ฉันเริ่มเก็บของทีละชิ้นหลังเคาน์เตอร์ ทั้งที่รู้ดีว่ายังเหลืออีกหลายคืนให้ต้องนั่งตรงนี้ เริ่มจากป้ายชื่อเก่าใบหนึ่ง แผ่นเล็ก ๆ ที่งอเบี้ยวมาจากการถูกยัดลงล็อกเกอร์ ผ้ากันเปื้อน และบางครั้ง…ถุงแซนด์วิชโดยไม่ตั้งใจ ต่อด้วยปากกาลูกลื่นน้ำเงินที่ “ยืม” มาจากสโตร์รูมตั้งแต่แปดเดือนก่อน ยังเขียนได้ ครึ่งหลอดดื้อดึง
Sponsored Ads
จากนั้นก็ใบตารางเวรกะเดือนกรกฎาคม—ที่ถูกสอดทิ้งไว้หลังเครื่องคิดเงิน อบกระดาษเหลืองเก่าเหมือนผ่านกาลเวลามาเงียบ ๆ รอให้ฉันนึกถึงมัน ของเล็ก ๆ น้อย ๆ หลักฐานเลือนรางของชีวิตชิ้นหนึ่งที่กำลังจะไม่ใช่ของฉันอีกต่อไป
นาฬิกาเหนือประตูส่งเสียงติ๊กแผ่ว ๆ เหนื่อยล้า ไฟนีออนด้านบนดังหึ่งเบา ๆ ดวงหนึ่งกระพริบติด ๆ ดับ ๆ ราวกับพยายามเคาะรหัสลับบางอย่าง…ที่มีแค่คนเบื่อโลกหรืออกหักเท่านั้นที่จะได้ยิน กลิ่นข้าวจากไมโครเวฟฟุ้งอยู่ในอากาศ อาหารเย็นที่เศร้ากว่าความหิวกำลังแต่งแต้มทางเดินในร้าน
ฉันทำงานผ่านกะไปเหมือนเดิม เรียงมาม่า เช็กวันหมดอายุ กวาดขยะใต้เครื่องสเลอปี้ที่แม้แต่แมลงสาบยังดูไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก
อาร์มโผล่มาตอนเที่ยงคืนเหมือนเคย เสื้อแจ็กเก็ตหลวม รองเท้าก๊อป มือในกระเป๋า และรอยยิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่นของคนที่ดูเหมือนกำลังเดินผ่านความฝันที่ยาวเกินไป เขาคนกาแฟผงหลังเคาน์เตอร์—น้ำตาลครึ่ง แดรี่ครึ่ง คนเกินความจำเป็นสามรอบ
เขาพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น “แกเป็นคนเดียวที่ยังดูเหมือนฝันอยู่เลยนะ”
ฉันหัวเราะสั้น ๆ แห้ง ๆ ทำทีเหมือนไล่เช็กสต๊อกขนม ทำทีเหมือนไม่ได้โดนจี้เข้ากลางอก ทั้งที่มันโดนเต็ม ๆ
สถานที่มันดูใหญ่ขึ้นเสมอเวลาจะจากลา ชั้นวางดูยาวกว่าเดิม ห้องเก็บไม้ถูพื้นเหม็นแรงขึ้น แม้แต่ผนังก็เหมือนเอนไหลเข้ามาเล็กน้อย เหมือนจะตั้งใจฟังทุกถ้อยคำสุดท้าย แม้แต่นาฬิกากะที่เคยเป็นแค่ช่องสี่เหลี่ยมบนผนัง ก็กลายเป็นเสียงกริ๊งกะนาทีที่ดังผิดปกติ ทุกครั้งที่ใครสักคนกดเช็กเอาต์ มันเหมือนเสียงนับถอยหลังที่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเริ่ม…แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
อาร์มนั่งเอนหลังบนลังไม้ใกล้ห้องเก็บของ ฮัมเพลงที่จำได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากวิทยุ ฉันไม่รู้จักเพลงนั้น และไม่จำเป็นต้องรู้ มันเป็นทำนองแบบที่คนเรารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเกินกว่าจะฮัมให้ถูกคีย์
เขาจิบกาแฟ แล้วถามขึ้นมาเหมือนพูดคุยกับอากาศในร้านเปล่า ๆ “แกกลัวมั้ย?”
