สำนักงานลิขสิทธิ์ยังคงเหมือนเดิม พัดลมติดผนังที่ครางหงิงเหมือนถอนหายใจใส่โลกในรอบกะสุดท้าย โปสเตอร์ที่เตือนการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ซีดจนคำว่า “STOP PIRACY” กลายเป็นแค่เงาแดงจาง ๆ บนผนัง กลิ่นฝุ่น เหงื่อ และน้ำเต้าหู้ไม่อุ่นไม่เย็นของใครสักคน
Sponsored Ads
และแน่นอน—แถวเดิม
ชายวัยกลางคนอุ้มกองม้วนวีเอชเอส เด็กหญิงวัยรุ่นที่กำซองจดหมายเหมือนกลัวว่ามันจะหายตัว พระรูปหนึ่งที่ดูเหมือนถือซีดีคาราโอเกะอยู่ในมือ
ฉันยืนรออยู่ในแถว ซองเอกสารแนบแน่นกับอก ข้างในคือ CD-R ที่เขียนด้วยปากกาเมจิกสีฟ้าว่า “จนแต่เจ๋ง” แผ่นเนื้อร้องพับครึ่ง กับสเก็ตช์คอร์ดใน G major
กระดาษแอบบวมตรงมุม เพราะเมื่อคืนลาเต้ขึ้นไปนอนบนมัน ฉันไม่ได้รีดให้เรียบ รู้สึกว่ามันน่าจะพาโชค
เมื่อถึงคิวฉัน ฉันก้าวไปที่เคาน์เตอร์ และเธอก็ยังอยู่ตรงนั้น
เจ้าหน้าที่คนเดิม ผมสั้น เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นแบบไม่เล่นดีไซน์ สายตาแบบคนที่เห็นความฝันของคนกรุงเทพฯ เดินเข้ามากรอกฟอร์ม 30-2/ท. มาเป็นพัน
เธอเงยหน้าขึ้น พยักหน้าเล็กน้อย
“ชื่อเพลงเพราะดีนะคะ… ฟังแล้วเหมือนยังยิ้มได้ แม้จะเหนื่อย”
ฉันยิ้มกลับ ไม่กว้าง แค่พอประมาณ “เขียนไว้ตอนยิ้มไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ”
เธอพยักหน้าอีกรอบในโหมดราชการ แล้วเย็บซองเข้าชุดด้วยเสียง ตึ๊ก ที่ดังเกินกว่าที่ควรจะเป็นในห้องแบบนี้
“ห้าร้อยบาทค่ะ”
ฉันเลื่อนเงินสดไปให้—จำนวนเท่าเดิมกับคราวที่แล้ว ท่าทางตอนหยิบเงินก็ยังลังเลเท่าเดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม
ครั้งที่แล้ว ฉันกลัวว่าเพลงมันจะไม่มีใครแคร์ คราวนี้ ฉันก็ยังกลัวอยู่ แต่มีบางอย่างที่ต่างออกไป ไม่ใช่ความมั่นใจ—แค่น้ำหนักบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัว
ตอนเซ็นชื่อในสมุด ฉันเผลอมองไปรอบ ๆ แล้วคิดขึ้นมาเงียบ ๆ:
จะมาอีกกี่ครั้งนะ… หวังว่าจะไม่หยุดแค่สอง
—
ที่ห้องซ้อมของวงพี่ต้นยังมีกลิ่นฝุ่น สายไฟ และความฝันที่เพิ่งหัดเดิน
ฉันเคาะประตูเบา ๆ ก่อนผลักเข้าไป เขานั่งอยู่ที่มิกเซอร์ หูฟังข้างหนึ่งห้อยอยู่ ปากกาขีดอะไรบางอย่างบนกระดาษทิชชู่ ดูเหมือนลิสต์ซื้อของในรหัสลับ
ฉันชูซองขึ้น “ของใหม่ครับ”
เขาไม่พูดอะไร แค่โบกมือเรียก
ฉันยื่นซองให้—CD-R, เนื้อร้อง และคอร์ด G major พร้อมทรานสโพส “เวอร์ชันปลอดภัยสำหรับต้น”
