พัดลมในห้องหมุนช้า ๆ อย่างไม่เต็มใจ คล้ายจะมีที่ที่ต้องไปแต่ก็ยังไม่รีบ ไฟในห้องดับหมด เหลือเพียงโคมเล็ก ๆ ข้างคีย์บอร์ดที่ยังสว่างอ่อน ๆ อยู่มุมหนึ่ง ลาเต้เข้าสู่โหมดขนมปังเรียบร้อยแล้ว ขดตัวแน่นข้างหน้าต่าง หางสะบัดเบา ๆ ทุกสองสามนาที เหมือนจุดวรรคตอนให้ประโยคที่ไม่มีใครเอ่ย
Sponsored Ads
ฉันเพิ่งกลับจากกะดึกที่ 7-Twelve เสื้อยูนิฟอร์มปลดกระดุมครึ่งตัว นิ้วยังมีกลิ่นจาง ๆ ของผงกาแฟสำเร็จรูปกับผงซักฟอก เหนื่อยเกินกว่าจะกิน แต่ตื่นเกินกว่าจะนอน
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงเรียกเข้าแบบแฟนซี ไม่ใช่ทำนองอะไรกดมาเอง แค่เสียงโทนธรรมดา ที่ฉันไม่เคยเปลี่ยน
ฉันไม่สะดุ้ง ไม่ตกใจ แค่หยิบขึ้นมา
เบอร์ไม่รู้จัก
ฉันดูชื่อบนหน้าจอ แล้วพูดว่า “ครับ ลุง”
เสียงปลายสายขุ่นแบบเหรียญตกก้นกระปุกแก้ว ไม่มีคำขู่ แต่ก็ไม่มีความอบอุ่น
“ไงไอ้หนูกรณ์! ได้เงินแล้วใช่ไหม ลุงโทรมาแค่นั้นแหละ”
“โอนให้พรุ่งนี้นะครับ หนึ่งหมื่นห้าพัน”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง เงียบพอจะได้ยินเสียงเก้าอี้ที่เขานั่ง หรือไม่ก็เสียงจุดไฟ
หรือไม่ก็เสียงยิ้ม
“โห ใจป้ำเหมือนจะลาออกจากการเป็นลูกหนี้ลุงเลยนะ”
ฉันไม่ขำ ไม่ตอบ มันไม่ใช่มุกหรอก มันแค่…วิธีของคนแบบลุงเอ๋ เวลาจะบอกให้รู้ว่าเขา ‘สังเกตเห็น’
เขาไม่ถามต่อ ไม่ถามว่าไปหาเงินจากไหน หรือทำไมถึงมากกว่าทุกครั้ง
นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา หน้าที่ของเขาคือ ‘รับ’ หน้าที่ของฉันคือ ‘จ่าย’
แต่ฉันก็ยังเผลอพูดต่อ เหมือนปากไวกว่าใจ
“เดี๋ยวปลายเดือนอีกก้อน ถ้าเพลงได้ออกจริง”
ฉันไม่ได้หวังจะได้ยินอะไรกลับมา
เขาแค่ “อือ…”
“เออ… จะรอดูนะ”
แล้วสายก็ตัดไป ไม่มีคำลาก่อน ไม่มีคำด่า แค่เสียงสายถูกปิดเหมือนประตูบานหนึ่ง ที่ไม่ควรไปเคาะซ้ำ
ฉันวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ข้างแผ่นกระดาษเปล่า กับรอยแก้วกาแฟแห้ง ๆ ที่ขอบ ห้องเงียบ ไม่ถึงกับสงบ แต่ก็ไม่ตึงเครียด