ฉันส่ายหัว แล้วพยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกทั้งสองอย่างเท่า ๆ กัน
อาร์มไม่เซ้าซี้ ไม่เคยเลย แค่เอนหลังพิงผนังเก่า ๆ แล้วยิ้มกว้าง “ถ้าเป็นฉันก็คงกลัว…แต่ฉันว่ากลัวมันก็ดีกว่าอยู่เฉย ๆ ว่ะ”
ฉันล้วงหยิบตารางกะเดือนกรกฎาคมใส่กระเป๋า แผ่นที่ตอนใหม่ ๆ ยังบ่นเบื่อ ๆ ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็เก็บมันไว้ เพราะคำร่ำลา บางคำก็ไม่ต้องพูดออกมา แค่พับเก็บไว้ เหน็บไว้ในกระเป๋า ปล่อยให้มันค่อย ๆ ซีดหายไปเอง
พอถึงตีสี่ ร้านก็อบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาถูพื้นกับบทเพลงที่ถูกลืมค้าง ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มกลายเป็นสีเทาจาง ๆ อาร์มกดเช็กเอาต์ก่อน โบกมือลาแบบขี้เกียจ ๆ โดยไม่มีพิธีรีตอง
ฉันยังอยู่ต่ออีกนิด ไม่ใช่เพราะมีงานค้าง แต่เพราะยังไม่อยากจากไป ระหว่างเสียงไมโครเวฟเตือนเบา ๆ กับเสียงฮัมแผ่ว ๆ ของตู้แช่ ระหว่างป้ายชื่อเก่า ๆ กับกาแฟลาค่ำคืน ฉันก็รู้สึกขึ้นมาว่า
“บางครั้งเราก็ใช้ชีวิตซ้ำ ๆ จนลืมไปว่ามันเคยมีความหมาย”
และบางครั้ง ถ้าโชคดีพอ เราจะนึกขึ้นได้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปจริง ๆ
Sponsored Ads
———————
สายจากลุงเอ๋
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีที่ฉันพับเสื้อยูนิฟอร์มเก่า ๆ ตัวสุดท้ายเสร็จ ฉันไม่ต้องก้มดูชื่อสายเรียกเข้า แค่ได้ยินเสียงริงโทนก็ดูเหมือนมันจะขอโทษฉันตั้งแต่ยังไม่จบท่อนแรกแล้ว
ฉันกดรับ เอนหลังพิงเก้าอี้พลาสติกตัวเดิมที่ขู่จะหักมานานสองเดือน
“มึงหางานใหม่ได้ยัง?”
ไม่มีบทนำ ไม่มีถามไถ่ ตรงประเด็นตามสไตล์
ฉันเงยหน้ามองพัดลมเพดานที่หมุนช้า ๆ ราวกับกำลังลังเลว่าจะยังสู้ต่อไปดีไหม
“ยัง… แต่ผมไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ นะ”
ฉันพูดนิ่ง ๆ ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงปกป้องตัวเอง แค่บอกความจริง
ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง ลาเต้ขดตัวเป็นก้อนกลมบนโต๊ะ ขาหน้าข้างหนึ่งสอดเก็บใต้ตัวอย่างใจเย็น เขากระดิกหางหนึ่งครั้งเมื่อได้ยินเสียงฉัน แล้วก็หยุดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่ปลายสายมีเพียงเสียงหายใจลอดผ่านความเงียบ ไม่ใช่โกรธหรอก แค่ล้า ล้าจนฉันเองยังฟังออก ครู่หนึ่งที่มีเพียงเสียงหึ่งเบา ๆ จากสัญญาณ
แล้วก็ได้ยินประโยคสั้น ๆ หนักแน่น
“ทำให้แน่ใจว่า มึงไม่หมดไฟก่อนที่ชื่อจะโผล่ในอะไรจริง ๆ”
