กลับมาที่ร้าน กลิ่นจาง ๆ ของตะกั่วบัดกรีและน้ำมันเครื่องทักทายผมทันที เป็นความรู้สึกที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ หลังจากสัมผัสกับความเย็นลึกลับที่ยังเกาะติดมาจาก Starry Night Craft Bar ผมวางโปรเจ็กเตอร์ลงบนโต๊ะทำงาน ตัวเครื่องเงาวับดูไร้พิษสงภายใต้แสงไฟเหนือศีรษะ
Sponsored Ads
“คราวนี้ขออย่าให้มันกระซิบอีกเลยนะ” ผมบ่นพลางหยิบเครื่องมือออกมา
ธนาทิ้งตัวลงบนโซฟาเก่าของผม มือกำถุงขนมแน่นเหมือนเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต “ว่าไง คุณนักล่าผี? คราวนี้เป็นเทคโนโลยีต้องคำสาปหรือแค่สายไฟเสีย?”
“เดี๋ยวก็รู้” ผมตอบ พลางคลายสกรูที่ตัวเครื่อง
เมื่อถอดเปลือกโปรเจ็กเตอร์ออก ความรู้สึกในท้องของผมก็ปั่นป่วนไปอีกขั้น ภายใต้เปลือกนอกที่ดูทันสมัย มีรอยสลักจาง ๆ พาดผ่านไปตามโลหะ—สัญลักษณ์เร้นลับ พวกมันเรืองแสงจาง ๆ เมื่อแสงตกกระทบ ดูซับซ้อนและเหนือธรรมชาติ
“สัญลักษณ์” ผมพึมพำ พลางยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ
ธนาชะโงกหน้ามาดู “แบบพวกอักขระโบราณที่นายชอบเพ้อถึงนั่นเหรอ?”
ผมไม่ตอบ แต่หยิบสมุดใบลานของย่าน้อยมาจากชั้นข้าง ๆ ใบลานเก่า ๆ มีเสียงกรอบแกรบเบา ๆ เมื่อผมเปิดมันออก ลายหมึกจาง ๆ บนหน้ากระดาษเหมือนเป็นแผนที่นำทางไปสู่ความลึกลับที่ผมยังไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้
สัญลักษณ์พวกนั้นตรงกับลวดลายในใบลาน ความหมายของมันคล้ายจะดึงความทรงจำบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในมุมลึกของสมอง
“มันเป็นเหมือน… สัญญาณนำทาง” ผมแปลความหมายของข้อความออกมาเสียงดัง “มันถูกออกแบบมาเพื่อนำทางวิญญาณที่หลงทางในความว่างเปล่า นี่ไม่ได้แค่ฉายดาวอย่างเดียว แต่มัน… เรียกบางสิ่งอยู่”
หน้าของธนาซีดเผือดทันที “เรียกอะไร? พิซซ่ารึเปล่า? ขอให้เป็นพิซซ่าเถอะ”
“ไม่ใช่พิซซ่า” ผมตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด นิ้วลากผ่านแผนภาพ “มันเหมือนกับ… คุณเปิดประตูบ้านทิ้งไว้กลางป่าผีสิง”
Sponsored Ads
———————
เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมทดลองต่อ ผมต่อโปรเจ็กเตอร์เข้ากับแล็ปท็อป แยกแหล่งพลังงานออกเพื่อทดสอบอย่างปลอดภัย—หรืออย่างน้อยผมก็คิดอย่างนั้น
ทันทีที่เปิดเครื่องขึ้น ผนังร้านก็เปลี่ยนไป การฉายแสงดาวพุ่งกระจายไปทั่ว พร่างพราวกว่าครั้งก่อน ครอบคลุมทุกพื้นผิว
แต่คราวนี้พวกมันไม่ใช่กลุ่มดาวอีกต่อไป ดวงดาวเคลื่อนที่ เปลี่ยนเป็นความลึกที่เป็นไปไม่ได้ เผยให้เห็นความเวิ้งว้างที่หมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และในความเวิ้งว้างนั้น มีร่างเลือนรางรูปร่างมนุษย์ล่องลอยอยู่ รูปร่างที่แทบมองไม่ชัด เส้นขอบของพวกมันสั่นไหวเหมือนคลื่นสัญญาณในทีวีเครื่องเก่า
ผมกลืนน้ำลาย “ธนา อย่าตื่นตระหนก”
“สายไปแล้ว” เขากระซิบ ตาเบิกกว้าง
หนึ่งในเงานั้นหันมา ราวกับรับรู้ถึงพวกเรา รูปร่างที่ไม่ชัดเจนนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ขอบการฉาย และในชั่วขณะเดียว ผมคิดว่ามันอาจจะทะลุออกมาได้
ธนากระโดดลงจากโซฟา ชี้ไปยังความเวิ้งว้างที่หมุนวน “นี่ไม่มีในแผนที่! Google Maps มีทางกลับไหมเนี่ย?”
“ช่วยหุบปากก่อน” ผมตวาด พลางเปิดดูสมุดใบลาน
ข้อความบนใบลานเรืองแสงจาง ๆ ภายใต้แสงจากการฉาย เผยให้เห็นบรรทัดใหม่ที่ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน ชุดของสัญลักษณ์ก่อตัวเป็นลำดับ—ตัวเลข
“นับถอยหลัง” ผมตระหนัก เสียงของผมตึงเครียด
ธนาชะโงกดูข้าง ๆ ขนมในมือถูกลืมไปแล้ว “นับถอยหลังสู่… อะไร?”