เคยมีช่วงหนึ่ง ไม่นานนัก ที่สายจากลุงเอ๋ทำให้ฉันตัวสั่น เดินวนไปมาหลายชั่วโมง มือเย็นเฉียบ ท้องบิดเหมือนหนี้เป็นสิ่งมีชีวิต ที่คอยจ้องมองจากมุมห้อง
แต่คืนนี้ มันยังหนักอยู่ แค่ไม่แหลมคม เหมือนกระสอบข้าวสารที่หิวนานจนชิน ไม่ได้ลืมว่ามันอยู่ แค่ไม่ทำหกใส่ตัวทุกครั้งที่มีใครเรียกชื่อ
เงินหมื่นห้าจะช่วยลดมันลงได้หน่อย ไม่มากพอจะเปลี่ยนตอนจบของเรื่อง แต่ก็อาจพอจะเขียนหน้าถัดไปได้
ที่อีกมุมของห้อง ลาเต้กระตุกหูเบา ๆ ยังอยู่ในท่าเดิม ยังไม่ประทับใจอะไรทั้งนั้น
ฉันเอนตัวพิงเก้าอี้ มองออกไปที่หน้าต่างระเบียง เมืองยังไม่ได้หลับ แต่ลดเสียงลงแล้ว ความเงียบแบบที่แม้แต่รถก็เลิกบีบแตรใส่กัน
ฉันหันกลับไปมองลาเต้อีกครั้ง แล้วพูดออกมาเบา ๆ ไม่ใช่เพื่อสร้างบรรยากาศ ไม่ใช่เพื่อขอเพื่อนคุย
แค่…พูด “เดือนหน้าลุงจะโทรมาอีกใช่ไหม…”
“…โอเค ผมจะรออยู่แล้วกัน”
เขาไม่ขยับตัว
ฉันก็เช่นกัน
แต่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสาย ที่พูดประโยคนั้นออกมา โดยไม่รู้สึกเจ็บ
Sponsored Ads
———————
MIDI และ MBK
เสียงคอมพิวเตอร์ดังเหมือนกำลังพยายามนึกให้ออกว่าตัวเองเคยเป็นใครมาก่อน Windows 98 บูตขึ้นพร้อมเสียงหายใจเหนื่อย ๆ จอมอนิเตอร์ที่มีรอยร้าวที่มุมล่างขวาสั่นพร่าด้วยความไม่พอใจ ไอคอนต่าง ๆ ค่อย ๆ โผล่มาทีละตัว My Computer, Recycle Bin, Cakewalk Pro Audio (Cracked) ของเก่าทั้งนั้น ของที่ยืมเวลามาใช้ และยังไม่ได้จ่ายคืนเต็มจำนวน
ฉันกำลังทำไฟล์ MIDI อีกแล้ว ไม่ใช่เพลง แต่เป็นริงโทน
เสียงบี๊บเล็ก ๆ ที่ถูกบีบอัดให้เหลือเสี้ยวเดียวของต้นฉบับ โมโนฟีลลิ่ง แม้จะมีหลายโน้ตก็ตาม ฉันลอกเลเยอร์ของ “เหยียบดาว” ออกจนหมด ทำนองหลัก เสียงคอร์ดที่เหมือนลอยมาแต่ไกล กับเบสไลน์ที่สื่อเหมือนอยากทะเยอทะยานแต่ยังลังเลอยู่
โปรแกรมแครชทุก ๆ สามครั้งตอน export ลาเต้นั่งอยู่ข้างจอ กวัดหางด้วยท่าทีเบื่อหน่ายทุกครั้งที่มันล่ม
“ก็อยากให้เรารวยเร็ว ๆ ไม่ใช่เหรอ” ฉันพึมพำใส่มัน ขณะคลิก reinstall รอบที่ห้า
หลังจากทดลองและรีสตาร์ตอยู่สามชั่วโมง ฉันก็เขียน CD-R ได้สิบแผ่น แทบจะเหมือนกันหมด ทุกแผ่นถูกเขียนด้วยปากกามาร์คเกอร์ว่า