ฉันปล่อยให้ประโยคนี้ลอยอยู่ในอากาศ
ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจทันที แต่เพราะมันควรได้พื้นที่ของมัน ลุงเอ๋ คนที่เคยให้ยืมเงินด้วยความนุ่มนวลประมาณใบมีดกิโยติน ตอนนี้กลายเป็นคนที่เตือนฉันอย่าให้ตัวเองมอดก่อนจะได้เริ่มจริง ๆ เสียที
เสียงเมืองกรุงเทพฯ ยามดึกแผ่วผ่านหน้าต่างเข้ามา: เสียงมอเตอร์ไซค์ลิบ ๆ สุนัขเห่าไปยังอะไรที่ฉันมองไม่เห็น แสงนีออนที่ไหลซึมเข้ามาพร้อมเสียงหึ่งเบา ๆ
ฉันย้ายโทรศัพท์ไปแนบหูอีกข้าง เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มองลาเต้ที่กระพริบตาช้า ๆ แบบแมวที่กำลังบอกว่า เขาเห็นทุกอย่างที่ฉันพยายามซ่อน
“ครับ…” ฉันตอบเบา ๆ “จะไม่หมดไฟครับ”
บางทีมันอาจเป็นสัญญา หรือบางทีมันก็แค่สิ่งที่ใกล้เคียงกับสัญญาที่สุดเท่าที่ฉันมีได้ ปลายสายไม่มีคำพูดอีก แค่เสียงหึ่มรับสั้น ๆ เหมือนอนุมัติ แล้วสายก็ตัดไป ไม่มีเสียงกดวางอย่างดราม่า ไม่มีการขู่ทวงเงิน ไม่มีอะไรทั้งนั้น
มีแค่… ความเงียบ
ฉันวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ มองมันวางนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนพร้อมจะงอกเขี้ยวงอกเล็บขึ้นมาได้ถ้าฉันละสายตานานเกินไป ความกลัวเก่า ๆ ที่เคยบีบรัดท้องน้อยทุกครั้งที่เบอร์ของลุงเอ๋โผล่ขึ้นมา มันหายไปแล้ว
หนี้ยังอยู่ น้ำหนักของมันก็ยังอยู่ แต่ตอนนี้มันไม่กลืนกินฉันอีกต่อไป มันแค่… อาศัยอยู่กับฉัน เหมือนกระเบื้องร้าวบนพื้น เหมือนโปสเตอร์ซีดสี เหมือนเสียงถอนหายใจเงียบ ๆ ของเมืองที่คิดว่าฉันไม่ได้ฟังมัน
ฉันเอื้อมมือไปเกาคางลาเต้เบา ๆ เขายอมให้ทำ ด้วยท่าทีของเทพเจ้าผู้เมตตาให้มนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมีโอกาสไถ่บาปชั่วคราว
“เออ รู้แล้ว” ฉันพึมพำ “เดี๋ยวจะจัดการให้เสร็จ”
ลาเต้ไม่ตอบ ไม่แม้แต่กระพริบตา แค่หลับตาลงช้า ๆ ราวกับจะบอกว่า ดีแล้ว รู้ตัวซะที
ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้อีกครั้ง พัดลมเพดานยังส่งเสียงหอบเหนื่อยเบา ๆ เหมือนเดิม ฉันหลับตาลง พรุ่งนี้จะมา แล้วหลังจากนั้น คืองานจริง
แต่คืนนี้ ฉันปล่อยให้ตัวเองลอยอยู่กับความสงบเล็ก ๆ ดื้อ ๆ ของคนที่รอดมาได้จนถึงวันที่ได้เลือกทางเองเสียที
Sponsored Ads
———————
กะสุดท้าย
ฉันแตะบัตรเข้างานเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เครื่องสแกนดังติ๊ดเบา ๆ แทรกเข้าไปในเสียงฮัมของไฟนีออนที่กระพริบเหมือนกำลังหาทางรอดชีวิต
