เมืองนี้ไม่เคยหลับ แต่มันรู้วิธีแกล้งหลับได้เนียนดี
ผ่านสิบเอ็ดโมงไปนิดหน่อยตอนฉันก้าวขึ้นรถเมล์สาย 38 คันเก่าแก่ที่ส่งเสียงครางเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเครื่องจักรจากยุคที่ไม่มีใครจำได้ กลิ่นดีเซลจาง ๆ ฝน และข้าวหอมมะลิเหลือติดก้นหม้ออบอวลอยู่ตลอด คนขับแทบไม่ได้หันมามอง ฉันพยักหน้าไปตามนิสัย หยอดเหรียญในช่องแล้วเดินไปหาที่นั่งช่วงกลางรถ ฝั่งซ้าย ติดหน้าต่าง มุมที่เมืองจะไหลผ่านเหมือนภาพสไลด์ที่ยังไม่มีใครตัดต่อให้จบดี
Sponsored Ads
ไฟนีออนในรถส่งเสียงหึ่ง ๆ เหมือนพยายามคุยกับตัวเองอยู่ คู่รักวัยรุ่นที่นั่งอยู่ด้านหลังสองเบาะกระซิบกระซาบกันอย่างตั้งใจ ผู้ชายในชุดช่างเลอะคราบน้ำมันหลับกรนเบา ๆ อยู่แถวหน้า กระจกหน้าต่างมีฝ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ ในจุดที่ลมหายใจแตะกระจกแล้วไม่อยากจากไป
ฉันไม่ได้เหนื่อยหรอกนะ…แค่ลอยอยู่ในระหว่างเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่าง ” “จบแล้ว” กับ “ยังไม่จบ” กะอีแค่กะกลางคืนใน 7-Twelve ผ่านไปแบบไม่มีดราม่า ไม่มีคาวบอยตอนตีสอง ไม่มีโค้กระเบิด ไม่มีใครพร่ำเพ้อเรื่องนมหมดอายุ มีแต่ใบเสร็จ น้ำถูพื้น และเสียงบี๊บของบาร์โค้ดที่ตีจังหวะคงที่
ข้างนอก กรุงเทพฯ เคลื่อนไหวเหมือนเพิ่งถอนหายใจหลังจากพูดยาวเกินไป คนออฟฟิศแห่กันไปรอรถเมล์ เสื้อหลุดจากกางเกงครึ่งตัว มอเตอร์ไซค์เลื้อยเหมือนปลาซิวระหว่างคลื่นจราจรที่เปลี่ยนความเร่งรีบเป็นความเฉื่อย แม้แต่ความวุ่นวายก็ดูจะมีจังหวะของมันในเวลานี้
แล้วรถเมล์ก็หยุดนิ่งที่ไฟแดงแถวพระโขนง แล้วฉันก็เห็นพวกเขา แค่ชั่ววินาทีเดียว
รถเก๋งสีขาวคันเล็กแล่นมาจอดข้างรถเมล์ ระดับเดียวกัน จังหวะเดียวกัน ใกล้พอที่ฉันมองเห็นภายในรถได้ชัดใต้แสงเย็นของเย็นวันหนึ่งในเดือนตุลาคม
ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ตรงคนขับ กำลังปรับช่องแอร์อย่างสุขุม รอบคอบ แขนเสื้อเขาพับขึ้น คอเสื้อปลดหลวม ตาจับจ้องถนนข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ทั้งที่เรายังไม่ได้เคลื่อนไปไหน แม่เอนศีรษะพิงกระจกข้างคนโดยสาร ตาปิดสนิท มือข้างหนึ่งวางใต้แก้มตัวเอง เหมือนเธอเคยทำแบบนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว บนเบาะหลัง เด็กน้อยนอนเหยียดยาว ข้ามพื้นที่ไปทั้งสองฝั่ง ปากเผยอนิด ๆ เข็มขัดนิรภัยคล้องไหล่ไว้ข้างเดียว เหมือนคำถามที่ไม่มีใครใส่ใจจะตอบ พวกเขาไม่ได้ดูมีความสุข หรือเศร้า หรืออะไรที่ใช้ตัดตัวอย่างหนังโฆษณาได้
