ร้านคราฟต์เบียร์ดูต่างไปจากเดิม—มืดลง เงียบลง และมีบรรยากาศของบางสิ่งที่มองไม่เห็นจ้องมองมาจากทุกมุมห้อง เมื่อผมก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกับธนาที่เดินตามหลัง สัญลักษณ์ที่ผมเคยเห็นฉายอยู่บนผนังร้านซ่อมของผมตอนนี้ส่องแสงจาง ๆ บนเพดานร้านราวกับมันทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้
Sponsored Ads
“ร้านของนายมีบรรยากาศจริง ๆ” ธนากล่าว พลางมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางประหม่า “แต่ไม่ใช่แบบ ‘มานั่งดื่มเย็น ๆ กับเพื่อน’ นะ ออกจะเป็นแบบ ‘พิธีสังเวยในลัทธิแปลก ๆ’ มากกว่า”
เกียรติยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ บิดมือไปมาด้วยความกังวล “คุณกลับมา ขอบคุณจริง ๆ ผม—ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“ผมจะทำเป็นลืมว่าคุณรอจนกระทั่งมันเกือบจะเรียกบางอย่างที่น่ากลัวออกมา ถึงค่อยโทรหาผมนะ” ผมตอบ ขณะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะใกล้ ๆ ผมหยิบสายสิญจน์ออกมา เส้นด้ายสีขาวเรืองแสงจาง ๆ ใต้แสงไฟสลัว
“เอาเส้นนั้นมาทำอะไร?” เกียรติถาม ขณะมองสายสิญจน์ด้วยความประหม่า
“เพื่อกันไม่ให้สิ่งที่พยายามข้ามมาที่นี่เปลี่ยนบาร์ของคุณเป็นเกสต์เฮ้าส์ผีสิง” ผมตอบ “มันจะสร้างเขตป้องกัน—ถ้าเราโชคดี”
“ถ้าโชคไม่ดีล่ะ?” ธนาถามแทรก
“งั้นคุณก็โฆษณาว่าเป็น ‘ซากบาร์ผีสิง’ ได้เลย”
เกียรติไม่หัวเราะ
ผมพันสายสิญจน์รอบโปรเจ็กเตอร์ พลางท่องบทสวดที่ย่าน้อยย้ำให้ผมจำ สายสิญจน์เรืองแสงสว่างขึ้น พลังงานของมันแผ่กระจายไปทั่วอุปกรณ์เหมือนเส้นเลือดที่เรืองแสง เมื่อผมเสร็จสิ้น โปรเจ็กเตอร์ก็เริ่มทำงาน เสียงหึ่งดังขึ้น และสัญลักษณ์บนผนังก็สว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง
อากาศเริ่มหนาแน่น อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว และเสียงกระซิบลี้ลับก็ดังขึ้นในห้อง
Sponsored Ads
———————
ไขความจริง
“โอเค เกียรติ” ผมพูดขณะที่เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้น “ถึงเวลาสารภาพแล้ว คุณไปได้ไอ้เครื่องนี้มาจากไหน?”
“ผม—เอ่อ—ได้มันจากร้านขายของในตลาดนัดกลางคืน” เขาตะกุกตะกัก “คนขายบอกว่ามันเป็นงานศิลปะ ‘ศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อคนช่างฝัน’”
ผมจ้องเขา “คนช่างฝัน?”
“ใช่ ฟังดูเท่ดีใช่ไหมล่ะ!” เกียรติยกมือขึ้นเหมือนพยายามอธิบาย “เขาพูดว่าเครื่องนี้สามารถทำให้จินตนาการของคุณมีชีวิตขึ้นมาได้ ผมไม่รู้ว่ามัน… มีผี”
ธนาหัวเราะหึๆ พลางพิงเคาน์เตอร์ “งั้นนายกำลังบอกว่ามันมีผีก่อนที่จะเป็นของเท่ ๆ สินะ? ผีแนวฮิปสเตอร์เลย”
เกียรติจ้องเขม็งไปที่ธนา
ผมหันกลับไปที่โปรเจ็กเตอร์ ขณะที่สัญลักษณ์เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง เส้นสายดูคมชัดและจงใจมากขึ้น มันไม่ใช่แค่ลวดลายสุ่ม ๆ อีกต่อไป—มันเป็นเหมือนช่องทาง ที่เพิ่มพลังงานอารมณ์ในห้องให้มากขึ้น
“นี่มันไม่ใช่แค่สัญญาณ” ผมพูดออกมาอย่างเข้าใจทันที “แต่มันคือแม่เหล็ก มันดึงดูดวิญญาณ ใช้พลังจากอารมณ์ของเราเพื่อเสริมพลังตัวเอง และทำให้การเชื่อมต่อกับสิ่งที่อยู่อีกฝั่งแข็งแกร่งขึ้น”
