โทรศัพท์ดังขึ้นในจังหวะที่ฉันกำลังนั่งแกะสายหูฟังซึ่งพันกันยุ่งเหยิงจนดูเหมือนกำลังพยายามวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่ก้นลิ้นชักโต๊ะ
ฉันกระพริบตาใส่หน้าจอ ชื่อที่ขึ้นคือ ดุจดาว
Sponsored Ads
ฉันกดรับ พึมพำเบา ๆ ว่า “ครับ” แบบคนไม่แน่ใจว่าการสนทนานี้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
“เพลงกำลังอยู่ในการพิจารณาของโปรดิวเซอร์กับฝ่ายกฎหมายฝั่งศักดินาฯ” เธอบอกเสียงเรียบ “ตอนนี้รอรอบประชุมของค่ายเพื่อจัดลำดับซิงเกิลที่จะปล่อยช่วงปลายปี”
น้ำเสียงของดุจดาวยังคงเหมือนเดิมเสมอ นิ่ง สงบ เย็นเสียจนใช้แช่ผลไม้ได้ เธอไม่ได้ฟังดูเป็นกังวล แต่ก็นั่นแหละ ดุจดาวไม่เคยฟังดูเป็นกังวลอยู่แล้ว ต่อให้ห้องอัดติดไฟ ฉันก็เดาว่าเธอคงพูดให้จบประโยคเสียก่อน แล้วค่อยบอกว่า “ดูเหมือนมีควันนะ”
“ถ้าอะไรคืบหน้าจะติดต่อกลับนะ”
ติ๊ด…
สายตัดไป แล้วก็แค่นั้น
ไม่มีเดดไลน์ ไม่มีเช็กลิสต์ ไม่มี “ทำอันนี้ แล้วทำอันนั้น แล้วนายจะได้เงิน” มันมีแค่เพลงเพลงหนึ่งที่กำลังลอยเคว้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในอินบ็อกซ์ของค่ายเพลง ห้องแอร์เย็นเฉียบที่ฉันไม่เคยเห็นหน้าคนอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ
ฉันยืนนิ่งกลางห้อง มือยังถือโทรศัพท์ไว้ ความเงียบที่ตามมาไม่ได้ดูดราม่า ไม่ได้หนักหน่วง
มันแค่…ไม่มีนิยาม ช่องว่างที่ไม่มีรูปทรง
ฉันค่อย ๆ นั่งลงอย่างไม่แน่ใจว่าร่างกายตัวเองจะพับลงในองศาเดิมหรือเปล่า เก้าอี้ส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ พัดลมตั้งโต๊ะติ๊กหนึ่งครั้ง ไม่แน่ใจว่าจงใจหรือแค่เบื่อจนต้องทำอะไรสักอย่าง
อีกฟากของห้อง ลาเต้ยกหัวขึ้นมามองแวบหนึ่ง สั้น ๆ เพียงแค่ให้รับรู้ว่ารับทราบการมีอยู่ของสายโทรศัพท์ ก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดก้อนขนมปังเหมือนเดิม บนกองซองจดหมายที่ฉันยังคัดแยกไม่เสร็จ
“นายเคยต้องรออนุมัติอะไรมั้ยวะ?” ฉันพึมพำเบา ๆ กับลาเต้ “ไม่สิ…นายแค่รออาหารใช่มั้ย โคตรเข้าใจง่ายเลย”
ลาเต้กระดิกหูข้างหนึ่งแบบไม่แสดงความเห็นอย่างมีเกียรติ
ฉันก้มลงมองกระดาษยับ ๆ บนโต๊ะ ร่างเพลงที่เขียนค้างไว้ ใบเสร็จที่ลืมเอาไปจ่าย และโพสต์อิตสีซีดเขียนข้อความว่า “อย่าลืมว่าต้องไม่ตื่นตระหนก”
ฉันนึกถึงห้องอัด นึกถึงเสียงของนีน่า ที่มันร้าวอยู่หนึ่งครั้งตรงบรรทัดที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บ แต่สุดท้ายก็เจ็บอยู่ดี
แล้วฉันก็นึกถึงกะคืนนี้ที่ 7-Twelve สี่ทุ่มถึงตีสี่ เหมือนเดิมทุกครั้ง ฉันท่องใบเช็คสต๊อกในความฝันได้ด้วยซ้ำ บางทีอาจจะทำไปแล้วด้วย
มันก็แปลกดีนะ ที่งานแบบนี้มันกลับให้ความสบายใจบางอย่างได้
เสียงเตือนของตู้แช่เมื่อมีคนลืมปิด ประโยค “สแกน-ตึ๊ด” ของขวดโซดาที่ผ่านแคชเชียร์ไปเรื่อย ๆ ลูกค้าขาประจำ ลุงชุดวอร์มที่มาซื้อหวย เด็กวัยรุ่นทรงกะลาคู่ที่ถามรหัส Wi-Fi ซ้ำ ๆ
ไม่มีอะไรสำคัญ แต่มันเกิดขึ้นจริง มันคือการเคลื่อนไหว มันจับต้องได้
การเขียนเพลงมันก็คือการเคลื่อนไหวเหมือนกัน