เขาเสียบแผ่นเข้าเครื่อง หมุนปุ่มสองสามจุด แล้วกด play ห้องถูกกลืนด้วยกรูฟจังหวะดีด ๆ ที่ฉันหมกมุ่นอยู่หลายวัน เสียงปรบมือ กีตาร์โปร่งรัว ๆ กับเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ 70% และเหนื่อยหอบ 30%
พี่ต้นไม่พูด ไม่มองฉัน เขาแค่ฟัง พอถึงท่อนฮุกรอบสอง เขาฮัมตามเบา ๆ
🎶 “เงินไม่มีไม่สน ใจไม่จนซะอย่าง จะจริงจัง ทั้งใจให้เธอ…” 🎶
แล้วก็เงียบ เขาเอนหลัง เปิดลิ้นชัก หยิบปึกธนบัตรออกมานับ แล้วยื่นให้ฉัน ฿10,500
“หมื่นหนึ่งสำหรับเพลง อีกห้าร้อย—ค่ามัดจำศรัทธา”
ฉันกะพริบตา “จริงเหรอ?”
เขายักไหล่ เหมือนพูดว่าเรื่องแค่นี้เอง “ชีวิตมันสั้น จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
ประโยคนั้นชกเข้ากลางอกแรงกว่าที่ควรจะเป็น อาจเพราะมันไม่ใช่คำแนะนำ แค่สิ่งที่เขาเชื่อ ณ วันนั้น
ฉันเก็บเงินไว้ช้า ๆ ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจเขา แต่เพราะ ฿10,500 ในมือนี้ ไม่ได้แปลแค่ค่าเช่ากับมาม่า มันแปลว่า มีคนเชื่อว่าเพลงนี้ควรจะมีอยู่ และฉันก็เช่นกัน
ตอนฉันหันหลังจะกลับ พี่ต้นเริ่มฮัมเบา ๆ อีกรอบ นุ่มนวล เกือบจะเหมือนกับว่าเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำมัน
🎶 “จะไปดวงดาวที่ไกลสุดปลายฟ้า… ไปเป็นคนที่สูงจนเกินกว่าคำที่ใครเขานินทา…” 🎶
ฉันไม่ตอบอะไร ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะในเสียงฮัมนั้น ตรงระหว่างเสียงหายใจ กับเสียงเครื่องมิกซ์ ฉันได้ยินมัน
คำอวยพร
เล็ก ๆ ทื่อ ๆ และเป็นของจริง
Sponsored Ads
———————
“ประกายไฟกะดึก #1
7-Twelve ตอนกะดึกมีแสงแบบเดิมเสมอ—สว่างเกินไป เงียบเกินไป กว้างเกินจำเป็น
หลอดไฟนีออนกระพริบพอให้รู้ว่ามันอาจดับในวันหนึ่ง… แต่ไม่ใช่คืนนี้ ตู้แช่ฮัมเพลงเก่าอย่างเหน็ดเหนื่อย ข้างไมโครเวฟที่ยังมีกลิ่นพัฟแกงกะหรี่จากต้นกะอยู่จาง ๆ น่าจะของฉันเอง
ฉันยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ มือหนึ่งถือเครื่องยิงบาร์โค้ด อีกมือลากปากกาค้างไว้เหนือกระดาษ วาดเล่นระหว่างไม่มีลูกค้า กลอนที่ยังไม่เสร็จ สัมผัสที่ไม่แน่ใจ กับแมวการ์ตูนตัวหนึ่งใส่เนกไทที่ดูเหมือนลาเต้ในเวอร์ชันเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย
แล้วเธอก็เดินเข้ามา
เวลาเดิมเป๊ะ กระโปรงนักเรียนสีเขียว กระเป๋าลากเสียงครืดเหมือนกลืนหนังสือครึ่งชั้นวางไป กล่องโอวัลตินจากชั้นสองของตู้เย็น—ตำแหน่งเดิมเสมอ
