045- เมื่อหมึกแห้ง เพลงก็เริ่มต้น

ฉันกำลังโน้มน้าวตัวเองว่า มาม่าถือเป็นซุปชนิดหนึ่ง ซุปจริง ๆ ได้ครึ่งทางแล้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ไม้กวาดหยุดค้างกลางจังหวะปัด อพาร์ตเมนต์เงียบงัน มีเพียงเสียงจราจรเบา ๆ จากถนนด้านนอก กับเสียงหางของลาเต้ที่กระดิกชนขาโต๊ะอย่างไม่สม่ำเสมอ เขาจ้องฉันจากยอดสมุดโน้ตเล่มนั้น เล่มที่ฉันยังไม่กล้ากลับไปเปิดอีกครั้ง

Sponsored Ads

หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อ

ดุจดาว

ฉันรับสาย “ครับ?”

เสียงของเธอเบากว่าปกติ

“ว่างไหม?”

“ตอนนี้ว่างครับ แต่ถ้าเป็นคำถามเชิงปรัชญา อาจต้องให้เวลาคิดก่อนนิดนึง”

ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ฟังเหมือนลมหายใจมากกว่าคำตอบ

“ทางค่ายตอบมาแล้วนะ ศักดินาฯ จะปล่อยเพลง โดยไม่แตะลิขสิทธิ์หรือ master เลย”

มือฉันกำด้ามไม้กวาดแน่นขึ้น

“นีน่าเก็บ master ไว้เอง ชื่อเธอก็จะอยู่ในเครดิตตรง ๆ ไม่มี ghost ไม่มี rewrite ไม่มีค่ายมาแตะสักคำเดียว”

ความเงียบแทรกตรงช่องที่ควรจะเป็นคำพูด

แต่สมองฉันมัวแต่คำนวณว่า ในประเทศนี้มีกี่สัญญาที่ลงเอยแบบนั้นจริง ๆ

“เรื่องนี้จะไม่เป็นแบบนี้ถ้านีน่าไม่ยืนกราน…” เธอเว้นวรรค จากนั้นพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่คมราวกับคมมีดที่เก็บไว้อย่างประณีต “…หรือถ้าฉันไม่โวยตอนประชุมใหญ่”

แน่นอน

ฉันนึกภาพเธอในห้องประชุมเต็มไปด้วยคนสูท เธอนิ่งสนิท ดวงตาเป็นประกายเหมือนเพชร ส่วนนีน่าก็นั่งเงียบแต่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร

เสียงของฉันตอนตอบออกไปเบาเหลือเกิน “ขอบคุณครับ”

“ไม่ใช่โชคดีหรอก” เธอว่า “แค่นาน ๆ ที ความพยายามมันไม่สูญเปล่าเท่านั้นเอง”

แล้วสายก็ถูกตัดไป ไม่มีคำลา มีแค่เสียงจาง ๆ ด้านหลัง ที่ฟังเหมือนคนที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่สนามต่อไป

ฉันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปลายไม้กวาดพิงพื้น เหมือนบทสนทนาหนึ่งที่ยังไม่รู้จะปิดอย่างไรดี ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ จากบัลลังก์กระดาษของเขา แล้วก็บิดขี้เกียจออกมาเหยียดยาวปิดสมุดโน้ตทั้งเล่ม ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ อย่างกับว่า เขารู้อยู่แล้วว่าบทนี้จะจบแบบไหน และกำลังรอให้คนอื่นตามทัน

ฉันวางไม้กวาดไว้ที่มุมผนัง เดินกลับไปที่โต๊ะ

มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ข้างนอกเหมือนรอยเปื้อนสีทองบนผืนซีเมนต์—ซีดเซียว แต่ยังคงรูปอยู่ และในอกฉัน บางอย่างก็คลายออกในที่สุด ไม่ใช่ชัยชนะ ไม่ใช่ความดีใจ  แค่เป็นความจริง ที่เงียบ และอยู่ตรงหน้า

“งั้นก็…” ฉันพูดขึ้นเบา ๆ กับลาเต้เป็นหลัก “…ของจริงแล้วสินะ”

เขาไม่ได้ตอบ แต่เขาก็ไม่ขยับไปไหน และนั่นก็เป็นคำตอบที่มากพอแล้ว

Sponsored Ads

———————

แล้วอยากให้ฉันเขียนแบบไหนล่ะ?