YEEP DAO – MIDI RINGTONE DEMO – 3 VERSIONS
ไม่มีภาพกราฟิก ไม่มีแบรนดิ้ง มีแค่ชื่อแทร็ก รูปแบบ กับความหวัง
ฉันสอดแผ่นใส่ซองแผ่นละใบ แล้วเก็บลงแฟ้มพลาสติกใสที่เคยใช้ตอนสมัครงาน ตอนนี้มันกลายเป็นที่เก็บธุรกิจเสริม
ช่วงบ่าย MBK ก็เริ่มคึกคักแล้ว ชั้นสี่ ที่ความฝันเกี่ยวกับเทคโนโลยีเกิดและตายบนถาดพลาสติก เริ่มมีคนเดินพลุกพล่าน ร้านริงโทนเริ่มเปิดเสียงทดลอง แถวโทรศัพท์ Nokia กับ Motorola เรียงกันอยู่หลังตู้กระจกมัว ๆ ข้าง ๆ เสาอากาศมีไฟวิบวับกับคัตเตอร์ตัดซิม
ฉันเดินทีละร้าน บางร้านโบกมือไล่ก่อนจะได้อ้าปาก บางร้านฟัง ฟังจริง ๆ บางร้านโน้มตัวเข้ามาใกล้ ที่ร้านเล็ก ๆ ระหว่างเคาน์เตอร์บัตรเติมเงินกับชั้นวางเคสมือถือ แม่ค้าคนหนึ่งหยิบ CD ฉันขึ้น เสียบเข้าคอมพ์ตั้งโต๊ะที่เปิดฝาข้างไว้ คลิกเปิดไฟล์
ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียงเมโลดี้บาง ๆ ของ “เหยียบดาว” ก็ดังออกมาจากลำโพงฝุ่นจับ
“เพลงนี้เคยได้ยิน… ช่องเก้าใช่มั้ย? กีฬารึเปล่า?” เธอถาม คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย
ฉันพยักหน้า “ใช่ครับ เพลงต้นฉบับเลย”
เธอฟังต่อ “ดนตรีมันดูเหมือนเศร้า… แต่คนฟังจำมันได้”
เธอซื้อหนึ่งแผ่น
ฉันเดินต่อในเขาวงกตของบูธ อธิบายว่าไฟล์ทำอะไรได้ ยื่นแผ่นให้
โดนถามคำถามแปลก ๆ ว่า “เวอร์ชั่น Nokia 3310 มีไหม?” หรือ “ปรับให้เสียงดังกว่านี้ได้ป่ะ?”
บางร้านไม่สนว่าใครแต่ง แค่สนว่ามันขายได้มั้ย คนฮัมกันอยู่หรือยัง ฉันขายได้ครบสิบแผ่น หนึ่งร้านต่อหนึ่งแผ่น
ไม่มีใครขอสิทธิ์ขายเจ้าเดียว เพราะยังไงเขาก็จะก็อปไฟล์ไปอยู่ดี โหลดใส่เครื่องคอมฯ ตั้งชื่อใหม่แบบไร้ความละเมียดอย่าง “Sad Star Song” แล้วขายเป็นริงโทนละสิบบาท ให้ใครก็ตามที่มีมือถือรองรับ
ขายแผ่นละ 600 บาท ทั้งหมด 6,000 บาท
มันรู้สึก…ถูกกฎหมายขึ้นมาอย่างประหลาด เหมือนขายน้ำเปล่าในขวดไม่มีฉลากตอนอากาศร้อนจัด
ขากลับ ฉันแวะร้านหมูปิ้งใกล้ทางเชื่อมรถไฟฟ้า ซื้อสองไม้ ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ
แล้วแบบไม่ได้ตั้งใจ ฉันเดินเข้าร้าน 7-Twelve ข้างตึก หยิบขนมแมวรสแซลมอนซองเล็ก ๆ ใส่ตะกร้า ลาเต้อาจจะดม แล้วเดินหนี ทำหน้าผิดหวังในรสนิยมของฉันตามเคย แต่ฉันก็ซื้ออยู่ดี
ตอนเดินผ่านร้านมือถือเจ้าประจำแถวบันไดเลื่อน ฉันเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกดปุ่มบนมือถือฝาพับมือสอง เสียงหนึ่งดังขึ้น เบา ๆ
แต่ฉันจำมันได้ เสียงแหลมเล็ก เพี้ยน ๆ นิดหน่อย
ยังไงก็เป็นของฉัน เด็กคนนั้นพยักหน้าช้า ๆ
ไม่ใช่แบบแฟนคลับ แต่แบบคนที่รู้ว่าเสียงนี้มีความหมายบางอย่าง
แปลกดี… เพลงที่แต่งด้วยความหวัง ดันขายได้เพราะมันฟังดูเศร้า
ฉันไม่ได้หยุดเดิน แต่ฉันเก็บช่วงเวลานั้นไว้กับตัว เงียบ ๆ เหมือนโน้ตตัวหนึ่งที่ยังไม่ถึงคิวเล่น
Sponsored Ads
———————
วันเงินออก…อีกครั้ง (อีกครั้งจริง ๆ)
วันสุดท้ายของเดือนตุลาคมมาเงียบ ๆ เหนียวเหนอะหนะเหมือนใบเสร็จที่ฉันไม่ได้ขอ
แต่ก็ต้องเก็บไว้
ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะตอนหัวค่ำ มีซองเอกสารติดป้ายกองเล็ก ๆ วางอยู่ตรงหน้า โอวัลตินเย็นหนึ่งแก้วที่ไม่ได้แตะ กับแมวหนึ่งตัวที่มีท่าทีชัดเจนต่อพิธีกรรมด้านงบประมาณ ลาเต้นอนขดอยู่ใกล้พัดลม หางกระดิกทุกครั้งที่ฉันขยับเหรียญหรือพลิกกระดาษ เหมือนกำลังตรวจบัญชี และไม่พอใจกับวิธีจัดหมวดของฉันเท่าไหร่
ฉันเปิดสมุดงบประมาณเล่มเดิม ปกสีฟ้าเก่า มีคราบกาแฟวงกลมตรงมุมล่าง
บนปกเขียนด้วยปากกามาร์คเกอร์ว่า
“เพลง แผลเก่า และเงินกู้ที่ไม่ลด”
สุดคลาสสิก
ฉันรวมรายได้ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขถูกจดลงในคอลัมน์ที่ผ่านการลบแก้ไขบ่อยกว่าจดหมายรักสมัยมัธยมเสียอีก:
฿20,000 → ค่าล่วงหน้าเพลง “ความทรงจำสีจาง”
฿6,000 → ขาย MIDI ริงโทนที่ MBK
฿13,608 → เงินเดือน 7-Twelve (14 วัน × 6 ชั่วโมง × ฿180 หัก 10%)
รวม: ฿39,608
มันดูยิ่งใหญ่บนหน้ากระดาษ แต่ในบัญชีมันเบากว่านั้นมาก ฉันแยกเงินออกช้า ๆ เหมือนกำลังจัดเครื่องเซ่น
฿15,000 → ลุงเอ๋
฿5,000 → ค่าเช่า
฿3,000 → ค่าใช้จ่ายประจำวัน (อาหาร, เทปเปล่า, ทรายแมว, ปลาซาร์ดีนฉุกเฉิน)
฿2,000 → หนี้ กยศ.