ถ้าหลับตา ฉันคงหลอกตัวเองได้ว่านี่ก็แค่คืนธรรมดาอีกคืนหนึ่ง อีกหนึ่งกะยาว ๆ ใต้แสงนีออนที่ไม่เคยสนใจใคร อีกหนึ่งรอบของการเรียงถ้วยมาม่า แล้วทำเป็นไม่สนใจเสียงดังอึกทึกของตู้แช่พัง ๆ ตรงมุมร้าน
แต่คืนนี้… ทุกอย่างชัดเกินไปหน่อย ชั้นวางของที่มุมงอและป้ายราคาที่เหนียวหนึบดูคมชัดผิดปกติ รอยแตกตรงตู้โซดาสะท้อนแสงนีออนแสบตา ราวกับมันรอสะดุดขาฉันอีกครั้งอย่างตั้งใจ แม้แต่นาฬิกาเก่าคร่ำคร่าเหนือประตูทางออกก็เหมือนจะหัวเราะเยาะ ขานนาทีด้วยเสียงดังเกินจำเป็น
ฉันถอดแจ็กเก็ตแขวนไว้หลังร้าน หยิบไม้กวาดขึ้นมาในมือ กวาดอีกครั้ง กวาดอีกชั้นวาง กวาดอีกคืนเดียว
อาร์มโผล่มาหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย หาวใส่แขนเสื้ออย่างคนที่กำลังเดินละเมอ เขาโยนถุงถั่วลิสงเผ็ด ๆ ลงบนเคาน์เตอร์ เปิดขวดน้ำเปล่า แล้วเอนตัวพิงอย่างคนที่พร้อมจะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรต้องทำ
ฉันอิจฉาเขานิดหน่อย
เราทำงานไปเงียบ ๆ อาร์มเติมเครื่องดื่มเข้าตู้ ฉันจัดแถวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใหม่ แม้จะรู้ดีว่าพอเช้ามันก็จะยุ่งเหยิงเหมือนเดิม มือทำไป ปล่อยสมองล่องลอยไป
ระหว่างจัดชั้นบะหมี่กับขนมข้าวเกรียบ อาร์มเดินมาหย่อนถุงพลาสติกใส่ลงบนเคาน์เตอร์ พร้อมกับไหล่ที่ยักขึ้นเบา ๆ
“ของขวัญปีใหม่”
ข้างในมีแค่ปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินราคาถูก กับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ หนึ่งปึก แบบที่ไม่ค่อยติดอะไรได้ดีนัก และขอบม้วนตัวเองในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ฉันหยิบมันขึ้นมา รอยยิ้มเล็ก ๆ หลุดออกมาเองโดยไม่ตั้งใจ
“ไว้เขียนเพลงตอนมันโผล่มาแบบไม่ให้ตั้งตัวนะ” อาร์มพูดยิ้ม ๆ
ฉันส่ายหัว หยิบของขวัญใส่กระเป๋า แล้วบอกว่า “ขอบใจนะ ไอ้บ้า”
เขาแค่ยักไหล่อีกครั้ง ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ราวกับมันไม่ใช่การบอกลาที่ดีที่สุดที่ใครจะให้กันได้
สองชั่วโมงสุดท้ายคืบคลานผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันถูพื้น ที่ตัวเองจะไม่เดินผ่านอีก นับสต็อก ที่ตัวเองจะไม่ต้องเติมอีก หน้าต่างสะท้อนภาพเมืองกลับมาให้เรา เบลอมัว มืดมัว ละลายอยู่ใต้หมอกนีออน
ตอนตีสามห้าสิบแปดนาที ฉันยืนอยู่หลังเครื่องคิดเงินเป็นครั้งสุดท้าย อาร์มลงเวลาออกก่อน เขายกมือทำท่าตะเบ๊ะอย่างขี้เกียจ แล้วบอกว่า