“การเปิดประตูมิติถาวรสู่ ‘ความสงบชั่วนิรันดร์’” ผมพูดขณะหัวใจเต้นรัว
“แล้ว… ‘ความสงบชั่วนิรันดร์’ นี่มันแย่เหรอ?”
“คิดซะว่ามันตรงข้ามกับคำว่าสงบ” ผมตอบ พลางหยิบสายสิญจน์ออกมา “ถ้าฉันหยุดมันไม่ได้ เราอาจจะมีแขกที่ไม่พึงประสงค์มาเยือนมากมาย”
Sponsored Ads
———————
ห้วงลึกโต้กลับ
เสียงหึ่งของโปรเจ็กเตอร์ดังขึ้นเรื่อย ๆ สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งห้อง ในขณะที่ดวงดาวหมุนวนเร็วขึ้น เงาร่างในความเวิ้งว้างกดเข้ามาใกล้ เคลื่อนไหวอย่างจงใจ ราวกับกำลังทดสอบเส้นแบ่งระหว่างโลกของมันกับโลกของเรา
ผมพันสายสิญจน์รอบโปรเจ็กเตอร์ พร้อมกับท่องบทสวดที่ย่าน้อยย้ำให้ผมจำขึ้นใจ สายสิญจน์เรืองแสงจาง ๆ ส่งพลังงานซึมเข้าสู่ตัวเครื่อง
ความเวิ้งว้างเหมือนจะกระเพื่อมตอบสนอง เงาร่างเหล่านั้นถอยห่างออกไปเล็กน้อย แต่แล้ว หนึ่งในนั้นยื่นมือออกมา นิ้วมือแตะขอบของการฉายภาพ
อากาศเย็นลง และไฟในร้านกระพริบติด ๆ ดับ ๆ
“นาวิน! ซ่อมมัน! ซ่อมมันตอนนี้เลย!” ธนาร้องลั่น ก่อนจะกระโจนหลบไปหลังโซฟา
“ฉันกำลังทำอยู่!” ผมตวาดกลับ พร้อมกับคว้ามีดหมอออกมา
สัญลักษณ์บนโปรเจ็กเตอร์สว่างวาบขึ้น เมื่อผมแกะสลักอักขระขัดขวางลงไปบนตัวเครื่อง เสียงหึ่ง ๆ ขาดหาย ดวงดาวเริ่มกระพริบ แต่ตัวเลขนับถอยหลังบน ใบลาน ยังคงเดินต่อไป ตัวเลขเรืองแสงอย่างน่ากลัว
Sponsored Ads
———————
การนับถอยหลัง
“ธนาหยิบน้ำมนต์บนชั้นมา!” ผมตะโกน มือยังทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อรักษาอักขระ
ธนาชะโงกหน้าออกมาจากหลังโซฟา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวปนขุ่นเคือง “ทำไมต้องฉันด้วย?”
“เพราะฉันกำลังช่วยโลก! เร็วเข้า!”
ธนาบ่นพึมพำ พลางวิ่งไปที่ชั้น เขาหยิบขวดขึ้นมาสะเปะสะปะ “นายควรติดฉลากนะ นี่มันน้ำมนต์หรือซีอิ๊ว?”
“เอามาเลย!”
ธนาขว้างขวดมาให้ ผมเทมันลงบนสายสิญจน์ เสียงฟู่ดังขึ้นในขณะที่เส้นด้ายเรืองแสงแรงขึ้น เสียงหึ่งของโปรเจ็กเตอร์แผ่วเบาลง
ตัวเลขบนสมุดใบลานเดินมาถึงวินาทีสุดท้าย
00:00:03… 00:00:02… 00:00:01…
ด้วยการสะบัดมีดหมอครั้งสุดท้าย ผมตัดการเชื่อมต่อออก
โปรเจ็กเตอร์กระตุก เสียงดาวพังทลายเข้าด้านใน ความเวิ้งว้างหายไป แสงไฟในร้านกลับมาติดอีกครั้ง และเสียงหึ่ง ๆ เงียบลงทันที เหลือเพียงความเงียบงันที่ก้องกังวาน
Sponsored Ads
———————
น่าตื่นเต้น
ธนาทิ้งตัวลงบนโซฟา มือกุมหน้าอก “พอแล้ว ฉันจบแล้ว ไม่เอาดาว ไม่เอาเทคโนโลยีหลอน ๆ อีก ฉันจะซื้อแค่เทียนก็พอ”
ผมไม่สนใจเขา สายตาจับจ้องไปที่สมุดใบลาน ข้อความบนมันเปลี่ยนไปอีกครั้ง เผยให้เห็นประโยคใหม่ว่า
[ดวงดาวเป็นเพียงจุดเริ่มต้น]
ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วตัวผม ขณะที่ผมหันไปมองโปรเจ็กเตอร์ที่ตอนนี้ดูเงียบสงบ สัญลักษณ์จาง ๆ บนตัวมันเลือนหายไป แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ได้ไร้พิษสงอย่างที่เห็น
ไม่ว่าเครื่องมือนี้จะถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไร เราเพิ่งจะขูดแค่ผิวหน้า
และที่ไหนสักแห่งในจักรวาลนี้ มีบางสิ่งที่ได้ยินเสียงเรียกของมันแล้ว