บางทีมันอาจเป็นเพราะอากาศก็ได้

ความร้อนแปลก ๆ แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่เลื้อยผ่านผนังเข้ามา เหมือนมันเองก็ลืมไปว่าฤดูไหนควรจะเป็นแบบไหน หรือไม่ก็เพราะฉันเพิ่งผ่านสายโทรศัพท์ที่วงการเพลงไม่ได้พยายามปล้นฉันเหมือนทุกที อาจจะเป็นอะไรแบบนั้น ที่ทำให้สัญชาตญาณระวังภัยมันเพี้ยนไป

เพราะไม่รู้เพราะอะไร ฉันก็เลยทำสิ่งที่ฉันเลี่ยงมาตลอด

ฉันโทรหาพี่ต้น เขารับสายตั้งแต่ยังไม่จบเสียงเรียกแรก

“ถ้ามึงโทรมาขอยืมเงิน กูจะโยนมือถือใส่หมาเลยนะ”

“ใจเย็น” ฉันพูด พยายามไม่ให้เสียงฟังดูเหมือนคนที่กำลังเดินวนอยู่ในห้องทั้งที่นั่งอยู่ “ไม่ได้โทรมาเรื่องเงิน”

“โอเค งั้นถ้ามึงโทรมาขอแต่งเพลงเศร้าอีกเพลง กูจะร้องหมอลำตอบเลยนะ”

ฉันหัวเราะออกมา “เปล่า… จริงจังนะรอบนี้ ผมแค่อยากถาม”

มีความเงียบเล็กน้อย—แบบหายาก แบบที่พี่ต้นรู้ว่าฉันกำลังจะพูดอะไรจริงจัง แล้วต้อง ใช้เวลาหนึ่งวินาทีเพื่อเตรียมตัวทางจิตใจ

“เออ ว่ามา”

ฉันลังเลนิดหน่อย แล้วก็พูดออกไปตรง ๆ

“อยากให้ผมเขียนเพลงแบบไหน?”

เขาไม่ตอบทันที อาจเพราะตกใจที่ฉันถาม หรืออาจเพราะเขากำลังดื่มอะไรบางอย่าง แล้วเกือบสำลัก

“มึงเพิ่งถามกูว่าอยากได้เพลงแบบไหน?”

“ใช่”

“โอ้โห ใครเอาครึ่งสมองของมึงกลับคืนมาเนี่ย!”

ฉันถอนหายใจ “ตอบได้แล้วมั้ย”

อีกความเงียบหนึ่ง แล้วเสียงตอบกลับมานุ่มลง หนักแน่นขึ้น

“เพลงที่ฟังแล้วเหมือนชีวิตจะไม่แย่เท่าไหร่ก็ได้”

ฉันไม่พูดอะไร ปล่อยให้ประโยคนั้นลอยอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบ แต่มันจริง แล้วก็มีความเฉียบแบบที่เจ้าตัวคงไม่มีวันยอมรับเอง

“โอเค” ฉันพูดเบา ๆ

เราวางสายไม่นานหลังจากนั้น ไม่มีพิธี ไม่มีจังหวะปิดจบ มีแค่เสียงคลิกเบา ๆ กับเศษอะไรบางอย่างที่น่าจะมีประโยชน์

ฉันนั่งลงที่โต๊ะ เปิดหน้ากระดาษใหม่ในสมุดราคาถูก แล้วเขียนลงไป:

“เพลงที่ฟังแล้วเหมือนชีวิตจะไม่แย่เท่าไหร่ก็ได้”

คำพวกนั้นฮัมอยู่ในอกฉัน เหมือนเสียงซ่า ๆ บนวิทยุก่อนที่เพลงดี ๆ จะเริ่มเล่น

ฉันหยิบกีตาร์หลังเต่าที่ผุ ๆ นั่นขึ้นมา ดีดคอร์ด A major สองสามที แล้วปล่อยเสียงพึมพำออกไปในยามบ่าย:

🎶 “ใจมันขอลุย ลุยเข้าไปเราไม่มีถอย…” 🎶

มันยังไม่เนียน ยังไม่เสร็จ แต่มันมี… เขี้ยวแล้ว อาจจะมีรอยยิ้ม อาจจะขาเป๋ อาจจะท่าทางแบบคนที่ไม่มีเศษเหรียญในกระเป๋า แต่เดินยังไงก็เหมือนเจ้าของร้าน