แต่พวกเขาดูเหมือนคอร์ดเพลง ไม่ใช่คอร์ดที่สมบูรณ์แบบ อาจจะเพี้ยนไปนิด แต่เต็มไปด้วยความหมาย เป็นรูปร่างที่ประกอบจากคน เป็นหน่วยหนึ่งที่กำลังเดินทางผ่านการจราจรเดียวกัน แม้ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย
แล้วมันก็สะกิดใจฉัน—ไม่ใช่แบบอารมณ์จ๋า แต่ในฐานะโครงสร้างบางอย่าง
ไม่ใช่ความรู้สึก “ฉันอยากมีแบบนั้น” หรือ “มันจะรู้สึกอย่างไรนะ” แต่บางสิ่งที่เงียบกว่านั้น สะอาดกว่านั้น ความสมบูรณ์ที่ไม่ได้ต้องการให้ฉันเข้าไปมีส่วนร่วม ดนตรีที่ดำรงอยู่ได้โดยไม่มีฉัน
ไอเดียหนึ่งก็ลอยขึ้นมาโดยไม่ต้องขอ “ชีวิตกลางถนนในกรุงเทพฯ”
ฉันไม่ได้จดมันไว้ ไม่จำเป็น มันหาที่วางของมันเองในลิ้นชักข้างหลังซี่โครง ตรงช่องเดียวกับ “คนไม่มีสิทธิ์” และ “เด็กบ้านนอก” ลิ้นชักที่มีป้ายติดว่า “เจ็บเบา ๆ และสิ่งที่ไม่หายไปไหน”
ไฟเปลี่ยนสี รถเมล์เคลื่อนตัว รถเก๋งเลี้ยวซ้าย เราไม่ได้เลี้ยวไปด้วย แล้วพวกเขาก็ หายไป ไม่มีระเบิด ไม่มีการเปิดเผยความลับ มีแต่ภาพนิ่งที่ไม่ได้เรียกร้องให้ถูกรักษาไว้…แต่กลับอยู่ต่ออย่างเงียบ ๆ
ตลอดทางที่เหลือ มีแต่ภาพพร่าเลือนของตุ๊กตุ๊ก ป้ายไฟนีออน และใบหน้าบนบิลบอร์ดที่เก่าเกินกว่าคำโปรยจะยังอ่านออก ฉันคิดถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เขียน เพลงที่ยังไม่เสร็จ คนที่ยังไม่ได้เป็น
เมื่อรถเมล์จอดใกล้อ่อนนุช ฉันกดกริ่งแล้วก้าวลงจากรถ
อากาศอบอ้าวด้วยความชื้นปลายเดือนตุลาคม ที่ไกล ๆ มีวิทยุเปิดเพลงช้า ๆ และเพี้ยนคีย์ เบา ๆ ลอยมากับสายลม
ฉันเดินต่อไปจนถึงห้อง นิ้วมือกระตุกแผ่ว ๆ โดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่จากเสียงเพลง
ยังไม่ถึงจุดนั้น แค่…บางอย่างกำลังจะเริ่มต้น
Sponsored Ads
———————
โทนเสียง ก่อนเนื้อร้อง
ห้องเช่าของฉันต้อนรับกลับเหมือนทุกครั้ง แสงสลัว อบอุ่น และมีจังหวะเพี้ยน ๆ ของเสียงตู้เย็นกับเสียงพัดลมเพดานที่ดังแกรก ๆ เป็นพัก ๆ
ฉันก้าวเข้ามา ล็อกกลอน แล้วเตะรองเท้าออกเบา ๆ เสียงทุ้มนิ่มที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวฉันเอง
ลาเต้ขดตัวอยู่ข้างพัดลมขนาดตั้งพื้น ขาทั้งสี่เก็บแนบลำตัว หางพันรอบตัวเอง หูข้างหนึ่งกระดิกเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่า รู้แล้วว่าแกกลับมา อย่าเล่นใหญ่ก็พอ
ฉันก็ไม่เล่นใหญ่หรอก
แค่เดินผ่านเขาไปอย่างระวัง ไม่เหยียบมุมพรมที่ชอบพับขึ้นมาเหมือนกับดักราคาถูก แล้วมุ่งหน้าไปยังมุมห้องที่ทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งสตูดิโอเล็ก ๆ แหล่งเก็บความทรงจำ และแท่นบูชาซอฟต์แวร์ล้าสมัย
คีย์บอร์ดตัวเก่าอยู่ตรงนั้น รออยู่เหมือนเดิม เก่าแล้ว ขอบถลอกบ้าง ปุ่มบางปุ่มเหลืองจาง ๆ ตรงขอบเหมือนฟันคนแก่ ฉันเปิดสวิตช์ มันส่งเสียงฮัมไฟฟ้าเบา ๆ ออกมา คล้ายเสียงถอนหายใจผสมหาว แบบที่ฟังดูเหมือนมันยังจำโน้ตสุดท้ายที่ฉันเคยเล่นได้อยู่ แม้ว่าฉันจะจำไม่ได้เองก็ตาม
ฉันยังไม่ได้นั่งลง แค่ยืนมองมันอยู่เฉย ๆ แล้วเอื้อมมือไปแตะคีย์ตัวเดียว
D
แค่จะดูว่ามันยังจำทางกลับบ้านได้ไหม
เสียงโน้ตดังออกมา นุ่ม ลึก ไม่ดราม่า ไม่เหมือนในหนัง แค่…สะอาด เหมือนเสียงของความทรงจำที่ฟังด้วยหูไม่ได้ ต้องฟังด้วยด้านข้างของใจ ฉันปรับระดับเสียงให้เบาลง แล้วก็เบาลงอีก ไม่ได้อยากปลุกเพื่อนบ้าน หรือปลุกลาเต้ หรือปลุกอะไรบางอย่างที่อาจจะหลับอยู่ ในตัวเอง หรือในโลก
แล้วฉันก็นั่งลง วางมือเบา ๆ บนคีย์ ไม่มีเนื้อเพลง ยังไม่ใช่ ตอนนี้ยังไม่เกี่ยวกับเนื้อเพลง มันเกี่ยวกับ “ความรู้สึก”
D major
ฉันเล่นคอร์ดนั้น หนึ่งครั้ง… สองครั้ง ปล่อยให้มันค่อย ๆ จางหายลงทุกครั้ง แล้วเติมอีกโน้ตหนึ่ง ยกอีกโน้ตขึ้น แล้วกดใหม่ บางชุดฟังดูเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ตัดสินใจจะใช้ภาษาไหน บางชุดรู้สึกหนักเกินไป เหมือนเป็นของใครอีกคน ไม่ใช่ของฉัน
ฉันลองจับทางที่ไต่ขึ้นไปข้างบน แล้วก็หยุด ลองใหม่ นุ่มนวลขึ้น
ฉันเกือบได้ยินเสียงของเธอ ไม่ใช่ “นีน่า” เวอร์ชั่นที่แสดงบนเวที ไม่ใช่เสียงป็อปที่ไต่ชาร์ตแล้วหายไปภายในสัปดาห์
เสียงนี้มันต่างออกไป ดิบ—เหมือนคนที่ร้องเพลงที่ตัวเองไม่ควรจะจำได้
ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง หูของลาเต้กระดิกตอนโน้ตสูงพิเศษดังขึ้น มันยืดขาออกมาข้างหนึ่ง สัญลักษณ์ระดับสากลของแมวที่แปลว่า โอเค แต่อย่าอินเกินไป
ฉันพยักหน้าให้อย่างเงียบ ๆ เขาน่าจะพูดถูก
ฉันลองปรับการตั้งค่าโทนเสียง จาก เปียโนไฟฟ้า ไปเป็น แกรนด์เปียโน แล้วเปลี่ยนกลับอีกที สุดท้ายเลือกเสียงกลาง ๆ ที่ฟังดูดิบ ๆ หน่อย เหมือนเดินทางผ่านเวลาพร้อมเศษผ้าขี้ริ้วในกระเป๋า