“แล้วตอนนี้มันพร้อมแล้วหรือยัง?” ธนาถาม
“แย่กว่านั้น” ผมชี้ไปที่เพดาน ที่ซึ่งสัญลักษณ์ขนาดใหญ่กำลังก่อตัวขึ้น ขอบของมันเรืองแสงด้วยแสงที่ไม่เป็นธรรมชาติและสั่นไหว “มันเปิดไปครึ่งทางแล้ว”
Sponsored Ads
———————
ประตูมิติเปิด
เสียงหึ่งของโปรเจ็กเตอร์ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีชีวิต ขณะที่สัญลักษณ์บนเพดานขยายใหญ่ขึ้น เสียงกระซิบในห้องกลายเป็นเสียงประสานจากหลายเสียง ทับซ้อนกันในภาษาที่ผมไม่เข้าใจ แต่กลับรู้สึกได้ในสัญชาตญาณ
“ต้องสร้างเขตป้องกัน” ผมพึมพำ พลางคลี่สายสิญจน์ออกและเริ่มขึงมันรอบ ๆ ห้อง มือของผมเคลื่อนไหวรวดเร็ว ทุกปมที่ผูกช่วยผนึกส่วนหนึ่งของเขตป้องกัน
ในขณะที่ผมทำงาน ห้องเริ่มมืดลง แสงจากโปรเจ็กเตอร์กลืนกินบาร์ให้กลายเป็นทะเลแห่งดวงดาวที่เคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน ความว่างเปล่าเริ่มปรากฏขึ้น วังวนที่ดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ร่างเงาสลัวกดดันขอบของสัญลักษณ์ทีละตัว รูปร่างไม่ชัดเจนของพวกมันสั่นไหวราวกับภาพสัญญาณขาด ๆ หาย ๆ บนโทรทัศน์
ธนาถอยไปจนติดมุมห้อง ยกเก้าอี้บาร์ขึ้นมาถือเหมือนมันเป็นเครื่องราง “ผมบอกเลยนะ ถ้าพวกนั้นแตะตัวผม ผมจะไปหางานอดิเรกที่ปลอดภัยกว่านี้ เช่น ถักไหมพรม”
“ไหมพรมก็อันตราย” ผมสวนกลับ ขณะที่กำลังพันด้ายรอบขาโต๊ะ “เข็มมันแหลม”
สัญลักษณ์สั่นไหวเรืองแสงขึ้นอย่างรุนแรง หนึ่งในร่างเงากดเข้ามาใกล้จนเกือบทะลุขอบเขตได้
“เกียรติ!” ผมตะโกน “ผมต้องการไฟทุกดวงในที่นี่ เปิดให้หมด เดี๋ยวนี้!”
เขารีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์หลังบาร์ สับสวิตช์เปิดไฟทั้งหมด ไฟนีออนและไฟเพดานสว่างจ้า แสงไฟเจิดจ้าตัดผ่านภาพที่ฉายอยู่บนผนัง ร่างเงาถอยห่างออกไปเล็กน้อย ขอบรูปร่างเริ่มเบลอ
“โอเค” ผมพึมพำ “อย่างน้อยก็ซื้อเวลาให้เราอีกสองสามวินาที”
Sponsored Ads
———————
พลิกสถานการณ์
สมุดใบลานถูกวางเปิดอยู่บนบาร์ หมึกบนหน้ากระดาษเรืองแสงเล็กน้อยภายใต้แสงโปรเจ็กเตอร์ สัญลักษณ์ใหม่ปรากฏขึ้นมาบนผิวกระดาษเก่าแก่ ชัดเจนและคมกริบเหมือนเพิ่งถูกเขียนด้วยมือที่มองไม่เห็น คำพูดนั้นเฉียบขาดและทรงพลัง
[ตัดขาดช่องทาง]
ผมหยิบมีดหมอจากกระเป๋าและปีนขึ้นไปบนโต๊ะ อากาศรอบตัวหนาแน่นด้วยพลังงานไฟฟ้า ราวกับความว่างเปล่ากำลังจับจ้อง รอคอย
ด้วยการฟันที่ตั้งใจ ผมแกะสลักยันต์เพื่อรบกวน ลงบนฐานของโปรเจ็กเตอร์ แต่ละเส้นลากผ่านพื้นผิวโลหะเหมือนกระดูกที่ครูดหิน
เครื่องเริ่มสะดุด เสียงหึ่งลดลง แต่สัญลักษณ์บนเพดานกลับเรืองแสงแรงขึ้น มันเต้นเป็นจังหวะเหมือนหัวใจดวงที่สองซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้ มันดูดพลังงานจากห้อง—จากพวกเรา—ดื่มด่ำความกลัวและความตึงเครียดในอากาศ
“มันยังไม่พอ” ผมพึมพำ เหงื่อเย็นไหลลงสันหลังเหมือนลมหายใจจากความว่างเปล่า
“อะไรนะ หมายความว่ายังไม่พอ?” เสียงธนาสั่นเล็กน้อยขณะที่เขาชี้ไปที่วังวนที่หมุนวน “คุณมีมีดวิเศษ มีสายสิญจน์ แล้วจะต้องใช้อะไรอีก? ปาฏิหาริย์เหรอ?”