ไม่มีสบตา ไม่มีบทสนทนา แค่กิจวัตร เธอวางกล่องโอวัลตินลง ฉันยิงบาร์โค้ด
ปิ๊บ
เครื่องคิดเงินแสดงราคา ฿12 ฉันพูดประโยคเดิมที่ใช้ทุกวัน
“สิบสองบาทครับ”
เธอหยิบเหรียญมาจ่าย นับทีละเหรียญ อย่างกับเหรียญแต่ละบาทผ่านการประชุมมาแล้ว ฉันทอนเหรียญไปสามบาท พร้อมใบเสร็จ
เธอไม่ได้เดินออกไปทันที สะพายกระเป๋าขึ้นใหม่ ขยับมือให้จับถนัด แล้วมองขึ้นมาที่ฉันเป็นครั้งแรกของกะนี้ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่หยาบ ไม่ล้อเล่น แค่… จริง
“พี่ดูเศร้ากว่าคนที่เคยมาทำงานอีกนะ…”
แล้วเธอก็เดินออกไป แค่นั้น ไม่มีการหยุด ไม่มีคำตาม แค่เสียงกระดิ่งประตูดังเบา ๆ แล้วโลกข้างนอกก็พับกลับเข้าที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉันไม่พูดอะไร ไม่มีอะไรจะพูดด้วยซ้ำ ฉันยิ้ม ตามสัญชาตญาณ แต่เหมือนมันหักกลางทาง เมื่อกลับมายืนหลังเคาน์เตอร์ ฉันมองหน้าจอเครื่องคิดเงินที่ยังค้างอยู่ที่ “12.00” เหมือนมันไม่ได้เพิ่งเห็นฉันโดนมัธยมปลายใส่ชุดนักเรียนปล้นความรู้สึกอยู่เมื่อกี้
ฉัน…เศร้าเหรอ?
เอาจริง ๆ ฉันหมายถึงแค่เหนื่อย อันนั้นปกติ เบื่อ? แน่นอน ถังแตก ขมขื่น หมดไฟ โดนค่าใช้จ่ายเล่นงานจนหลังโก่ง? อันนั้นใช่หมด
แต่คำว่า “เศร้า” มันฟังดูเป็นคำของคนเขียนเพลง เป็นคำของนิยาย ของคนที่มีเวลารู้สึกอะไรให้ลึกพอจะกลั่นออกมาได้
ฉันเหลือบมองกระจกนูนเหนือตู้เครื่องดื่มเย็น เงาเบลอ ๆ ของตัวเอง เสื้อซีด ตัวงอ หน้าครึ่งเดียว เหมือนบางส่วนของฉันมันกลับบ้านไปก่อนแล้ว
ฉันดูเหนื่อยขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ? นึกถึงพนักงานกะดึกคนก่อน ๆ ที่เคยสับเปลี่ยนหมุนเวียน คนหนึ่งชอบฮัมเพลงทุกเพลงที่เปิดในวิทยุ อีกคนชอบเอาพิซซ่าเหลือจากบ้านมาแจกโดยไม่ถาม
ฉันเคยคิดว่าเขาออกเพราะเงินเดือนมันน้อย แต่ตอนนี้… ฉันเริ่มสงสัยว่าเขาออกเพราะกระจก
ฉันกลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง พยายามจะเขียนต่อ ปากกาค้างกลางอากาศ คำไถลหลุดจากหน้า สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้คือเสียงของเธอวนอยู่ในหัว น้ำเสียงไม่เยาะ ไม่ล้อ
แค่…ซื่อตรง
“พี่ดูเศร้ากว่าคนที่เคยมาทำงานอีกนะ…”
บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องของฉันด้วยซ้ำ บางทีมันก็แค่ความจริงแบบที่คนยังเด็กพอจะพูดได้ ก่อนจะรู้ว่าคำพูดบางคำมันบาดลึกขนาดไหน
