26 ตุลาคม 2543
กรุงเทพฯ ไม่เคยปล่อยให้เวลาเช้าเป็นเรื่องง่าย ถึงจะตื่นแต่เช้า อากาศก็ยังรู้สึกเหมือนเที่ยงคืน อึดอัด หนักแน่น เหมือนมันอดนอนมาทั้งคืนเพราะคิดไม่ตกเรื่องเดดไลน์
Sponsored Ads
ฉันขึ้นรถเมล์สาย 71 ตอนเก้าโมงกว่า ๆ แผ่นเดโมอยู่ในกระเป๋าเป้ ธนบัตรห้าร้อยบาทถูกพับครึ่งซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ไม่ได้ใหม่ ไม่ได้กรอบ แค่แบงก์เก่าที่น่าจะเคยซื้อข้าวกลางวัน บุหรี่ และความรู้สึกผิดให้ใครสักคนมาก่อน
ซีดีถูกใส่ในซองพลาสติกใส แล้วห่อด้วยซอง A4 ราคาถูก คราวนี้ฉันไม่ได้เขียนว่า for N. ไม่ได้ใส่ชื่อชั่วคราว มีแค่ชื่อจริง พิมพ์เพียงครั้งเดียวในแบบฟอร์ม ด้วยลายมือที่ พยายามจะมั่นใจมากกว่าที่มันรู้สึกจริง ๆ:
“ความทรงจำสีจาง”
การตั้งชื่อนั้น…แปลกดี เหมือนเจอใครสักคนที่เคยฝันถึงมานาน แล้วต้องพูดออกมาว่า “ฉันรู้จักเธอแล้วล่ะ”
รถเมล์แล่นช้า ๆ ผ่านหน้าร้านที่เพิ่งเปิด มอเตอร์ไซค์ขายก๋วยเตี๋ยวที่เริ่มรับออเดอร์แรก และหมาที่นอนหลับที่ดูตั้งใจมากกว่าชีวิตของฉันในหลาย ๆ วัน ฉันมองออกนอกหน้าต่าง หน้าผากแนบกับกระจกเย็น ๆ พยายามไม่คิดให้เยอะว่าห้าร้อยบาทนั้นฉันน่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
ค่าข้าว ค่าเช่า ค่ามูสทูน่าให้ลาเต้ แต่ก็สายเกินไปแล้วทั้งนั้น
สำนักงานลิขสิทธิ์ยังเหมือนเดิม: สีเบจ ฟังก์ชันครบ และแอร์แรงจนแทบลืมว่าข้างนอกคือกรุงเทพฯ ในเดือนตุลาคม พัดลมตั้งพื้นหมุนช้า ๆ อยู่ตรงมุมห้อง เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะเชื่อใจใครดี พื้นกระเบื้องเต็มไปด้วยร่องรอยของวันฝนตกพันวัน โคลน ฝุ่น รอยเท้าที่ทับซ้อนกันกลายเป็นภาพเขียนนามธรรมของระบบราชการ
ผู้หญิงคนเดิมยังนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เสื้อเบลาส์ตัวเดิม หรือไม่ก็คล้าย ๆ เดิม เธอเงยหน้าจากกองเอกสาร มองฉันนิ่ง ๆ แล้วพูดว่า
“คุณมาเดือนที่แล้วใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้า อาย ๆ “ครับ… เพลงใหม่น่ะครับ”
เธอไม่ได้ยิ้ม แต่บางอย่างในหน้าก็อ่อนลง อาจจะเพราะคุ้นหน้า หรือเพราะสงสาร หรืออาจจะแค่ชอบคนที่พูดน้อย
เธอสไลด์แบบฟอร์มมาให้ ครึ่งนึงกรอกไว้แล้ว ฉันเซ็นชื่อในจุดที่เธอชี้ ส่งซองให้เธอ
ซีดีมีเสียงเบา ๆ แบบพลาสติกตอนหลุดจากมือฉันไป เบากว่าที่ควรจะเป็น เบากว่าของที่อยู่ในนั้น
ฉันมองเธอเช็กชื่อเพลง ชื่อคนแต่ง สรุปโครงสร้าง ไม่มีคำพูด มีแค่พยักหน้า แล้วตราปั๊มก็ถูกหยิบขึ้นมา เสียง ปั๊ม หนัก ๆ ลงบนกระดาษ ดังเกินความจำเป็น เหมือนหมัดที่ต่อยเข้าเงียบ
เธอยื่นสำเนาให้ฉัน แล้วแบมือ ฉันยื่นธนบัตรห้าร้อยไปให้ มันหายไปในมือเธออย่างเรียบง่าย เหมือนเงินนั่นไม่เคยมีตัวตน แค่ยืมมาจากชีวิตคู่ขนานเท่านั้น
ในห้องยังคงกลิ่นของหมึกพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และความผิดหวังอ่อน ๆ พร้อมแอร์ที่เย็นพอให้ฝันได้ ถ้าอยู่ในแฟ้มเอกสารและอยู่ในลำดับที่ถูกต้อง
ฉันยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่าที่จำเป็น ไม่ใช่เพราะลังเล แค่…ดีเลย์ เหมือนรออะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นให้ตามทัน
เธอมองฉันอีกครั้ง “เสร็จแล้วนะคะ”
ฉันพยักหน้า “ขอบคุณครับ”
ข้างนอก ดวงอาทิตย์ขึ้นมาครึ่งฟ้าแล้ว และกำลังคิดอยู่ว่าจะลงดีไหม ตุ๊กตุ๊กวิ่งพ่นควันผ่านหน้า เด็กนักเรียนหัวเราะกันเสียงดังเกินไป และที่ไกล ๆ ลำโพงประกาศโปรโมชันสุดสัปดาห์จากบิ๊กซี
ฉันเดินไปทางป้ายรถเมล์ ไม่ได้รู้สึกเบาขึ้น ก็ไม่ได้หนักลง
แค่…เปลี่ยนไป
ซีดีหายไปแล้ว ชื่อฉันอยู่ในแบบฟอร์ม ตราปั๊มลงไปแล้ว ฉันยังไม่รู้สึกว่าเป็นนักแต่งเพลงจริง ๆ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว
และนั่น… มันก็น่าจะนับว่าเป็นอะไรบางอย่าง
Sponsored Ads
———————
จัดส่งโดยไม่มืชื่อ
Starbean Coffee เงียบกว่าครั้งก่อน
แสงแดดบ่ายแก่กรองผ่านกระจกสูง สะท้อนเป็นริ้วตรงคราบเช็ดคร่าว ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ใบพัดของพัดลมเพดานหมุนช้า ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าการทำงานวันนี้คุ้มค่าพอหรือเปล่า บาริสต้าหลังเคาน์เตอร์พยักหน้าให้อย่างสุภาพ เป็นท่าทียามพบเจอคนที่ดูคุ้น ๆ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะจำได้จากที่ไหน
ฉันมาถึงก่อน อีกแล้ว
แก้วอเมริกาโนเย็นที่ละลายไปครึ่งวางอยู่ตรงหน้า หยดน้ำเกาะรอบ ๆ เหมือนนาฬิกาน้ำแข็งที่เดินตามจังหวะของตัวเอง เพลงแนวบอสซาโนวา* ค่อย ๆ ดังเบา ๆ มาจากลำโพงเหนือหัว เพลงที่เหมือนจะเหมาะกับโฆษณาท่องเที่ยวมากกว่าความจริงของกรุงเทพฯ แต่มันก็แทบจะเวิร์กอยู่เหมือนกัน
แล้วกระดิ่งเหนือประตูก็ดังเบา ๆ
ดุจดาวเดินนำเข้ามา เฉียบคมเหมือนเดิม เสื้อเชิ้ตเรียบกริบ รองเท้าขัดเงา ท่าทางที่บอกว่าเธอไม่เคยเดินเข้าที่ไหนโดยไม่มีแผน ด้านหลังคือ นีน่าในชุดที่เหมือนแพ้เดิมพันกับคู่มือพรางตัว: ฮู้ดดี้โอเวอร์ไซส์ หมวกแก๊ป แว่นกันแดดใหญ่เกินหน้า แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังเดินเหมือนเสียงดนตรี แม่นยำ ลื่นไหล และเข้าไม่ถึง
“สวัสดีค่ะ” ดุจดาวกล่าว ขณะเลื่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามฉันเหมือนเป็นเจ้าของโต๊ะ
นีน่านั่งลงข้างเธอ ไม่มีคำทักทาย แค่การปรากฏตัว
ฉันล้วงซองขาวจากกระเป๋า ยื่นให้ ข้างในคือแผ่น CD-R และแผ่นโครงสร้างที่พิมพ์ออกจากเครื่องในร้าน 7-Twelve ตอนพักเบรก ฉันเช็กระยะขอบสองรอบ ให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย
ดุจดาวรับมันโดยไม่ทำพิธีใด ๆ พลิกดูแผ่นงานเหมือนแค่ยืนยันสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วจากประสบการณ์อ่านนักแต่งเพลงเหมือนอ่านตาราง Excel
นีน่าดึงแผ่นซีดีออกจากซอง เธอหงายมันขึ้นมาส่องแสง ไม่มีป้ายชื่อ ไม่มีรายชื่อแทร็ก มีเพียงข้อความเขียนด้วยลายมือที่ฉันทิ้งไว้หลายวันก่อน:
for N.