ฉันเล่นท่อนสั้น ๆ แล้วหยุด
ใกล้ละ ลองใหม่ ใกล้กว่าเดิม
ท่วงทำนองลอยอยู่ตรงขอบห้อง ฉันรู้สึกได้ว่ามันวนอยู่รอบ ๆ ยังไม่พร้อมจะลงจอด แต่ก็ไม่กลัวฉันแล้ว
มือข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านบน ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกดสามโน้ตลงมาพร้อมกัน เป็นชุดของเสียงที่ไม่พยายามประกาศตัว แต่ก็ไม่ขอโทษที่มีอยู่
ฉันปล่อยให้มันดังก้อง แล้วกดสามโน้ตนั้นอีกครั้ง เสียงสะท้อนเบา ๆ กระทบผนังที่แตกร้าว คราวนี้ลาเต้ไม่ขยับ
ฉันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น แค่ฟัง ยังไม่ถึงขั้น “แต่ง” หรอก แค่…ฟัง แล้วฉันก็ถอนหายใจเบา ๆ
พูดขึ้นมาเบา ๆ กับอากาศ หรือบางทีอาจจะกับลาเต้ด้วยก็ได้
“เราใกล้แล้วนะ”
Sponsored Ads
———————
รูปร่างของความทรงจำ
เช้าวันเสาร์ในกรุงเทพฯ มาถึงเหมือนที่มันเคยเป็นเสมอ อากาศร้อนนำหน้าดวงอาทิตย์ เสียงดังนำหน้าความตั้งใจ เพื่อนบ้านเริ่มตะโกนเรื่องผ้าตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง ลูกใครสักคนร้องไห้สามเสียงซ้อน หมาเห่าลั่นใส่อากาศเปล่า ๆ ราวกับถูกทรยศโดยจักรวาล
ฉันชงกาแฟ ลืมดื่ม เจอมันอีกทีตอนสาย เย็นแล้ว และมองฉันด้วยสายตาพิพากษา
สาย ๆ ฉันเดินวนเท้าเปล่าอยู่บนพื้นกระเบื้องแตกร้าวในห้อง ฮัมวนอยู่กับท่อนเดิมสี่ห้องที่เล่นเมื่อวันก่อน D major ยังคงเบา ๆ ยังคงไม่ลงตัว
ลาเต้นอนอยู่ตรงขอบหน้าต่าง กระพริบตาช้า ๆ หางสะบัดทุกยี่สิบวินาทีเหมือนเมโทรโนมของคนมีปัญหาทางอารมณ์
เพลงยังไม่มา แต่มันก็ไม่ได้ซ่อนแล้ว ฉันเล่นสองสามท่อนในหัว ปล่อยให้มันวน แล้วหยิบสมุดขึ้นมาขีดเขียนคำอะไรบางอย่าง
🎶 “ใครคนหนึ่งคนนั้น… ในวันหนึ่งวันนั้น…” 🎶
ประโยคนี้มาอย่างง่ายดาย เหมือนมันแอบอยู่ตรงคลื่นรบกวนเส้นหนึ่งมาตลอด
ฉันลองวางคำกับท่วงทำนอง ลองนึกว่านีน่าจะร้องยังไง ไม่ใช่แบบใส่อารมณ์ ไม่ใช่การร้องไห้ แค่…ถือมันไว้ แบบที่เราถือบางอย่างที่เคยหล่นหายไปนานแล้ว
นี่ไม่ใช่เพลงรัก ไม่จริงจังขนาดนั้น มันคือเพลงของสิ่งที่เหลืออยู่หลังจากความรักจากไป อากาศในห้องหลังคนเดินออก ความเงียบบางชนิดที่ดังกว่าคำลาจริง ๆ
🎶 “แม้กระทั่งตอนนี้… เขายังอยู่ตรงนี้…” 🎶
ฉันไม่ได้มองหาอะไร แค่ปล่อยให้เนื้อเพลงไหลออกมาจากในหัว
🎶 “เหมือนว่าจะเลือนหาย คล้ายว่าจะเลือนลาง…” 🎶