ฉันไม่รู้ แต่ประโยคนั้นมันไม่ไปไหนเลย เหมือนก้อนหินที่ถูกขว้างลงน้ำสงบ วงเล็ก ๆ แต่มันกระเพื่อมอยู่ตรงกลางอกฉัน
Sponsored Ads
———————
ประกายไฟกะดึก #2
เวลา 3:12 น. โลกด้านนอกประตูกระจกเงียบในแบบที่แปลก—ดึกเกินกว่ารถแท็กซี่จะผ่านมา แต่ยังเช้าเกินสำหรับพระ
ข้างในร้านเองก็เหมือนหลับอยู่ ถ้าหลอดนีออนจะมีสิทธิ์หลับได้ ตู้แช่เข้าสู่โหมดฮัมเสียงเบา ๆ แบบยอมแพ้ ชั้นวางมาม่าเหมือนยุบตัวเองลงไปทีละซอง เครื่องยิงบาร์โค้ดกระพริบช้า ๆ อย่างกับกำลังจะฝัน
แล้วเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น ลุงคาวบอยก้าวเข้ามา ตามสไตล์เดิมเป๊ะ แจ็คเก็ตยีนส์ รองเท้าบูทฝุ่นจับเต็ม เข็มขัดที่ดูเหมือนเคยอยู่มาตั้งแต่ก่อนกรุงเทพกลายเป็น “นิว” เขาพยักหน้าให้ฉันแบบที่คนมีเวลาเหลือทั้งชีวิต และไม่มีเวลาเหลือให้เสียเปล่า
แล้วเดินตรงไปที่ชั้นน้ำดื่ม หยิบน้ำขวดนึงโดยไม่ต้องมองฉลาก เสียงฝีเท้าของเขาดังแห้งบนพื้นกระเบื้อง เหมือนคำสัญญาเก่า ๆ
ฉันยิงบาร์โค้ด
“แปดบาทครับ”
เขายื่นแบงก์สิบมา ฉันทอนเหรียญกลับไปสองบาท
“หนาวนะช่วงนี้” เสียงของเขาดังพอได้ยิน เหมือนพูดกับอากาศมากกว่าฉัน
“เหมือนจะเย็น แต่ก็ยังร้อนอยู่ดี”
“อากาศงง ๆ เหมือนประเทศเลยครับ…” ฉันตอบไปก่อนสมองจะทันเบรกได้
เขายิ้มมุมปาก เก็บขวดน้ำใส่กระเป๋าแจ็คเก็ต “กระเป๋ากางเกงลุงขาดอีกแล้วนะ”
เขายื่นให้ดู เหมือนหลักฐานในคดี ซับในขาด ซิปดื้อ “อารยา ซ่อมไม่หายแล้วมั้ง”
เรายืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ไม่เชิงคุยกัน แค่แบ่งปันพื้นที่ใต้แสงไฟที่สว่างเกินไป แล้วตอนเขากำลังจะเปิดประตูออกไป เขาหยุด หันมานิดเดียว ไม่ได้มองตรงมาที่ฉัน
แล้วพูดขึ้นมา เหมือนคำพูดมันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งน้ำหนักอะไรไว้
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำนะลูก… เพราะเดี๋ยวไม่มีแรงจะทำแล้ว”
แล้วเขาก็เดินออกไป ไม่รอคำตอบ ไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือยังถือถาดใส่เหรียญเหมือนลืมไปแล้วว่ามันมีไว้ทำอะไร
ประโยคนั้นลอยอยู่ในอากาศ ติดค้างระหว่างแถวปลากระป๋องกับผงซักฟอกแพ็คโปร
ลอยอยู่ แล้วไม่ไปไหน
ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำนะลูก… เพราะเดี๋ยวไม่มีแรงจะทำแล้ว