“ไปดีมาดีนะเว้ย”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ ไม่กล้าเชื่อว่าตัวเองจะเอ่ยคำอะไรออกมาได้
แล้วในที่สุด เมื่อร้านว่างเปล่า มีเพียงเสียงฮัมของไฟที่ยังทำงานอย่างเหนื่อยล้า ฉันก็เซ็นชื่อในสมุดบันทึกกะเป็นครั้งสุดท้าย
ธนากร สิริพงศ์ชัย
31 ธันวาคม 2000
04:00 AM
ฉันวางป้ายชื่อข้าง ๆ สมุดเล่มนั้น ไม่รีบหันหลังกลับทันที เก็บของนิดหน่อยที่เหลืออยู่ในล็อกเกอร์ ซึ่งเกือบจะว่างเปล่าแล้ว แล้วสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ที่ประตู มือวางอยู่บนขอบโลหะเย็นเยียบ ฉันหันหลังกลับมามองอีกครั้ง
แค่ครั้งเดียว ร้านยังดูเหมือนเดิม แต่ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว
อากาศข้างนอกโถมเข้ามาเหมือนคลื่นบางอย่างที่ใหญ่เกินกว่าจะตั้งชื่อ เย็นกว่าที่กรุงเทพฯ สมควรจะเย็นในช่วงปลายปี หรือบางทีฉันเพิ่งรู้สึกมันจริง ๆ เป็นครั้งแรก ฉันกระชับแจ็กเก็ตแนบตัว แล้วเริ่มก้าวเดินกลับบ้าน ปากกาถูก ๆ และกระดาษโน้ตแผ่นเล็กกดทับอกผ่านผ้ากระเป๋า บอกตัวเองด้วยไออุ่นนิด ๆ ที่ไม่ใช่แค่สิ่งของ
ที่ไหนสักแห่งข้างหน้า ในที่ที่ยังมองไม่เห็น ฉันรู้สึกได้ว่า เมืองก็ยังเป็นเมือง หนี้ก็ยังเป็นหนี้ ความสงสัยก็ยังซุกอยู่ตามขอบฟ้าของทุก ๆ เช้า
แต่คืนนี้… เดินกลับบ้านหลังเลิกงานกะสุดท้าย ฉันไม่ได้แบกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว และบางที แค่บางที นั่นก็นับเป็นชัยชนะได้เหมือนกัน
Sponsored Ads
———————
ปีใหม่ กับเสียงใหม่
ระหว่างเสียงติ๊ดสุดท้ายของเครื่องสแกน กับเสียงประทัดแตกตัวแรกของปีใหม่ เมืองก็เปลี่ยนไปเป็นปีใหม่
กรุงเทพฯ ยังคงเป็นกรุงเทพฯ สายไฟพันกัน ป้ายไฟกะพริบ ฟุตบาทที่ดูเหมือนตั้งใจสู้กับเท้าคนเดิน — แต่ในอากาศมีบางอย่างใหม่กว่า เด่นชัดกว่า เหมือนเมืองเพิ่งกลั้นหายใจนานเกินไป แล้วเพิ่งได้ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ในแท็กซี่ที่เร่งเครื่องผ่านถนนพระรามสี่ มีใครบางคนกำลังฮัมเพลง “ความทรงจำสีจาง” ไม่ใช่จากวิทยุ ไม่ใช่จากเทปคาสเซ็ต แค่ฮัมเบา ๆ เพี้ยนเล็กน้อย แต่ฟังออกได้ทันที คนขับเคาะพวงมาลัยตามจังหวะ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่ง ไม่สนด้วยซ้ำ และนั่น…ก็ดีแล้ว
ในคาเฟ่แถวถนนพระอาทิตย์ เด็กสาวคนหนึ่งนั่งกางหนังสือเรียนเต็มสองโต๊ะ ปากกาเน้นข้อความเรืองแสงเปื้อนกระดาษราคาถูก เธอดูดโกโก้เย็น หูฟังอัดแน่นอยู่ในหู
เสียงเพลงอู้อี้เล็ดลอดออกมาเบา ๆ “ความทรงจำสีจาง” เสียงนีน่าดังผ่านสัญญาณขาด ๆ จากเครื่องเล่นซีดีแบบพกพา