เพลงเริ่มขึ้นรูป ช้า ๆ เงียบ ๆ อย่างไอน้ำที่เกาะขอบแก้ว
ลาเต้กระโดดขึ้นคีย์บอร์ดหนึ่งที กดคีย์ผิดสามตัว แล้วมองหน้าฉันแบบว่า คราวหน้าเอาแบบนี้ไหมล่ะ
“รับทราบ” ฉันพึมพำตอบ
ทั้งวันอาทิตย์ฉันยังเขียนต่อ เช้ายันเย็น มื้ออาหารกลายเป็นแครกเกอร์ กาแฟร้อนอุ่นซ้ำสามรอบ ฉันไม่ได้คิดถึงเดดไลน์ หรือเงิน หรือแม้แต่นีน่า
ฉันแค่ตามรูปร่างของเพลงที่กำลังค่อย ๆ เปิดเผยตัวเอง บางครั้งฉันหลับตา แล้วรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ไม่ใช่ความทรงจำของฉัน แต่เหมือนของคนอื่น เหมือนยืนอยู่ในบ้านของใครสักคนตอนเด็ก แล้วดันจำมุมห้องนั้นได้
🎶 “เก็บเอาไว้ในส่วนลึก… ซ่อนอยู่อย่างนั้น…” 🎶
บรรทัดนี้มันก็อยู่ตรงนั้น เพลงนี้เกี่ยวกับความทรงจำ แต่ไม่ใช่ความปรารถนา มันไม่ใช่การโหยหา แต่มันคือบันทึก การประเมินอย่างเงียบ ๆ ว่าหลังจากกาลเวลาพัดพาทุกสิ่งไปแล้ว ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่
คืนวันอาทิตย์ เมืองก็เงียบอีกครั้ง ลาเต้กลับไปประจำการข้างพัดลม เขาครึ่งหลับครึ่งตื่น เอาขาข้างหนึ่งซุกไว้ใต้ราวกับกำลังเฝ้าบางสิ่งที่มองไม่เห็น
ฉันดูนาฬิกา เกือบสองทุ่มแล้ว มีเวลาเหลือเฟือก่อนเริ่มกะงาน ฉันนั่งลงหน้าคีย์บอร์ด
ขยับไมโครโฟนให้เข้าใกล้ตัว ไม่ใช่ไมค์ตัวใหม่ ไม่ใช่เครื่องบันทึกดิจิทัลที่ฉันยังไม่ค่อยไว้ใจ
แต่เป็นเทปเด็คเก่า ๆ กับปุ่มบันทึกสีแดงที่กดลงไปแล้วมีเสียง “แกร๊ก” เหมือนมันตั้งใจจะบันทึกอะไรที่จริงจัง
ฉันกดปุ่มนั่น
รอครู่หนึ่ง
หายใจเข้า เล่นคอร์ดเดียว ร้องครึ่งบรรทัด แล้วหยุด
“เกือบแล้ว…” ฉันกระซิบ แล้วปล่อยให้ความเงียบเติมเต็มที่เหลือ
ฉันเหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง คว้ากระเป๋า และลุกขึ้นยืน ยังมีเวลาเหลือเฟือก่อนเข้ากะที่ 7-Twelve
Sponsored Ads
———————
ฮุก / จุดเปลี่ยน
เช้าวันจันทร์มาแบบที่มันชอบมา แสงยามเช้าอันซีดจางของกรุงเทพที่ไม่ได้เคาะประตูเข้ามา แต่ค่อย ๆ ซึมผ่านม่านหน้าต่างอย่างกับมันอยู่ตรงนั้นมาตลอด
ฉันตื่นแล้ว ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ไม่จำเป็น เพลงมันปลุกเอง
ทำนองเสร็จแล้ว โครงสร้างก็ลงตัว เนื้อเพลง…ยังมีจุดที่ไหลอยู่ ยังนุ่มอยู่ตรงขอบบางแห่ง แต่ใกล้พอจะเรียกว่า “เสร็จ”
มันมีรูปร่างแล้ว มีลมหายใจ มีอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวข้างใน