เธอหันมาถามฉัน ไม่ใช่ด้วยความตำหนิ แค่ความสงสัย “ทำไมไม่เขียนชื่อ?”
ฉันนิ่งไปครู่ ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะตอบยังไง แต่เพราะการพูดมันออกมารู้สึกเหมือนปล่อยมือจากบางอย่างที่ไม่รู้ว่าฉันยังจับไว้อยู่
“เพราะตอนนั้น…” ฉันเริ่มช้า ๆ “ยังไม่มั่นใจว่ามันจะอยู่รอดน่ะครับ”
เธอกะพริบตาช้า ๆ หลังแว่น ฉันพูดต่อ
“การตั้งชื่อมันเหมือนให้คำสัญญา… แล้วตอนนั้นผมยังไม่แน่ใจว่ามันจะกลายเป็นอะไรได้จริงรึเปล่า”
ฉันถอนหายใจออกทางจมูก เบา ๆ เกือบเหมือนหัวเราะ “แต่ตอนนี้… อาจจะเริ่มมั่นใจแล้วก็ได้”
นีน่าไม่ยิ้ม แต่เธอมองแผ่นซีดอีกครั้ง เหมือนมันพูดอะไรบางอย่างกลับไปหาเธอ เธอดึงเครื่องเล่นซีดีพกพาออกมาจากกระเป๋า สีเงิน ขูดเล็กน้อยแต่ยังใช้งานได้ เสียบหูฟัง
ใส่แผ่นลงไป
กด play แล้วฟัง
ฉันไม่ได้ฟัง ได้ยินเดโมนั้นมากพอจะจำความลังเลในเสียงตัวเองได้ทุกช่วง รู้ว่าตอนไหนที่หายใจแรงเกินไป คีย์ไหนที่ไม่ได้อย่างที่หวัง
มันก็แค่ฉันกับเปียโน กับพื้นที่ว่างระหว่างการยังไม่ยอมแพ้ และการยังไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนต่อ
สีหน้าของนีน่า แทบไม่เปลี่ยน แค่ฟัง ภายใต้แว่นกันแดดราคาถูก แล้วบางอย่างก็เปลี่ยนไป ปลายนิ้วเธอที่วางอยู่บนโต๊ะเริ่มเคาะเบา ๆ เป็นจังหวะ ครึ่งหนึ่งของเพลง
เธอกลั้นหายใจ
เกือบจบ เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย เหมือนเสียงนั้นเอื้อมไปหาเธอ แล้วเธอไม่ได้เบี่ยงหลบ
เมื่อเพลงจบ เธอถอดหูฟัง ม้วนเก็บช้า ๆ
แล้วพูดขึ้น เสียงเบากว่าเสียงกระซิบเล็กน้อย “มัน…คือเสียงของคนที่ไม่ยอมแพ้”
ดุจดาวยิ้ม
“ฉันก็คิดว่าเธอจะได้ยินมัน” เธอพูดเบา ๆ
จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ฝาพับหรู ๆ ออกจากกระเป๋าถือ กดไม่กี่ปุ่มด้วยนิ้วโป้ง
“โอนแล้ว” เธอว่าพลางเหลือบตามาทางฉัน “สองหมื่นบาท ลองเช็กดู”
ฉันไม่เช็ก ยังไม่ใช่ตอนนี้
“เราจะติดต่ออีกทีตอนจองเวลาสตูดิโอ” เธอเสริม “อยากให้คุณไปด้วย — บังคับ”
ฉันพยักหน้า คำพูดดูจะไม่สำคัญเท่าไหร่
ฝั่งตรงข้าม นีน่ายังคงถือแผ่นซีดีอยู่ในมือ ไม่ได้กอดไว้แน่น แค่…เหมือนไม่อยากวางลงทันที เป็นครั้งแรก ที่มีใครสักคนฟัง ฟังจริง ๆ และไม่เบือนหน้าไปไหน
Sponsored Ads
———————
สายโทรศัพท์จากพี่ต้น
กะดึกในร้าน 7-Twelve มันมีจังหวะของมันเอง