ฉันเขียนต่อ

🎶 “เงินไม่มีไม่สน ใจไม่จนซะอย่าง แต่จริงจัง…” 🎶

ฉันหัวเราะ ไม่ใช่เพราะภูมิใจ แต่เพราะประหลาดใจว่ามันออกมาได้ยังไง

ลาเต้เงยหน้าขึ้นมามอง กระพริบตาหนึ่งที แล้วก็กลับไปแกล้งทำเป็นไม่เห็นฉันเหมือนเดิม

“จนแต่เจ๋ง” ฉันเขียนไว้ข้างบนสุดของหน้า จนแต่เชิดหน้า

ทำนองมันติดอยู่ในหัวเลย จังหวะเดินเท้าของพวกตัวประกอบที่ใครไม่เคยมอง เสียงซินธ์ราคาถูก เสียงหอนของคาสเซ็ต ฝันบนจอคาราโอเกะ เพลงที่คนร้องได้กลางสถานีขนส่งตอนเที่ยงคืน แล้วไม่ต้องอาย

ฉันฮัมมันอีกครั้ง แล้วพึมพำกับลาเต้ว่า “มันไม่ได้รวย… แต่แม่งได้ร้อง”

เขาไม่ตอบแน่ล่ะ แต่เพลงมันเริ่มเป็นรูปร่างแล้ว

Sponsored Ads

———————

ตอบรับ (อีกครั้ง)

ห้องยังอยู่ในสภาพเดิม สภาพหลังการสร้างสรรค์ที่พังทลายอย่างมีระบบ

แก้วกาแฟล้างค้างอยู่สามใบ ถุงเท้าที่ไม่มีคู่และน่าจะหลุดมาจากอีกมิติเวลา เศษกระดาษพันกันเป็นก้อน กลอนที่ยังไม่จบ บิลค่าไฟ และสมุดโน้ตที่มุมถูกกัดแหว่งน่าสงสัย อาจเป็นฝีมือลาเต้ หรืออาจเป็นฝีมือของเวลา

พัดลมหมุนอยู่ด้านหลังอย่างมีความหวังทางกลไก เหมือนมันยังเชื่อว่าตัวเองเปลี่ยนอุณหภูมิห้องนี้ได้ ทั้งที่เป็นแค่พัดลมตัวละสี่ร้อย

ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะ ยังใส่ชุดยูนิฟอร์ม 7-Twelve กระดุมค้างบนหลุดหนึ่งเม็ด แขนเสื้อเปียกนิดหน่อยจากการถูพื้นแบบเบลอ ๆ

ฉันคลิก refresh ที่กล่องอีเมล ไม่ใช่เพราะรออะไร แค่หมดข้ออ้างที่จะไม่คลิก แล้วมันก็อยู่ตรงนั้น

หัวข้อจดหมาย:
“Accepted: ตามตาต้องใจ – วารสารมองมาประจำเดือน, ฉบับเดือนธันวาคม 2543”

ฉันจ้องมันอยู่ห้าวินาทีเต็ม ๆ แล้วจึงคลิก

“เรียน คุณตะวันหลงทาง,
เรามีความยินดีจะแจ้งให้คุณทราบว่า เรื่องสั้น ‘ตามตาต้องใจ’ ของคุณได้รับการคัดเลือกเพื่อตีพิมพ์ในวารสารมองมาประจำฉบับเดือนธันวาคม…”

“ค่าตอบแทน: 1,000 บาท จะโอนภายใน 7 วันทำการ
ขอบคุณสำหรับผลงานที่ทรงคุณค่า
– กองบรรณาธิการ วารสารมองมา”

ฉันกระพริบตา พัดลมยังฮัมอยู่เบา ๆ มีบางอย่างในอกขยับ เงียบ ๆ เหมือนผีเสื้อมือสองที่ใครลืมไว้ข้างฝา

“ลาเต้…” ฉันพูดโดยไม่หันไปมอง “…เขารับอีกเรื่องแล้วว่ะ”

บนที่ประจำข้างโต๊ะ ลาเต้ไม่มีปฏิกิริยาชัดเจน เขาหาว เหยียดยืดตัว แล้วในจังหวะที่เป๊ะเกินจะบังเอิญ เขาก็ตบคลิปหนีบกระดาษอันหนึ่งร่วงลงพื้น เหมือนมันเคยหักหลังเขาในชาติที่แล้ว

ฉันไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้ยกกำปั้นฉลอง ไม่ได้โทรหาพี่ต้น ไม่ได้เปิด Photoshop ออกแบบปกหนังสือปลอม ไม่ได้แม้แต่จะประชดตัวเองว่า “นักเขียนจริง ๆ เขาทำอะไรกันนะตอนแบบนี้”