แต่ไอ้นี่ มันเหมือนพับเครื่องบินกระดาษแล้วปาลงไปในหมอกขาวขุ่น รอว่าเสียงมันจะกระทบอะไรสักอย่างหรือเปล่า
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ได้ทำอะไร แค่ถือเฉย ๆ แค่รับรู้ว่าที่ไหนสักแห่ง มีใครสักคนกำลังตัดสินใจบางอย่างที่อาจส่งผลกับชีวิตฉันไปอีกหกเดือนข้างหน้า
และฉันไม่มีอำนาจควบคุมมันเลย
ฉันไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้ ปกติฉันคุ้นเคยกับการซ่อมแซม ต่อเติม สร้างอะไรสักอย่าง ขายเพลงได้เงินหนึ่งหมื่นเบา ๆ เบิร์นแผ่น CD หรือก๊อปไฟล์ .MID ยัดใส่คอมเก่า ๆ Windows 95 ในร้านแผงที่ฝุ่นเกาะเต็มจอ
ฉันคุ้นเคยกับการทำ
แต่ตอนนี้? ตอนนี้ฉันแค่ต้องรอ ห้องยังคงเงียบอยู่แบบนั้น ลาเต้ขยับเล็กน้อย เอาขาหน้าข้างหนึ่งซ่อนไว้ใต้ตัวเหมือนที่ทับกระดาษ ทับอารมณ์ของฉันไว้ไม่ให้กระจัดกระจาย
ฉันนั่งนิ่ง โทรศัพท์ในมือ มองไปที่ความว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
บางที ฉันคิด ด้วยการยอมรับที่อึดอัดใจเหมือนเวลาไปทำฟัน หรือได้จดหมายปฏิเสธงานเขียน บางที นี่อาจจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็ได้
ความเงียบ
ราคาของความเป็นไปได้
Sponsored Ads
———————
หาง กระดาษ และอินเทอร์เน็ต
สมุดโน้ตเปิดอ้าค้างบนโต๊ะ เหมือนกำลังรอให้ตำรวจมาจับกุม
ฉันนั่งจ้องหน้ากระดาษเปล่า ไม่ใช่ด้วยท่าทางของศิลปินผู้ทุกข์ทรมาน แค่จ้องแบบคนที่กำลังหวังให้ลิสต์ซื้อของหรือเนื้อเพลงสักท่อนโผล่ขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์จากแรงหงุดหงิดล้วน ๆ ดินสอกลิ้งช้า ๆ ไปที่ขอบโต๊ะ ฉันใช้นิ้วแตะหยุดไว้ได้ทัน นั่นเป็นอย่างเดียวที่ทำสำเร็จในรอบยี่สิบนาทีที่ผ่านมา
อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ลาเต้นอนขดอยู่บนกองกระดาษที่พร้อมจะถล่มทุกเมื่อ รังที่สร้างขึ้นจากคอร์ดเพลงเก่า ๆ เนื้อเพลงที่ถูกปัดตก และใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาที่ซองหายไปอย่างลึกลับ หางของเขาสะบัดอย่างช้า ๆ แต่มีจังหวะชัดเจน
ฉันมองลาเต้ ลาเต้มองกลับมา แล้วก็ด้วยความสง่างามของแมวที่รู้ดีว่าต้องออกแรงเพียงนิดเดียวในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ เขากลิ้งตัวลงจากกองกระดาษ แล้วใช้หางฟาดสมุดโน้ตของฉันเบา ๆ ก่อนเดินจากไป สมุดโน้ตกระดกปิดไปครึ่งหนึ่งจากแรงกระแทก
ฉันกระพริบตาช้า ๆ
“ก็ได้…” ฉันถอนหายใจ “เดี๋ยวเขียนเรื่องใหม่ก็ได้…”
ลาเต้ลงไปนอนกับพื้นโดยไม่ออกความเห็นเพิ่มเติม ภารกิจเขาจบแล้ว
ฉันกดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ มันตอบกลับด้วยเสียงครางที่เหนื่อยหน่ายเสียจนฉันแทบคิดว่ามันกำลังจะแต่งกลอนเศร้า ๆ สักบทออกมาด้วยซ้ำ
โมเด็มส่งเสียงกรีดร้องเหมือนหุ่นยนต์ที่กำลังเรียนรู้การกรี๊ด ฉันเอนหลัง ไขว้แขน จ้องเพดาน ระหว่างรอไอคอนรูปตู้จดหมายกระพริบตาอย่างเชื่องช้าในดินแดนชำระบาปของอินเทอร์เน็ตรุ่นแรก แล้วในที่สุด เชื่อมต่อสำเร็จ
ฉันคลิกเข้าไปในเว็บบอร์ดบทกวีที่ไม่ได้แตะมาหลายสัปดาห์
Username: กวีในเงามืด.