เขาไม่ได้บอกว่าต้องทำอะไร ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยซ้ำ ลึก ๆ ข้างในฉันรู้ เราทุกคนรู้นี่ใช่ไหม สิ่งที่เราผัดไว้ สิ่งที่เราคิดว่ายังมีเวลา และความคิดที่ว่า… บางทีเราอาจไม่มี บางทีเราจะรอจนโอกาสมันเลยไป จนเครื่องยนต์ขึ้นสนิม จนหมึกในปากกาแห้ง
จนสายกีตาร์ขาด นั่นแหละ มันน่ากลัวกว่าหนี้สินที่รอฉันอยู่เสียอีก
หลังจากลุงคาวบอยออกไป ฉันไม่ได้เขียนอะไรต่อ ไม่ได้ฮัม ไม่ได้คิดถึงเนื้อเพลงใหม่ แค่เอนหลังพิงเคาน์เตอร์ มองตรงไปยังประตู สมองกลวงเหมือนถูกคลื่นวิทยุรบกวน
ป้ายไฟนีออนด้านนอกกระพริบ มีเสียงหมาเห่าจากซอยข้างหลังสองครั้ง ตู้แช่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเหมือนจะเตือนว่าอย่าซึ้งมาก
แต่โดยรวม มันเงียบ และในความเงียบนั้น มีประโยคเดียวที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว
เดี๋ยวไม่มีแรงจะทำแล้ว…
Sponsored Ads
———————
จุดเปลี่ยนภายในใจ
พัดลมเพดานเหนือหัวหมุนช้า ๆ เหมือนมันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ใบหนึ่งหมุนช้ากว่าอีกสามใบเล็กน้อย แกว่งเบา ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าควรถล่มลงมา หรือเอาตัวรอดไปให้ถึงเช้าอีกครั้งดี
ในห้องมีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปค้างคืน กลิ่นหมึกพิมพ์จาง ๆ และความทะเยอทะยานเก่าเก็บ ครึ่งแก้วชาเย็นวางอยู่ริมโต๊ะ ถุงเท้าข้างหนึ่งอยู่ใต้เก้าอี้ อีกข้างหายไป น่าจะอยู่ในแฟ้มส่วนตัวของลาเต้
เขาหลับอยู่ เหยียดตัวพาดทับซองพลาสติกใสที่เต็มไปด้วยใบเสร็จ 7-Twelve บางใบยับยู่ยี่ บางใบยังคมกริบ เหมือนภาคภูมิใจที่ได้เป็นหลักฐานว่าเวลานั้นมีอยู่จริง
เขาไม่หันมามองฉัน ไม่จำเป็นเลย เขารู้เสมอว่าเวลาความคิดแบบนี้โผล่มา มันจะไม่มาเล่น ๆ กีตาร์พิงอยู่ข้างผนัง ตั้งสายไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สายเส้นหนึ่งม้วนตัวเหมือนลืมไปแล้วว่าเสียงมีไว้เพื่ออะไร
แฟ้ม “ลาออก” วางอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้เปิดออก แต่มันดังในความเงียบ
ฉันไม่ได้เขียน ไม่ได้อ่าน แม้แต่คิดก็ไม่ชัดนัก แค่นั่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความเงียบทับซ้อนขึ้น เหมือนใบเสร็จ
ใบเสร็จใบหนึ่งติดที่ข้อศอก จากการที่ฉันเอนตัวพิงพื้นนานเกินไป ฉันลอกมันออกโดยไม่ดู ฿39.50 สำหรับแซนด์วิชชีสกับกาแฟกระป๋องของลูกค้าคนหนึ่ง ลายเซ็นฉันอยู่ข้างล่าง พร้อมเวลาประทับไว้ว่า 03:47 น.