ลาเต้ยืดตัวบนขอบหน้าต่าง เท้าย่น หางกระตุกในฝันครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วพลิกตัวกลับอย่างแรง พร้อมเสียงครางเบา ๆ ที่อาจจะแปลว่า ในที่สุด หรือไม่ก็ อีกแล้ว? กับแมว มันไม่เคยแน่ใจอยู่แล้ว
ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะ คีย์บอร์ดยังเปิดอยู่จากเมื่อคืน มีเสียงหึ่งเบา ๆ ไฟกระพริบสองสามดวง เทปคาสเซ็ตบันทึกเวอร์ชันแรก ๆ ไว้แล้ว แต่นี่…ถึงเวลาจดเก็บสิ่งที่จะอยู่นานกว่าแถบแม่เหล็กกับความรู้สึกซึ้งใจ
ฉันใส่แผ่น CD-R เปล่าลงไป
รอเสียง คลิก
ถาดไถลเข้าไปอย่างรู้ดีว่าส่วนนี้สำคัญ
ฉันเลือกไฟล์เดโมสุดท้าย อัดไว้ตอนก่อนไปทำงาน เสียงดิบแต่ชัดเจน มีแค่เสียงฉันกับเปียโน ไม่มีเมโทรโนม ไม่มีชั้นเสียง แค่จังหวะของหัวใจ ตามสัญชาตญาณ ปล่อยให้ความเงียบแทรกอยู่ตรงไหนที่เพลงไม่อยากให้ใครพูดแทน
ฉันคลิก “Burn”
มองแถบสถานะเลื้อยช้า ๆ อย่างกับมันกลัวจะเสร็จเร็วเกินไป ตอนที่แผ่นเด้งออกมา อุ่น ๆ สีเงินด้าน ฉันหยิบปากกาเมจิกสีดำ แล้วนิ่งอยู่ตรงนั้น
ฉันไม่ได้เขียนชื่อเพลงลงไป ไม่ได้เขียนว่า “ความทรงจำสีจาง”
เพราะถ้าทำแบบนั้น มันจะ เป็นทางการ กลายเป็นการประกาศ กลายเป็นการอ้างสิทธิ์
แต่ฉันยังไม่พร้อม ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในเพลง แต่เพราะการตั้งชื่อ คือการเลือกอนาคตให้มัน และเพลงนี้…ยังไม่ใช่ของฉันคนเดียว ยังไม่ จนกว่าเธอจะได้ยิน จนกว่ามันจะพิสูจน์ได้ว่ามันหายใจได้จริง ๆ นอกห้องนี้
สุดท้าย ฉันเขียนแค่
for N.
แค่นั้น
ไม่มีลูกเล่น ไม่มีอักษรตวัดหัว มีแค่ตัวอักษรตัวเดียว มีหางโค้งอยู่ท้ายสุด
เพราะบางอย่าง…ไม่ต้องมีชื่อก็สำคัญได้ ฉันใส่แผ่นลงในกล่องใส ไม่มีปก ไม่มีกราฟิก
มีแต่แผ่นซีดีกลม ๆ ที่เพิ่งถูกเขียนเมื่อครู่ ฉันห่อมันด้วยกระดาษบางสีขาว กระดาษที่อยู่ในลิ้นชักเดียวกับสายไฟสำรองและสายกีตาร์ที่ขาดไปครึ่งหนึ่ง พับมันสองทบ มุมเรียบเหมือนของขวัญที่คนให้ก็ไม่มั่นใจว่าผู้รับจะอยากได้ไหม
ลาเต้เดินมานั่งข้างโต๊ะ ไม่ร้อง แค่มองกล่องใส่แผ่น ฉันก็มองมันเหมือนกัน แล้วก็หันไปเปิดสมุดโน้ต พลิกไปหน้าขาวถัดไป
เขียนว่า
จดลิขสิทธิ์ – 26 ต.ค. – 500 บาท
ขีดเส้นใต้สองที มันไม่ใช่เดดไลน์ มันคือการตัดสินใจ แผ่นซีดีวางเงียบ ๆ อยู่บนโต๊ะ ไม่ได้พูดชื่อเพลง แต่มันรู้ชื่อของตัวเองดี
PALMY