พอถึงเที่ยงคืน เสียงส่วนใหญ่ก็หายไป เหลือแค่ฮัมเบา ๆ ของตู้แช่เสียงแหลม แสงนีออนที่กระพริบเป็นจังหวะเหมือนกำลังคิดอะไร และเสียงซู้ดบะหมี่คัพจากลุงคนเดิม ที่กินเหมือนกำลังทะเลาะกับเส้น
ฉันอยู่หลังเคาน์เตอร์ กำลังติดสติ๊กเกอร์ราคาชิปส์สาหร่ายล็อตใหม่ แล้วมือถือก็สั่นในกระเป๋ากางเกง
ฉันขมวดคิ้ว ไม่มีใครโทรหาฉันตอนทำงานหรอก จะมีก็แค่ข้อความ หรือบางทีก็โทรขายของ แต่สายนี้… ไม่ใช่แบบนั้น ฉันเช็ดมือลวก ๆ กับกระดาษทิชชู่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
บนหน้าจอกระพริบคำว่า “พี่ต้น” ราวกับว่ามันพยายามจะพูดเบา ๆ
ก่อนที่ฉันจะทันจะพูดอะไร เสียงเขาก็พุ่งทะลุลำโพงออกมา
“กรณ์… อย่าตกใจนะ ยอดขายมันเจ็ดพันแล้ว!”
ฉันกระพริบตา “…อะไรนะ?”
“เจ็ดพัน!” เขาตะโกน “เจ็ดพัน! แผ่น!”
ฉันมองกล่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสกุ้งที่กองอยู่ตรงหน้า อย่างว่างเปล่า
“พูดจริง?”
“มึงคิดว่ากูโทรมาเล่น ๆ เหรอวะ!” พี่ต้นหัวเราะ หายใจไม่ทัน “เราแม่งขายได้จริงแล้วโว้ย!”
ฉันกำโทรศัพท์แน่นขึ้น วางศอกพิงเคาน์เตอร์ไม่ให้เข่าอ่อน ร่างกายฉันยังไม่ตกลงที่จะรับบทสนทนาแบบนี้
“…ทำไมอ่ะ?” ฉันถามไปแบบงง ๆ จริงใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
“กูจะบอกยังไงดี มีรีวิว! ลงเมื่อเย็นนี้เอง บ้าไปเลย!” น้ำเสียงของพี่ต้นเริ่มเข้าสู่โหมดครึ่งบ้าครึ่งดี ที่เขาจะมีเฉพาะตอนตื่นเต้น หรือกินส้มตำเผ็ดเกินไป
ได้ยินเสียงพลิกกระดาษ “รอแป๊บ กูอ่านให้ฟัง…”
ตรงมุมชั้นแมกกาซีน ข้าง ๆ ปกนักร้องวัยรุ่นกับวีซีดีคาราโอเกะ ฉันเห็นมัน ชาร์ตบันไดเสียงเปรี้ยวหวานประจำเดือน พาดหัวใหญ่ “เพลงที่พังคุณให้ร่วง แล้วป้อนคุณด้วยความจริง”
ฉันเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ คว้าหนึ่งเล่ม เปิดหาด้วยความเร็วของคนกำลังถอดชนวนระเบิด
แล้วก็เจอ
Track Spotlight: “เหยียบดาว” by พี่ต้น & เดอะเทมโพรารีส์
ประโยคแรก: “นี่ไม่ใช่แค่เพลง—นี่คือการยิงจรวดโว้ย”*
ฉันจ้องหน้ากระดาษ ปากอ้าเล็กน้อย แล้วพึมพำตามสัญชาตญาณ
“…อะไรวะ”
พี่ต้นยังอ่านต่ออย่างอารมณ์ดี
“เพลงนี้ไม่ได้เดินย่องเข้าหัวใจคุณ—แต่มันเตะประตูครัวเข้ามาแล้วตะโกนว่า ‘กูจะเหยียบดาวโว้ย!’”*
“กีตาร์? เผาไหม้ กลอง? เหมือนขบวนทหารเดินหน้าสู่ความฝัน เสียงร้อง? เหมือนตะโกนความฝันใส่กระทะร้อน ๆ”
คิ้วฉันแทบจะบินออกจากหน้า
“เขายังพูดถึง ‘กรุงเทพมหานคร’ กับ ‘คนไม่มีสิทธิ์’ ด้วยนะ” พี่ต้นเสริม “เรียกว่า เพื่อนร่วมอารมณ์ในเสียงแห่งไตรภาค’ ว่ะ!”
