุดโน้ตลงด้วยความเงียบงันแบบเดียวกับตอนที่เปิด ดูเหมือนว่าการพูดคุยในวันนี้จะจบลงแล้ว เธอเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋า เคลื่อนไหวด้วยความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เหมือนว่าเธอได้จัดการบทสนทนานี้ไว้ในแฟ้มชื่อว่า เสร็จสิ้น เหลือแค่ดำเนินการ
“จะมีคนติดต่อกลับภายในอาทิตย์นี้ค่ะ” เธอพูด “เราจะจัดหาอุปกรณ์หรือระบบจัดส่งที่คุณต้องใช้ให้ ส่งสเปกมาได้เลย”
ฉันพยักหน้า กาแฟยังไม่ได้แตะ คำว่า “ตกลง” ยังไม่พูด
แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกัน
นีน่ายังไม่ขยับ เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ขณะที่ดุจดาวยืนขึ้น ปลายนิ้วแตะอยู่ที่ขอบโต๊ะ เคาะจังหวะบางอย่างเบา ๆ จนแทบจะไม่รู้ว่ามีอยู่
แต่นั่นไม่ใช่ความประหม่า
มันเป็นจังหวะของเวลา จังหวะเงียบ ๆ เหมือนเมโทรโนม** ที่แบตใกล้หมด
ฉันมองมือของเธอ ไม่ใช่หน้าเธอ มีบางอย่างในวิธีที่เธองอหัวแม่มือ อาจเป็นความทรงจำของกล้ามเนื้อ ที่กลับมาเมื่อไม่มีใครมอง และไม่มีใครคาดหวัง
“คุณเล่นเปียโนได้ไหม?” ฉันถาม ไม่ได้ตั้งใจจะถาม มันแค่…หลุดออกมา
นีน่ากะพริบตา เหมือนเพิ่งถูกดึงออกมาจากที่ไหนสักแห่งที่นุ่มนวลกว่า
“นิดหน่อยค่ะ” เธอพูด ตายังมองที่โต๊ะ “เมื่อก่อนเล่น ตอนอยู่คอนโด มีเปียโนตัวหนึ่ง ฉันจะเล่นเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน”
บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ไม่ได้หนักขึ้น แค่เงียบลง เหมือนกรุงเทพฯ เอนตัวไปข้างหลังชั่วครู่ เพื่อปล่อยให้ช่วงเวลานี้ได้หายใจ
“เล่นเพลงอะไร?” ฉันถาม
เธอยิ้มนิดหนึ่ง เบาบางจนแทบไม่เห็น “เพลงที่ไม่รู้ชื่อ ฉันฟังจากวิทยุ แล้วพยายามหาความรู้สึก ไม่ใช่โน้ต”
ฉันเข้าใจเลย ความแตกต่างระหว่างทำนองกับความทรงจำ บางครั้งเพลงไม่ใช่โครงสร้าง แต่มันคือเงาที่เราพยายามไล่ตามด้วยสองมือ
ที่ห้องของฉัน เปียโนไฟฟ้าเก่า ๆ ยังคงนอนแน่นิ่งใต้ชั้นขนแมวกับบิลค้างจ่าย ลาเต้ชอบเดินพาดมันตอนที่ฉันต้องการความเงียบ เสียงที่ออกมามักจะเป็นโน้ตผิด ๆ พอให้เหมือนผีประหม่าเล่นสด
ฉันนึกภาพนีน่านั่งอยู่ตรงนั้น แทนที่ลาเต้ นิ้วของเธอค่อย ๆ วางลงบนคีย์พลาสติกฝุ่นเกาะ ไม่มีคนดู ไม่มีไฟสาดแสง มีแต่เธอ กับอะไรบางอย่างที่เธอแบกมาตลอด
บางอย่างที่ช้า อ่อนโยน เหมือนแสงอาทิตย์ลอดผ้าม่านบาง ๆ
“ไม่เก่งหรอกค่ะ” เธอเสริม ดึงปอยผมไปไว้หลังหู “ฉันไม่ได้อ่านโน้ต ฉันแค่…จำเสียงได้”
เท่านั้นแหละ นั่นคือสิ่งที่ฉันรอจะได้ยิน โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ฉันเอื้อมมือไปหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กจากในกระเป๋า มุมยับเยิน คราบกาแฟติดอยู่ มุมกระดาษงอตัวเหมือนมีความเห็นเป็นของตัวเอง ฉันเปิดไปหน้าว่าง
แล้วเขียนไว้ที่มุมหนึ่งว่า:
D major. สะท้อนเบา ๆ จางเหมือนชื่อที่ยังพูดไม่จบ
จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธอ “งั้นเราลองเริ่มจากเพลงเงียบ ๆ ดีไหม”
เธอไม่ตอบ แค่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ ไม่ใช่คำสัญญา ไม่ใช่แผนการ
แต่เป็นจุดเริ่มต้น ของท่วงทำนอง…ที่ยังไม่ถูกร้อง
*NDA (Non-disclosure agreement) สัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูลอันเป็นความลับ
**เมโทรโนม (metronome) เครื่องเคาะจังหวะ