กิจวัตรประจำวัน หลักฐานการมีอยู่ ไม่มีอะไรสูงส่ง ไม่มีอะไรแย่ แต่มันยังคงเป็นของฉัน
ฉันมองไปรอบ ๆ ห้อง พัดลมที่หมุนวน คีย์บอร์ดที่มุมปุ่มหัก กองแผ่น CD-R ที่ฉันเขียนชื่อด้วยปากกาน้ำเงิน พร้อมความหวังว่ามันจะมีความหมายสักวัน
ลาเต้ขยับตัวนิดเดียว พอให้น้ำหนักตัวเขาวางเต็ม ๆ ทับแฟ้มใบเสร็จ เหมือนประกาศกร้าวว่ามันได้ถูก “จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว”
ฉันจ้องมองแฟ้มที่เขียนว่า “ลาออก” มันไม่รู้สึกเหมือนการยอมแพ้อีกแล้ว ไม่ใช่ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะระหว่างประโยคหลุดปากของนักเรียน หรือรอยยิ้มล้า ๆ ของลุงคาวบอย ฉันก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่ยังไม่ได้วาด
ไม่ใช่เพราะฉันเกลียดที่ที่ฉันยืนอยู่ แต่เพราะฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกสร้างมาให้ยืนอยู่ตรงนี้ มีความแตกต่างระหว่าง “การหนีออกไป” กับ “การไปที่ไหนสักแห่ง”
ฉันไม่ได้หนี ยังไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ แต่เส้นทางเปิดออกแล้ว และคราวนี้มันไม่ได้สว่างเพราะความตื่นกลัว
มันคือความชัดเจน ความรู้สึกบางเบา ว่าฉันไม่ได้พยายามหลบอะไรอีกต่อไป
“ฉันไม่ได้หนีจากอะไรหรอก…แค่เพิ่งรู้ว่าฉันกำลังเดินไปหาบางอย่าง”
ฉันเปิดแฟ้ม แบบฟอร์มลาออกอยู่ข้างใน ยังว่างเปล่า ยังไม่ยับ เหมือนกำลังรอฉันอยู่
ฉันยังไม่ได้เขียนอะไรลงไป แค่ใช้นิ้วโป้งลูบขอบกระดาษเบา ๆ เหมือนค่อย ๆ ปลุกมันให้ตื่น หันไปมองลาเต้
“เดี๋ยวแกก็จะไม่มีอะไรให้นอนทับแล้วล่ะ”
เขาไม่ขยับ แต่เขารับรู้การเปลี่ยนแปลงนั้น เลื่อนตัวลงจากกองใบเสร็จด้วยท่วงท่าที่สง่างามแบบเทพเจ้าเจ้าอารมณ์ แล้วไปล้มทับซองเงินเดือนที่ปิดผนึกของฉันแทน แน่นอนว่าเขาทำ
พัดลมยังคงหมุน ห้องยังคงเงียบ และบางอย่างในตัวฉัน… เลิกลังเล
ไม่ใช่การตัดสินใจ
แค่ รูปร่างของมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
———————
ตัดสินใจ
ซองเงินเดือนในมือฉันยับนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเผลอบีบแรงเกินไป แต่เพราะมันถูกถือไว้นานเกินไป โดยไม่มีจุดหมาย
฿14,400 แปดสิบชั่วโมง หนึ่งใบจ่ายเงิน มันไม่ได้รู้สึกเหมือนรางวัล แค่ตัวเลขที่ยืนยันว่า ฉันยังคง “ไปทำงานอยู่”