ฉันเปิดไปหน้าถัดไป เจอเลย
‘ถ้า “เหยียบดาว” คือจรวด “กรุงเทพมหานคร” คือถนนที่มันพุ่งออกไป ส่วน “คนไม่มีสิทธิ์” คือความหนักในอกตอนเฝ้าดูมันลอยขึ้นฟ้า’
ฉันไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไง
ตื่นเต้นเหรอ? กลัว? หิว?
ลุงตรงชั้นบะหมี่ยังซู้ดเสียงดังไม่เปลี่ยน เหมือนไม่รู้เลยว่าอวัยวะภายในของฉันกำลังสลับตำแหน่งกันหมด
เสียงของพี่ต้นเริ่มเบาลง จากโหมดโฆษณากลับมาเป็นโหมดเพื่อน “เราเริ่มขายเพลงกันจริง ๆ แล้วนะ”
เว้นจังหวะไปเล็กน้อย ก่อนพูดเบา ๆ “ขอบใจนะ ไอ้กรณ์”
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกหลังเคาน์เตอร์ ถือโทรศัพท์แนบหู นิตยสารวางอยู่บนตัก
เหมือนบันทึกของชีวิตใครอีกคนที่ฉันเพิ่งได้อ่าน
“ไม่เป็นไร” ฉันตอบเบา ๆ
พี่ต้นไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ถอนหายใจ แล้ววางสายไป
ร้านยังคงเงียบ ตู้เย็นดังคลิกหนึ่งที ข้างนอกมีเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่าน เหมือนคำถามที่ไม่มีใครตอบ
ฉันก้มลงมองรีวิวอีกครั้ง
ยิงจรวด! เสียงแห่งไตรภาค! ความฝันสุกแบบมีเดียมแรร์!
ก็ได้ เอาเลย ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?
ฉันเอนตัวพิงพนัก โทรศัพท์อยู่ในมือ นิตยสารยังเปิดค้างอยู่
จ้องไปยังแถวของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรงหน้า เหมือนมันอาจจะพูดอะไรที่ฉันต้องการฟัง ฉันยังไม่แน่ใจว่านี่คือชีวิตของฉันจริง ๆ รึเปล่า
แต่ฉัน… ชอบมันนะ
Sponsored Ads
———————
นิตยสาร ความเงียบ และรูปทรงของบางสิ่งใหม่
สายโทรศัพท์วางไปแล้ว คำพูดเงียบลงแล้ว
แต่ฉันยังถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ยังถือนิตยสารไว้บนตัก
ยังนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ที่ร้าน 7-Twelve ในอากาศที่คลุ้งกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสกุ้ง
น้ำยาถูพื้น และความฝันที่ยังไม่เคยถูกพูดออกมา
โลกไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก ไม่จริงจังขนาดนั้น เสียงฮัมของตู้แช่ยังอยู่ หลอดไฟตรงชั้นบุหรี่ยังคงกระพริบ เสียงครางเบา ๆ ของกรุงเทพฯ ยามดึก ยังลอยอยู่หลังประตูกระจก
แต่ที่ข้างในฉัน เหมือนหน้ากระดาษมันเพิ่งถูกพลิก ฉันวางโทรศัพท์ลงข้างลิ้นชักเงิน
ค่อย ๆ พลิกหน้าถัดไปของนิตยสาร ระวังไม่ให้กระดาษขาด
แล้วฉันก็เจอมัน บรรทัดของฉัน ถ้อยคำของฉัน อยู่บนหน้ากระดาษ อยู่ในหมึก
อยู่บนสิ่งที่ใครสักคนตัดสินใจแล้วว่ามันมีความหมาย
“อย่ามัวแต่ฟังเสียงใคร จนลืมฟังสิ่งที่ร้องในจิตใจ”
ฉันพึมพำมัน เบา ๆ แค่ครั้งเดียว