อินเทอร์เฟซไม่เปลี่ยนไปเลย: พื้นหลังสีเขียวพาสเทล ปุ่มสีชมพูแสบตา และแบนเนอร์โฆษณาเทปคาสเซ็ตที่สัญญาว่าจะรักษาสิวกับชำระล้างจิตวิญญาณได้ในม้วนเดียวกัน
กระทู้ใหม่ล่าสุดก็ยังคุ้นเคยจนเจ็บปวด:
“คำอำลาที่ห้องแชท” – คร่ำครวญเจ็ดบทเกี่ยวกับการลาจากใน ICQ
“ประชาธิปไตยคือกลอนเปล่า” – กึ่งด่าทอ กึ่งอ่านไม่รู้เรื่อง
“เลิกรักเธอแล้วจริงๆ (แต่ยังคอมเมนต์ทุกโพสต์เธอ)” – จริงจังจนรู้สึกผิด
และแน่นอน มีหนึ่งคนในทุกกระทู้ที่ตะโกนว่า “การเขียนสัมผัสมันฟาสซิสต์เว้ย!”
ฉันเลื่อนเมาส์ผ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มองหาอะไรเป็นพิเศษ แค่ปล่อยให้โทนของที่นี่ซึมเข้าไป ครึ่งจริงจัง ครึ่งละคร เต็มไปด้วยความเจ็บปวดระดับพิกเซล และที่ไหนสักแห่งระหว่างโพสต์กับป็อปอัปโฆษณา มีบางอย่างค่อย ๆ เคลื่อนที่อยู่ข้างใน
ฉันนึกถึงเสียงของนีน่า ไม่ใช่เสียงร้องเพลง แต่เสียงจริงของเธอ เสียงที่แผ่วและเปราะบาง เสียงที่เธอพูดขึ้นมาในคาเฟ่คืนนั้นอย่างเงียบ ๆ ว่า
“ฉันอยากออกจากตรงนั้น.”
ไม่ใช่การร้องขอ แค่… ยอมรับมันออกมาตรง ๆ และทันใดนั้น ขอบของบทกวีบทหนึ่งก็เริ่มปรากฏขึ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเธอ ไม่เชิงแบบนั้น แต่เกี่ยวกับความต้องการนั้น อยากออกไปจากที่เดิม ไม่อยากเป็นสิ่งที่ใคร ๆ พยายามปั้นแต่งอีกแล้ว
ฉันเอนตัวไปข้างหน้า ปลายนิ้วลอยอยู่เหนือคีย์บอร์ด ยังไม่แตะลงไป ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบรรทัดที่สองคืออะไร แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ บรรทัดแรกมันเริ่มก่อตัวในอกฉันแล้ว กำลังกระพริบแสง รอคอยอยู่เงียบ ๆ
ด้านหลัง ลาเต้ขยับตัวพร้อมถอนหายใจ อาจจะหมายความว่า ได้เสียที หรือ ช้าไปแล้ว
ไม่ว่าจะหมายความว่ายังไง ฉันยิ้มออกมานิดเดียว
แล้วหลับตาลง และเริ่มเขียน
Sponsored Ads
———————
กว่าจะพ้น
เคอร์เซอร์กะพริบอยู่ตรงหัวกล่องโพสต์ว่างเปล่า ช้า ๆ เป็นจังหวะเหมือนมีเวลาทั้งโลกให้ใช้ ฉันนั่งจ้องมันนานกว่าที่ควร นิ้วลอยค้างเหนือคีย์บอร์ดโดยยังไม่ยอมแตะลงไป ครั้งนี้ไม่ได้วางโครงสร้าง ไม่ได้นับคำ ไม่ได้ตรวจสัมผัสที่ขอบกระดาษ ไม่มีท่อนฮุก ไม่มีท่อนคอรัส แค่คลื่นความรู้สึกบางอย่างที่ยังไม่ได้เอ่ยออกมา ค่อย ๆ ไหลเข้าฝั่งอย่างเงียบเชียบ
ฉันนึกถึงนีน่าอีกครั้ง ไม่ใช่เสียงจากห้องอัด แต่เป็นเสียงที่ได้ยินในคาเฟ่วันนั้น แผ่วเบาและเหมือนจะยอมรับโชคชะตา
“ฉันอยากออกจากตรงนั้น.”