฿1,000 → ให้แม่ (ซองแห่งความรู้สึกผิด ไม่มีข้อแม้)
ฉันสอดแต่ละยอดลงซองที่เขียนป้ายไว้เรียบร้อย หมึกเริ่มซีดตามวันเวลา:
“รู้สึกผิด”
“ความหวัง”
“ทรายแมว”
“แม่”
“หลุมดำแห่งสินเชื่อขนาดเล็ก”
ลาเต้สะบัดหูเบา ๆ เหมือนไม่เห็นด้วยกับการตั้งชื่อซองของฉัน
“อย่าบอกนะ ว่านายอยากตั้งชื่อให้เอง,” ฉันพึมพำ
มันยืดขาออกมาหนึ่งข้าง กางเล็บแผ่ว ๆ พอให้รู้ว่า อาหารค่ำมาก่อนศิลปะนะมนุษย์
ฉันวางซองทั้งหมดไว้ด้านข้าง แล้วเปิดไปหน้าหลังของสมุด “เพลง แผลเก่า และเงินกู้ที่ไม่ลด” และบันทึกหนี้ นี่เป็นส่วนที่ปกติแล้วจะเจ็บหน่อย ไม่ใช่ทางกาย แต่ในแบบที่แรงใจมันหดตัวลงนิดหนึ่ง
แต่คืนนี้…มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ฉันขีดฆ่าตัวเลขเก่า แล้วเขียนใหม่ว่า:
ลุงเอ๋: ฿265,000 → เหลือ ฿250,000
หนี้ กยศ.: ฿72,000 → เหลือ ฿70,000
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นยอดลดลงพร้อมกันทั้งสองบรรทัดในเดือนเดียว ครั้งแรกที่ยอดของลุงเอ๋ตกลงมาต่ำกว่ากำแพจิตใจที่ชื่อ “สองแสนห้าหมื่น” ยังเยอะอยู่ ยังน่าหายใจไม่ออก
แต่ตัวเลขเปลี่ยน และตัวเลข…มันมีพลังบางอย่าง
ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้ มองตัวเลขที่จดด้วยลายมือตัวเอง เลขที่เจ็บน้อยลงนิดหนึ่งเพราะฉันเป็นคนเขียนมันเอง
การใช้เงินเดือนจ่ายหนี้ มันคือการอยู่รอด
แต่การใช้เพลงจ่ายหนี้ มันให้ความรู้สึกอย่างอื่น ไม่ถึงกับเป็นอิสรภาพ แต่มันคือ “ความเคลื่อนไหว”
ฉันเอื้อมมือไปลูบข้างลำตัวของลาเต้เบา ๆ เขาพลิกตัวหนึ่งทีแต่ไม่ลืมตา
“อีกไม่กี่เดือนก็หมดแล้วล่ะ ถ้าไม่มีอะไรพังอีก…”
เขาไม่ตอบ แต่ก็ขยับตัว เหมือนโลกอาจเอียงได้ถ้าฉันไม่ลุกไปเทอาหารให้มันในห้านาทีนี้ ก็ยุติธรรมดี การจัดงบอาจเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ แต่เรื่องอาหารเย็นนั้น…เป็นของศักดิ์สิทธิ์กว่า
Sponsored Ads
———————
ชีวิตกลางถนนในกรุงเทพฯ (draft1)
ท้องฟ้านอกหน้าต่างแต้มด้วยสีส้มอ่อนแบบที่มีอยู่แค่สิบห้านาทีต่อวัน ก่อนที่กรุงเทพฯ จะนึกขึ้นได้ว่าต้องกลับไปเป็นสีเทาอีกครั้ง
ลาเต้นอนเหยียดยาวทับสมุดรวมเรื่องสั้นของฉัน หน้าอกของเขากระเพื่อมช้า ๆ ขาหน้าข้างหนึ่งเหยียดออกมา เหมือนเผลอหลับไปกลางประโยคบ่น มันกระดิกหางครั้งหนึ่งตอนฉันแอบดึงสมุดออก แต่ก็ไม่ลืมตา
พัดลมหมุนอย่างเชื่องช้า อากาศไม่ได้เย็น แต่ก็ยังพอขยับ บางครั้ง…แค่นั้นก็พอ
ฉันนั่งลงที่โต๊ะ หักนิ้วเสียงกรอบเบา ๆ แล้วเปิดไฟล์ที่บันทึกไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน
ชื่อไฟล์ยังเป็นแบบทดลอง
“ชีวิตกลางถนนในกรุงเทพ.draft1.doc”
แล้วฉันก็เริ่มพิมพ์