ฉันยืนอยู่หน้าประตูเลื่อนของ 7-Twelve ใต้ไฟหลอดเดียวที่กระพริบมาสามเดือนเต็มโดยไม่เคยตัดสินใจจะดับจริง ๆ มันส่งเสียงหึ่งเบา ๆ เหนือหัว เหมือนรอฟังว่าฉันจะทำอะไรต่อ
ฉันยังไม่ได้เข้าไป
แค่มองกระจกหน้าร้าน สะท้อนภาพข้างใน ชั้นวางสินค้า ทางเดินขาวสะอาดมันวาว มุมที่ฉันมักกองของที่ยังไม่มีเวลาเติมเต็ม
ฉันมองป้ายชื่อที่ติดบนอก มันงอเล็กน้อย แต่ยังติดอยู่
จากนั้นฉันก็มองไปที่ประตู แล้วก้าวเข้าไป
“ขอคุยกับพี่ธีร์หน่อยครับ”
เสียงที่เปล่งออกมานั้นเบากว่าที่คิด ไม่ใช่ลังเล แค่… เหนื่อย แต่ชัด
ผู้จัดการธีร์อยู่ในห้องทำงานด้านหลัง เก้าอี้แข็ง ๆ ตัวเดิม อากาศอับชื้น กลิ่นกระดาษเก่ากับปฏิทินที่ค้างอยู่ที่เดือนกันยายน เหมือนห้องนี้ตัดสินใจแล้วว่า “เวลา” เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
เขาไม่ได้ถามว่าทำไม แค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเลื่อนแฟ้มข้างหน้าออกไปข้าง ๆ
เรานั่งตรงข้ามกัน ฉันวางซองไว้บนตัก เขาประสานมือ เหมือนรู้คำตอบแล้ว ฉันกระแอมเบา ๆ ครั้งหนึ่ง อย่างไม่มีจุดหมาย แล้วพูดออกมา
“ผม… ขอลาออกครับ”
แค่นั้น ไม่ใช่คำปราศรัย ไม่ใช่คำสารภาพ แค่ความจริง วางราบเรียบ
ผู้จัดการธีร์มองฉันนิ่ง ๆ ไม่ตกใจ แค่เหมือนกำลังคิดตาม แล้วเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
ช้า ๆ เหมือนยอมรับแรงโน้มถ่วงในห้องนี้เสียที
“วันสุดท้ายคือ 31 ธันวาใช่มั้ย… งั้นขอให้ไปเจออะไรที่ใช่นะกรณ์” ไม่มีสอน ไม่มีดึง ไม่มีถามว่า “แน่ใจเหรอ”
แค่นั้น
“ไปเจออะไรที่ใช่” คำพูดธรรมดา แต่หนักกว่าเสียงขัดขืนทั้งหมดที่ฉันกลัวจะได้ยิน
ฉันพยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้พูดคำว่า “ขอบคุณ” ออกมาดัง ๆ แต่พูดผ่านท่าทางของตัวเองแทน—ในวิธีที่ฉันนั่งตรงขึ้น ในจังหวะที่ฉันหยุดเล่นซองเงินในมือ แบบฟอร์มลาออกยังอยู่ในกระเป๋า ยังไม่ได้เซ็น แต่มันมีที่ไปแล้ว
ฉันเดินออกจากห้องอย่างช้า ๆ ไม่มองชั้นขนม ไม่มองมุมบุหรี่ ไม่แม้แต่มองตู้เก็บอุปกรณ์ถูพื้น ที่เคยเป็นที่หลบภัยของฉันในหลายคืนเกินจะนับ
แค่เดินไปกดเข้างานเหมือนทุกครั้ง กดรหัสเดิมสี่ตัว เสียง “ปิ๊บ” เล็ก ๆ ดังขึ้นจากระบบ เหมือนต้อนรับการกลับมา
แม้ว่า “ฉัน” จะจากไปแล้ว ไม่ใช่ในทางเอกสาร ไม่ใช่ในทางสาธารณะ