ไม่ใช่การหลบหนี ไม่ใช่โกรธแค้น แค่ขีดเส้นลงไปบนผืนทรายเบา ๆ
แล้วฉันก็เริ่มพิมพ์ ไม่ใช่เพราะมีคำอยู่ในหัว แต่เพราะมันรออยู่ตรงนั้นมาตลอดแล้ว
ครั้งนี้ฉันไม่ได้เขียนในฐานะกรณ์ แต่ล็อกอินในชื่อ กวีในเงามืด ชื่อที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหยิบเสื้อโค้ตของใครสักคนมาใส่ แล้วพบว่ามันยังคงพอดีตัวอย่างประหลาด
แล้วฉันก็เริ่มพิมพ์ลงไป “กว่าจะพ้น”
📖 “ยามยังโฉดเขลาเยาว์วัย
ฉันใคร่เป็นกวีมีชื่อเสียง
เฝ้าฝันปั้นถ้อยร้อยเรียง
เพื่อเพียงไพเราะเสนาะใจ
ครารุ่นครุ่นหมองมองโลก
พบโศกเศร้าสุขสดใส
เลือดฉีดแสงสีมีไฟ
กล้าไล้ความแรงแฝงคำ
เรียกร้องก้องกู่สัจจะ
ค้นคว้าธรรมะมาพร่ำ
ปกป้องบริสุทธิ์ยุติธรรม
เกือบถลำตามเตลิดเพริดไพร
กลางกระแสขัดแย้งแห่งจิต
พิเคราะห์ครุ่นคิดถูกผิดได้
พบความเป็นจริง-จริงใจ
คือสิ่งยิ่งใหญ่ในชีวิต
ใจจึงซึ้งโลกมุมกว้าง
ทางรอบทางลึกผนึกจิต
มองซึ้งถึงไกลในทุกทิศ
แยกมิตร-ศัตรู รู้คน
ไม่ง่ายนักหรอกนะมิตรรัก
ที่จักถูกไปในทุกหน
หากสั่งสมประสบการณ์นานทน
จึ่งจักพ้นมืดมิด อวิชชา”
ฉันอ่านข้อความที่เขียนลงไปอีกครั้ง ไม่แก้แม้แต่คำเดียว ไม่มีการแก้ไข ไม่มีการเหลียวมองกลับหลัง ไม่มีการแสดงออกใด ๆ แค่ปล่อยมันไป เหมือนถอนหายใจปล่อยน้ำหนักความลับของคนอื่นที่แบกไว้แทนโลกมานาน
ฉันคลิก “โพสต์” หน้าเว็บบอร์ดรีเฟรชขึ้นมา กระทู้ปรากฏขึ้น “1 วิว ไม่มีคอมเมนต์”
ฉันไม่ได้รอคำตอบ ไม่จำเป็นต้องรอ ฉันปิดหน้าต่างลง ปล่อยให้โมเด็มตัดการเชื่อมต่อด้วยเสียงคลิกแผ่ว ๆ ที่คุ้นเคย แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้
อากาศในห้องไม่ได้เปลี่ยนไป แต่บางอย่างในอกเหมือนคลายตัวออก เหมือนปมเชือกเก่าแก่ที่ค่อย ๆ คลายปมออกจากกัน ที่ข้างหลัง ลาเต้บิดตัวและหาวกว้าง ราวกับกลอนบทนี้เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าจะจบแบบไหน
ฉันไม่ได้ยิ้ม แต่ฉันหายใจออกช้า ๆ และครั้งนี้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
Sponsored Ads
———————
ยังไม่ถูกเปิดอ่าน แต่เข้าใจ
ที่ศักดินาเรคคอร์ดไฟแจ้งเตือนในกล่องอีเมลสว่างขึ้น
หัวเรื่อง: “ความทรงจำสีจาง – Internal Review Summary”
“เพลงผ่านเบื้องต้นแล้ว กำลังรอการจัดประชุมระหว่างค่ายกับฝ่ายกฎหมายเพื่อปล่อย single ให้ทันธันวาคม
– โปรดเก็บไฟล์ต้นฉบับและเวอร์ชั่นเสียงไว้ใน server C ตามปกติ
– ประสานคิวโปรโมทเบื้องต้นใน Q4 ถ้าผ่านรอบถัดไป”