📖 “ภรรยาของผทแสนรอบคอบ พอบอกว่ามีนัดสำคัญตอนบ่ายสามโมง ต้องร่วมทีมกับเจ้านายพบลูกค้ารายใหญ่ที่โรงแรมริมแม่น้ำแถวคลองสาน…”
เคอร์เซอร์กะพริบ
ฉันหยุดนิ่ง มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเร่งเครื่องในซอย แล้วสะดุดดับไป เหมือนเปลี่ยนใจกะทันหัน ฉันหันไปมองลาเต้ เขายังหายใจอยู่ ยังนอนขด ยังไม่แสดงความประทับใจใด ๆ
ครอบครัว ฉันคิดในใจ บางทีมันก็ไม่ต้องอธิบายเป็นคำพูด มันเป็นเรื่องของ “รูปทรง” มากกว่า การนั่งอยู่ในรถคันเดียวกันที่ติดอยู่ตรงไฟแดง โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
แต่ความเงียบระหว่างสองคน กลับมีความหมายมากกว่าคำพูดทั้งหมดที่พูดไปเสียอีก
ฉันเริ่มพิมพ์ต่อ
📖 “…การมีรถเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเป็นที่พักพิงอาศัยในสัดส่วนเวลาพอ ๆ กับบ้าน และที่ทำงาน ยิ่งเมื่อภรรยาจัดให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกดีขึ้น กลายเป็นบ้าน สำนักงานเคลื่อนที่ ถนนกรุงเทพฯ รถยังคงติดเป็นตังเมตามปกติ ผมมีนัดตอนบ่ายสาม นี่เพิ่งสิบเอ็ดโมงสิบห้ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง… ”
ฉันอ่านย้อนกลับ ไม่สะดุ้ง
แล้วก็มาถึงย่อหน้าสุดท้าย
📖 “…เมียผมท้องแล้วโว๊ย ท้องกลางถนน… เมื่อรถเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง คิดถึงเจ้าตัวเล็ก ผู้เติมแต้มชีวิตครอบครัวสมบูรณ์ คิดถึงรถคันใหญ่ เนื้อที่กว้างขวางพอสำหรับพ่อ-แม่-ลูก ข้าวของเครื่องใช้กับกิจกรรมในครอบครัว เร่งด่วนและจำเป็น เพื่อความสุขของชีวิตกลางถนนในกรุงเทพฯ”
จบแล้ว ฉันกดบันทึก
นั่งนิ่ง ๆ แล้วเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น ครอบครัวกลางถนน.doc จากนั้นก็เปิดอีเมลขึ้นมา
To: วารสารมองมารายเดือน
Subject: ส่งเรื่องสั้น: ครอบครัวกลางถนน
Attachment: ครอบครัวกลางถนน.doc
ฉันเอานิ้วค้างไว้ตรงปุ่มส่ง สูดหายใจหนึ่งครั้ง แล้วกด
เสียง “วื้บ” เบา ๆ ของอีเมลที่หายไปในช่องว่างของเซิร์ฟเวอร์ เหมือนเรื่องเล่าที่กำลังรอการตัดสิน หรือถูกเพิกเฉย หรือแค่หวังว่าจะไปตกอยู่ในมือของใครสักคนที่มีปากกาและสิทธิ์ในการพูดว่า “ใช่”
ฉันปิดคอมพิวเตอร์ เอนตัวพิงเก้าอี้ ถอนหายใจยาว ไม่มีความภาคภูมิใจ ไม่มีความหวังด้วยซ้ำ มีแค่ความรู้สึกเงียบ ๆ เหมือนได้พูดบางอย่างที่มันอยากถูกพูดมานานแล้ว
ลาเต้ยืดตัว บิดขี้เกียจยาว ๆ แล้วหันมามองหน้าฉัน สีหน้าเขียนชัดว่า เขียนจบแล้วใช่ไหม งั้นไปเทอาหารซะที
ฉันลุก เอื้อมไปหยิบเสื้อ 7-Twelve ที่แขวนไว้ข้างประตู
“คืนนี้ยาวแน่…แต่ก็โอเค” ฉันเกาหลังหูของลาเต้แผ่วเบาระหว่างทางเดินผ่าน เขากระพริบตา แต่ไม่ได้กระพริบตอบ และนั่นก็ไม่เป็นไรเลย
ครอบครัวกลางถนน (2536)
ศิลา โคมฉาย