“ไม่ใช่” ผมตอบพลางหันไปหาเกียรติ ใบหน้าซีดขาวของเขาสะท้อนแสงแปลกประหลาดในห้อง “ผมต้องการคุณ”
“ผม?” ดวงตาเขาเบิกกว้าง เสียงของเขาสั่นจนแทบไม่ได้ยิน ร่างกายของเขาดูเหมือนจะสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“คุณเป็นคนเอาของชิ้นนี้มาที่นี่” ผมพูด ขยับเข้าไปใกล้ เสียงของผมพยายามเฉือนผ่านความตื่นตระหนกของเขา “มันกำลังดูดพลังจากคุณมากพอ ๆ กับพวกเรา ถ้าคุณปฏิเสธมัน ถ้าคุณผลักมันกลับ เราอาจจะปิดมันได้”
Sponsored Ads
เกียรติส่ายหัว ร่างกายของเขาเกร็งแน่นด้วยความกลัวที่สัมผัสได้
“เกียรติ!” ผมตะโกน “คุณอยากช่วยบาร์ของคุณหรือปล่อยให้มันกลายเป็นประตูไปเมืองผี?”
ห้วงลึกตอบกลับด้วยเสียงครางต่ำ หนักแน่น และกังวาน เหมือนกำลังเยาะเย้ยความลังเลของเขา
นั่นทำให้เขาตัดสินใจ เกียรติยืดตัวตรง ไหล่ของเขาสั่น แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปในวงสายสิญจน์ที่ผมสร้างไว้บนพื้น
เสียงกระซิบดังขึ้นจนกลายเป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย ราวกับเล็บที่กรีดผ่านหู เกียรติยืนอยู่ตรงกลาง ลมหายใจของเขาไม่มั่นคงแต่เริ่มหนักแน่นขึ้นเมื่อเขาปักเท้าลงในวงสายสิญจน์
เงาในห้วงลึกข่วนขอบสัญลักษณ์บนเพดาน เส้นร่างกายของพวกมันชัดเจนขึ้นในทุกวินาที ความหิวโหยที่ยิ่งใหญ่และโหยหาของพวกมันทะลักเข้ามาในห้อง
ผมคว้าน้ำมนต์จากกระเป๋า แล้วเทมันลงโปรเจ็กเตอร์ น้ำมนต์ส่งเสียงซ่าเมื่อสัมผัสโลหะต้องคำสาป แสงจากมันฟันผ่านเสียงกระซิบเหมือนใบมีด
“เกียรติ ตอนนี้!” ผมตะโกนเหนือเสียงอึกทึก
เกียรติหลับตา มือกำแน่นข้างลำตัว เสียงของเขาเมื่อพูดออกมานั้นสั่นสะเทือนอากาศ “พวกนายไม่เป็นที่ต้อนรับที่นี่ นี่ไม่ใช่บ้านของพวกนาย!”
Sponsored Ads
———————
น่าตื่นเต้น
สัญลักษณ์สั่นสะเทือน แสงสว่างของมันริบหรี่ลง ขอบของมันแตกเหมือนใยแมงมุมที่โดนตัด โปรเจ็กเตอร์ส่งเสียงดังแหลมสูงกลบทุกเสียง ร่างเงาทั้งหมดกำลังหายเข้าไปในวังวนที่กำลังพังทลาย
ในชั่วพริบตา ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เสียงกระซิบถูกตัดขาดเหมือนถูกฟันด้วยใบมีดที่มองไม่เห็น ความว่างเปล่าบิดตัว พับเข้าหาตัวเอง ดึงเงากลับสู่ห้วงลึก
แต่เมื่อสัญลักษณ์พังทลายลง เสียงดังแตกดังลั่นเหมือนเสียงกรีดร้อง เพดานสว่างวาบด้วยแสงสว่างเจิดจ้า คำหนึ่งคำดังก้องในอากาศ ชัดเจนและหยาบกร้าน
[กลับมา]
แล้วทุกอย่างก็หายไป ความว่างเปล่า เงา และน้ำหนักกดดันมหาศาลของห้วงลึก—หายไปหมด ทิ้งไว้เพียงแสงเรืองรองจาง ๆ ของสายสิญจน์และเศษซากที่ไหม้เกรียมของโปรเจ็กเตอร์
ผมก้าวลงจากโต๊ะ ขาที่สั่นเทาเริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป
“โอเค” ธนาพูดขึ้นทำลายความเงียบ “นี่คงได้รีวิวแค่ดาวเดียวสำหรับบรรยากาศร้านนะ”
ผมมองเขา แต่ความตลกนั้นช่วยลดความตึงเครียดลง
ผมมองไปที่โปรเจ๊กเตอร์ พื้นผิวของมันถูกเผาจนไหม้และไร้ชีวิต ผมไม่อาจสลัดความรู้สึกออกไปได้ว่านี่คงยังไม่จบ
เพราะที่ไหนสักแห่งในจักรวาล ใครบางคน—หรืออะไรก็ตาม—ที่ส่งมันมา ยังคงรอคอยที่จะเรียกอีกครั้ง