มีคนเปิดอ่านแบบผ่าน ๆ แล้วกดติดธง จากนั้นก็เลื่อนผ่านไป ไม่มีใคร CC หาไอ้คนที่เขียนเพลงนี้ตอนใส่ชุดนอน มีหูฟังทำงานอยู่ข้างเดียว กับไมค์เทปเก่ากว่าลิฟต์ตึกที่เขาอยู่เสียอีก
ในห้องเช่าริม ๆ ย่านอ่อนนุช ฉันกำลังก้มติดกระดุมเสื้อพนักงาน 7-Twelve ตัวที่มีคราบฟอกขาวตรงชายเสื้อจางจนแทบมองไม่เห็น ป้ายชื่อบิ่นตรงมุมทั้งสองข้าง กลิ่นมันคุ้นเคย ผงซักฟอกจาง ๆ พลาสติกเก่า และอะไรทอด ๆ บางอย่างที่จำไม่ได้ว่าเคยกิน
ลาเต้กระโดดขึ้นขอบหน้าต่างโดยไม่ส่งเสียง ข้างนอก ท้องฟ้าเป็นสีม่วงหม่นแบบที่มีแค่กรุงเทพฯ ตอนกำลังจะเลิกแกล้งทำเป็นไม่ฝนตกเท่านั้นถึงจะมี
ฉันไม่ได้เช็กโทรศัพท์ ไม่ได้รีเฟรชกล่องจดหมาย แค่ขยับตัวช้า ๆ เหมือนอากาศเริ่มข้นด้วยบางอย่าง ไม่ใช่ความแน่นอน แต่เป็น…บางอย่าง
ฉันหยุดยืนข้างหน้าต่าง ลาเต้จ้องออกไปข้างนอก เหมือนกำลังอ่านอากาศเพื่อถอดรหัสบางอย่าง ฉันมองตาม ถนนด้านล่างเงียบสงบ ป้ายไฟนีออนเริ่มติดทีละดวง ร้านอาหารตามสั่ง, ซ่อมมือถือ, รับทำกุญแจ ฟอนต์คุ้นตา แสงคุ้นตา
แต่คืนนี้แสงมันดู…ต่างออกไป ไม่ได้สว่างกว่า แค่ชัดขึ้น
ฉันไม่ได้คิดถึงกลอนที่เพิ่งโพสต์ ไม่ได้สงสัยว่ามีใครอ่านหรือเปล่า ไม่ได้คิดถึงนีน่า ไฟล์เดโม หรือใครบางคนในออฟฟิศกระจกที่อาจพยักหน้าหรือขมวดคิ้ว หรือกดฟอร์เวิร์ดพร้อมคำว่า “ความคิด?”
แค่รู้สึกมัน ตรงซี่โครงนี่แหละ เหมือนอะไรบางอย่างเปลี่ยนจังหวะ เหมือนเพลงกำลังสูดหายใจก่อนเข้าท่อนฮุก
ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ ไม่ได้พูดกับใครเป็นพิเศษ “เหมือนจะมีฝน…”
ลาเต้ไม่ตอบสนอง แค่กระพริบตาช้า ๆ เหมือนวรรคจบในบทกลอน
ฉันมองลงไปที่สมุดโน้ตเล่มเดิม ที่ใช้จดค่าเช่า เนื้อเพลง และความฝันที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นความฝัน ฉันไม่ได้เขียนอะไรเพิ่ม แค่ปิดมันลง ไม่ต้องมีลีลา แค่นั้นก็พอแล้ว คว้ากระเป๋าสตางค์ หยิบกุญแจ หยิบป้ายพนักงาน สะพายกระเป๋า ใส่รองเท้าข้างเดียวแบบไม่ได้ผูกเชือก หันไปมองลาเต้อีกที
“อย่าเปิดคอมเล่นนะ” ฉันพูดเสียงนิ่ง
ลาเต้ตามเคย ไม่เคยให้สัญญาอะไร
ฉันก้าวออกจากห้อง พัดลมยังฮัมอยู่ข้างหลัง ลาเต้ขดตัวกลับเป็นก้อนขนอีกครั้งบนพรมเก่า และในระยะไกล เสียงฟ้าร้องครางเบา ๆ ยังไม่มีฟ้าแลบ
แต่บางที แค่บางที ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยน และบางอย่างกำลังจะเริ่มต้นใหม่
กว่าจะพ้น (2530)
ประยอม ซองทอง