ไม่ใช่ในแบบที่เหมือนกำลังอ้างคำพูดของตัวเอง แต่เหมือนกำลังลองฟังดูว่า… มันยังมีความหมายอยู่ไหม
มันยังมี แต่น้ำหนักเปลี่ยนไปแล้ว หนักขึ้น แน่นขึ้น คล้าย ๆ กับความจริง
เดือนก่อน ฉันยังติดบทกวีไว้กับสมุดเพลง สองสัปดาห์ก่อน ฉันขายไฟล์ MIDI เพื่อเงินสด กับความภูมิใจมือสองที่แถมมา
เช้านี้เอง ฉันเพิ่งยื่นแผ่นซีดีให้กับนักร้องดังในหมวกแก๊ปและแว่นดำ ข้างในคือเพลงที่เธออาจจะร้องจริง ๆ ก็ได้ เงินสองหมื่นบาทเพิ่งโอนเข้าบัญชีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
อันนั้น… มันเป็นของจริง
แต่สิ่งที่อยู่บนตักฉันตอนนี้ นิตยสารเล่มหนึ่ง ที่มีประโยคของฉัน ที่ฉันเขียนด้วยลายมือสั่น ๆ ตอนตีสาม มันรู้สึกเหมือนไม่ใช่ของฉันเลย เหมือนมีใครมาพากย์เสียงชีวิตใหม่ลงบนภาพเดิมของฉัน
ฉันมองภาพถ่ายข้างบทความ พี่ต้นกำลังกระโดดอยู่กลางเวที
ฝ้ายอยู่กับคีย์บอร์ด แคปชั่นใต้ภาพเขียนไว้ว่า: “เหยียบดาว in Action.”
พระเจ้า นี่หรือเปล่า ความรู้สึกของคำว่า “เริ่มต้น”?
ไม่มีพลุ ไม่มีเศษกระดาษโปรย มีแต่ความปวดหนึบของความเป็นไปได้ที่พุ่งเข้ามาเร็วเกินไป ความจริงที่น่ากลัวและน่าอัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน ว่าบางที บางทีนะ ฉันอาจจะไม่ใช่แค่ตัวประกอบอีกต่อไปแล้ว
และนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันกลัวจนแทบลืมหายใจ ไม่ใช่เพราะฉันไม่ต้องการมัน
แต่เพราะ… ฉันต้องการมันต่างหาก และฉันไม่แน่ใจเลย ว่าความต้องการนี้จะทำอะไรกับตัวตนเวอร์ชันที่เคยใช้ชีวิตเงียบ ๆ ข้างขอบกระดาษ เวอร์ชันที่เขียนทุกอย่างในชื่อปลอม
ฉันเหลือบมองนาฬิกา 01:22 ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่ากะจะหมด
ฉันดันนิตยสารออกไปเบา ๆ เหมือนกลัวจะปลุกใครบางคนขึ้นมาถ้าเผลอขยับแรงเกินไป ใต้เคาน์เตอร์ ระหว่างสมุดใบเสร็จที่ใช้ไม่หมด กับรายการสต๊อกเก่าที่ถูกพับครึ่ง
ฉันเจอสมุดเล่มเดิม เล่มเก่า
ปกงอ มุมเปื้อน ชื่อบนปกยังเขียนด้วยปากกาลบไม่ออกว่า ว่า “เพลง แผลเก่า และเงินกู้ที่ไม่ลด”
ฉันเปิดมัน หน้ากระดาษสั่นไหว เต็มไปด้วยประโยคค้าง ๆ คา ๆ บทเพลงที่ไม่เคยเป็นเพลง หัวข้อที่ไม่เคยเริ่ม แล้ว… ก็เจอหน้าว่าง
ฉันหยิบปากกา แล้วเขียนประโยคที่ยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่รู้ว่าต้องได้เห็น
“ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร ฉันจะก้าวเดินต่อไป“
ยังไม่มีทำนอง ยังไม่มีท่อนร้อง แต่บางที สักวันหนึ่ง อาจมีใครสักคนร้องมันขึ้นมา
ตู้เย็นยังฮัมอยู่ด้านหลัง เมืองก็ยังหายใจอยู่เงียบ ๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่สะดุ้ง
*บอสซาโนวา (Bossanova) แนวเพลงแจ๊สจากประเทศบราซิล