ฉันแค่เปิดโฟลเดอร์ชื่อ “Submissions” บนเดสก์ท็อปเก่า เจอไฟล์สเปรดชีตที่เคยเริ่มไว้เมื่อสามเดือนก่อน

ชื่อเรื่อง: ตามตาต้องใจ
สถานะ: Accepted – ธันวาคม 2543
ค่าตอบแทน: ฿1,000

ฉันกด Save

อยู่ ๆ ก็นึกถึงคืนที่ฉันพิมพ์ชื่อนั้นขึ้นมาครั้งแรก — ตะวันหลงทาง ตอนนั้นฝนตก ไม่ใช่แบบโรแมนติกในหนัง แต่เป็นแบบกรุงเทพฯ — โมโห หลงเวลา และไม่ฟังใคร

ฉันกรอกฟอร์มส่งเรื่องแบบไม่มีความมั่นใจ มีแค่ความประชดตัวเองเต็มร้อย แล้วพอมาถึงช่องที่ให้ใส่นามปากกา ฉันก็แค่…พิมพ์ไป

ไม่ใช่เพราะมันเท่ แต่เพราะตอนนั้น ฉันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แสงแดดที่หลุดทาง ไม่ได้หลงทาง แค่ไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่

ฉันไม่ได้เซฟอีเมลเก็บไว้ในโฟลเดอร์พิเศษ ไม่ได้ปริ้นออกมา ไม่ได้ทำเครื่องหมาย Unread เพื่อกลับมาอ่านซ้ำตอนรู้สึกแย่

ฉันปล่อยมันไว้อย่างนั้น เหมือนแสงเทียนเล่มเล็กที่เคยไม่มีในห้องมืดนี้

แล้วฉันก็ลุกขึ้น เดินไปยังมุมครัว และปิ้งขนมปัง…ที่รู้ลึก ๆ ว่าคงไม่ได้กิน

Sponsored Ads

———————

จนแต่เจ๋ง

เวลา 18.30 น. ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฝุ่นเก่า และความทะเยอทะยาน

ที่ข้างนอก กรุงเทพฯ กำลังเลื้อยเข้าสู่เย็นย่ำของเดือนธันวา ลังเลอยู่ว่าจะเย็นลงหรือแค่เหงื่อต่ออย่างสุภาพ ส่วนข้างใน ฉันใส่ถุงเท้าอยู่ข้างเดียว อีกข้างหายไปไหนไม่รู้ คีย์บอร์ดวางอยู่บนเข่าในท่าพร้อมงับ ถ้าฉันกดคอร์ดผิดอีกครั้ง

บนโต๊ะ มีสมุดโน้ตยับยู่ยี่ ข้าง ๆ คือจับเวลาถอยหลังจาก 3 ชั่วโมง 30 นาที พอให้ฉันเขียนเพลงเสร็จก่อนต้องไปรายงานตัวที่ 7-Twelve เพื่อแกล้งสนใจเรื่องจัดชั้นวางกับกระดาษใบหวย

ลาเต้นั่งอยู่ในท่าขนมปังเต็มก้อน และทับคอร์ดชีทฉันอีกแล้ว “ขอโทษนะครับพี่แมว” ฉันพึมพำเบา ๆ ขณะยกมุมกระดาษขึ้นอย่างระวัง ไม่ให้สะเทือนขนบนพุงเขา “ขอแต่งเพลงก่อน เดี๋ยวกลับมามีทูน่าแน่ ๆ”

เขากระพริบตาช้า ๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ แต่ไม่ขยับ

เสียงของพี่ต้นยังเล่นอยู่ในหัวฉัน เหมือนเทปคาสเซ็ตที่ละลายไปครึ่งม้วน

“เพลงที่ฟังแล้วเหมือนชีวิตจะไม่แย่เท่าไหร่ก็ได้”

ตอนแรก ฉันเริ่มเขียนเพลงในคีย์ A major สว่าง เต็ม เสียงสะอาด มันมีแรงกระแทกอยู่ แต่พอร้องจริง เสียงฉันสะดุดตรงท่อนฮุกเหมือนพยายามปีนบันไดด้วยเท้าเปล่า

มันไม่ใช่สำหรับฉัน และแน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับพี่ต้น ฉันเลยหยิบคอร์ดชีทดั้งเดิมใน A major version บิลลี่ขึ้นมา แล้วถอยลงมาสองเสียงเต็ม