ที่นอกหน้าต่าง มีคนผิวปากคลอตามท่อนฮุก โดยไม่รู้ตัว ที่แผงหนังสือแถวหัวลำโพง พาดหัวข่าวพุ่งชนกันเป็นก้อนตัวอักษรหยาบ ๆ การเมือง เรื่องฉาว ผลบอล และตัวหนังสือแถวเล็ก ๆ มุมหนึ่งของคอลัมน์รีวิวเพลง State FM:
“A New Sincerity: ‘ความทรงจำสีจาง’ พาเพลงป๊อปกรุงเทพฯ ไปในทางที่ไม่มีใครคาดคิด”
ไม่มีใครหยุดอ่าน แต่ข้อความก็ยังอยู่ในวารสารอยู่ดี
ที่อีกฟากเมือง ลึกเข้าไปในตรอกสุขุมวิทที่พื้นเหนียวตลอดเวลา วงของพี่ต้นกำลังตั้งเครื่องเตรียมการแสดง กลิ่นเบียร์ บุหรี่ และความฝันที่แพ้พนันอบอวลในอากาศ
สมบูรณ์แบบ ไมค์แหลมปี๊ดครั้งหนึ่ง เสียงเบสกระแทกพื้นจนเท้าคนสะเทือน พี่ต้นยิ้มเอียง ๆ เหลือบมองผนังด้านหลัง แล้วโดยไม่มีการประกาศ ไม่มีพิธีรีตอง พวกเขากระโจนเข้าเพลง
“จนแต่เจ๋ง”
และคนดู พระเจ้าเอ๋ย คนดู พวกเขาไม่ได้แค่ฟัง พวกเขาร้องตาม ดัง เลอะเทอะ แต่สวยงามแบบไม่ตรงจังหวะ
🎶 “ใจมันขอลุย ลุยเข้าไปเราไม่มีถอย…” 🎶
มันไม่ได้เนี๊ยบ มันไม่ได้สุภาพ แต่มันจริง พี่ต้นสบตาฉันจากอีกฟากห้อง ตอนท่อนสองกำลังไหลเข้าสู่ท่อนฮุก เขายิ้มกว้างแบบงี่เง่า แล้วชี้ ไม่ใช่ชี้ตัวเอง ไม่ใช่ชี้วง แต่ชี้ไปที่เพลง ชี้ไปยังสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาจากข้าวห่อในห่อกระดาษ หนี้สิน ความดื้อรั้น และการเดินเท้ากลับบ้านตอนเที่ยงคืนมากเกินไป
ฉันยืนพิงผนังลอกสี รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของซองเงินเดือนที่ยังไม่ได้เปิดกดอยู่ในกระเป๋า
฿14,400 ไม่พอหรอก ไม่มีวันพอ แต่บางที…พอกับการพูดได้ว่า “ฉันไม่ได้ติดอยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้ว”
หลังจากนั้นตอนที่ฉันเดินกลับบ้านใต้ท้องฟ้าที่กลิ่นยังฉุนด้วยดินปืนเก่า ๆ และความฝันมือสอง ฉันแค่ฟัง
ไม่ใช่ฟังความคิดของตัวเอง ไม่ใช่ฟังกังวล แค่…ฟัง ในระยะไกล วิทยุเครื่องหนึ่งเสียงแตกพร่า เสียงนีน่าลอยมาแผ่ว ๆ ฟังแทบไม่ชัด แต่เจ็บแทบบอกไม่ถูก มันคือความทรงจำ มันคืออนาคต มันคือหลักฐาน บางทีอาจไม่มีใครรู้จักชื่อฉัน บางทีอาจไม่มีใครเลยก็ได้ แต่บางส่วนของฉัน มันได้ล่องลอยออกไปแล้ว เย็บติดอยู่กับท่วงทำนองและเสียงของเมืองนี้ ดื้อรั้น มีหวัง และไม่ยอมจางหายไปง่าย ๆ
ไฟถนนกระพริบเหนือหัวฉันเหมือนดวงดาวที่เหนื่อยล้า ฉันยัดมือสองข้างใส่กระเป๋าเสื้อ รู้สึกถึงเสียงกระดาษเงินเดือนยับเบา ๆ ชนกับข้อนิ้ว แล้วเผลอยิ้มออกมา ไม่ใช่รอยยิ้มใหญ่โตอะไร แค่พอประมาณ