แต่จากภายใน บางอย่างได้ก้าวผ่านประตูไปแล้ว เงียบ ๆ ไม่มีพิธี ไม่มีการประกาศ
ไม่ต้องรอให้ลาเต้กระโดดมาทับเพื่อเน้นให้ด้วยซ้ำ
ฉันเดินกลับห้องพร้อมซองเงินในกระเป๋า ไม่แวะที่ไหน ไม่ได้ฮัมเพลง แค่ปล่อยให้ทางเท้าพาฉันไป ปล่อยให้เสียงรถและมอเตอร์ไซค์ครึ่งจูนเติมพื้นที่ในใจ ที่เคยเต็มไปด้วยความกลัว
นี่ไม่ใช่การหนี นี่คือการปลดปล่อย
การตัดสินใจนี้ไม่ได้ “แก้” อะไรเลย แต่มัน “เปลี่ยน” ทุกอย่าง
ทางกลับบ้านยังคงใช้เวลาราวสิบห้านาทีเหมือนทุกที ไฟนีออนตามซอยยังส่งเสียงหึ่ง เบา ๆ พื้นปูนแตกรอยเดิม ๆ จากฝนเก่า สุนัขตัวหนึ่งนอนเหยียดหาวข้างตู้โทรศัพท์ที่ไม่มีใครใช้อีกต่อไป
แต่ฉันไม่ได้เดินกลับด้วยวิธีเดิมอีกแล้ว ฝีเท้าไม่ได้เบาขึ้น แค่…มั่นคงขึ้น เหมือนกับว่าทางเท้าพิ่งตัดสินใจว่าจะยอมรับน้ำหนักฉันเสียที
ใบสลิปเงินเดือนในกระเป๋าส่งเสียงยับทุกย่างก้าว มันไม่ใช่ “เงิน” อีกแล้ว มันกลายเป็นเครื่องหมาย เป็นใบเสร็จที่ไม่มีบาร์โค้ด เป็นหลักฐานว่าฉันเพิ่งทำบางอย่างที่ไม่อาจย้อนกลับ
ไม่ใช่เพราะ “ฉันจำเป็นต้องทำ” แต่เพราะ “ฉันได้รับอนุญาตให้ทำ”
ฉันไขประตู ไม่มีการหยุดคิด ไม่มีการถอนหายใจลึก แค่เสียงคลิกเบา ๆ ของการตัดสินใจที่ถูกทำไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน
ไฟในห้องยังเปิดแสงสลัว พัดลมเพดานหมุนช้า ๆ เหมือนจะบอกว่า “ช้าไปหน่อยนะ แต่ฉันก็รออยู่ดี”
ลาเต้ ยังอยู่อยู่แล้ว แน่นอน อยู่เหมือนกับว่าเขาไม่เคยจากไปไหน เขาเดินข้ามพื้นห้องด้วยท่าทางของกษัตริย์ผู้สำรวจอาณาจักรตัวเอง แล้ว โดยไม่ชายตามองฉันเลย กระโดดขึ้นโต๊ะเตี้ยตรงกลางห้อง เห็นใบสลิปเงินเดือนที่ฉันถือไว้ในมือ แล้วเหยียบลงไปตรง ๆ ไม่ต้องแสดงท่า ไม่สะบัดหาง แค่…แรงกด จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนซองเอกสารนั้น แนบแน่น มันเป็นของของเขา
ฉันย่อตัวลงข้างเขา ดูการขึ้นลงของลมหายใจในอกเล็ก ๆ ของเขา
“ไม่ต้องกดซ้ำก็เข้าใจแล้วครับพี่แมว”
เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่กระพริบตา แค่ค่อย ๆ ช้า ๆ หลับตาลงอย่างจงใจ เหมือนสอนอะไรบางอย่างให้ฉัน เหมือนรู้ดีถึงความต่างระหว่างคำว่า “จบ” กับ “เริ่ม” มากกว่าฉันเสมอ
ฉันผ่อนลมหายใจออก แล้ว โดยไม่ทันคิด กระพริบตาตอบกลับไป
เพียงครั้งเดียว แบบแมว