ตอนนี้มันอยู่ใน G major—อบอุ่นกว่า ต่ำกว่า ร้องได้เต็มเสียงมากกว่ากล้ำกลืน

| A → G | D → C | E → D | F#m → Em | Bm → Am |

และพอแค่นั้น “จนแต่เจ๋ง” ก็เริ่มหายใจได้เอง ฉันเล่นริฟฟ์ใหม่บนคีย์บอร์ด—เสียงฟังก์หน่อย มั่นใจนิด คีย์ G แบบที่ยังพอมีหวัง จังหวะมันใช่ มันกระเด้งได้ ฉันเติมเสียงตบมือเข้าไป นึกภาพพี่ต้นโยกหัวไหล่แบบที่เขาทำเวลาชอบเพลง แต่ปากไม่ยอมรับ

แล้วฉันก็ร้อง 🎶 “มีแต่หัวใจและก็ตัว เงินน่ะมีน้อย กลัวเธอจะไม่คอย หากว่าเขารวยกว่า…” 🎶

มันฟังดู… ดัง ไม่ใช่ดังแบบเสียง แต่ดังแบบได้ใจ

ฉันเขียนท่อนถัดไปเร็ว ๆ ฮัมไปด้วย

🎶 “แต่ว่าใจที่ให้เธอ มันไม่บางมีแต่อย่างหนา เอาไปเต็มอัตราหัวใจ” 🎶

ลาเต้สะบัดหางเบา ๆ เหมือนเคยได้ยินคำสารภาพรักที่ดีกว่านี้จากชามอาหารแมว

ฉันเขียนต่อ:

🎶 “ใจมันขอลุย ลุยเข้าไปเราไม่มีถอย คอยจะมัวแต่คอยคงไม่แคล้วคอยเก้อ ก็มีมือตั้งมากมาย มาตะกายเราก็กลัวเผลอ เรามันจะไม่เจอส้มหล่น” 🎶

ฉันหยุดนิดนึง แล้วพึมพำออกมา

🎶 “จนก็จนแต่เจ๋ง เป็นนักเลงหัวใจ” 🎶 “… โห ร้องแบบนี้นี่นะ”

ฉันส่ายหัว ทั้งหัวเราะ ทั้งหวั่น ๆ กับความจริงใจเกินขนาดที่หลุดออกมา

เพลงนี้มันมีรอยยิ้มในตัวมันเองอยู่แล้ว รอยยิ้มแบบคนไม่มีตังค์แต่ยังเดินแบบมีจังหวะ ฉันนึกภาพพี่ต้นร้องเพลงนี้—ไม่ใช่เสียงสะอาด ไม่ใช่เพราะ แต่เต็ม เสียงจริง มีรอยแตกขอบ ๆ แบบที่เป็นเขา

ท่อนฮุกกลับมาอีกครั้ง

🎶 “เงินไม่มีไม่สน ใจไม่จนซะอย่าง จะจริงจัง ทั้งใจให้เธอ…” 🎶

ท่อนบริดจ์วางลงง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีเพราะฉันจนมานานพอจะเดินเลี่ยงห้องที่มีหนี้ได้โดยไม่สะดุด บางทีเพราะความจนไม่จำเป็นต้องกระซิบ

ฉันจัดคำให้แน่นขึ้น ลบรอยขรุขระของสัมผัส มันยังดิบอยู่—พยางค์เยอะไปหน่อยในท่อนสอง แต่เพลงมันขยับแล้ว พอวางปากกา ฉันก็มองหน้ากระดาษ

หมึกเปื้อนจากเหงื่อที่ซึมจากฝ่ามือ มีลูกศรแก้คำ และภาพสเก็ตช์ลาเต้ในท่ากลางอุ้งเท้าชูนิ้วกลางให้อย่างไม่ใยดีอยู่มุมกระดาษ

ฉันมองนาฬิกา: เหลือ 2 ชั่วโมง 47 นาที 22 วินาที ฉันไปทัน

แต่ตอนนี้ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้พลาสติก ใช้นิ้วสองข้างแตะท่อนฮุกเบา ๆ เหมือนเคาะโชค
แล้วพึมพำว่า

“ถ้าร้องแล้วไม่ปัง ก็ขอให้โดนด่าจนจำเนื้อได้ก็พอ…”

ลาเต้จามเบา ๆ ฉันตัดสินใจว่านั่นแหละ คือคำอวยพร

จนแต่เจ๋ง
บิลลี่ โอแกน