ห้องสะท้อนด้วยความตึงเครียด ไม้เซลฟี่ที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานถูกพันไว้แน่นด้วยสายสิญจน์ แต่ผมรู้ดีว่านี่ไม่ได้หมายความว่ามันจบแล้ว เสียงกระซิบของเงายังดังก้องในหัวของผม ราวกับมันกำลังเย้ยหยันด้วยคำพูดที่พร่ำบอกว่า
[อีกแค่ครั้งเดียว…]
Sponsored Ads
ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบควายธนู รูปแกะสลักเล็กๆ ที่สลักลายอย่างประณีต พื้นผิวของมันเงางามสะท้อนแสงในห้องสลัว ๆ สำหรับสายตาคนธรรมดา มันอาจดูเหมือนตุ๊กตาควายธรรมดา แต่ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เครื่องรางทั่วไป วิญญาณที่สิงอยู่ในเครื่องรางนี้เก่าแก่พอๆ กับตำนานที่เล่าขานกันมา—ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งดั่งภูผาและมีพลังที่แผ่ออกมาอย่างทรงอำนาจ
ผมวางควายธนูลงบนโต๊ะทำงานข้างไม้เซลฟี่ แล้วเริ่มท่องบทสวดที่ย่าน้อยสอนผมตั้งแต่ยังเด็ก “นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ…” คำสวดไหลออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ จังหวะเสียงมั่นคงและต่อเนื่อง เติมเต็มบรรยากาศรอบตัวด้วยพลังสะท้อนที่เงียบสงบ เมื่อบทสวดดังขึ้นเรื่อย ๆ ควายธนูเริ่มเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ลวดลายบนพื้นผิวของมันเปล่งประกายราวกับมีชีวิต
บรรยากาศในห้องเปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิลดลงอย่างฉับพลัน น้ำแข็งเริ่มเกาะตามขอบโต๊ะทำงาน เป็นสัญญาณเตือนว่าความมืดจากห้วงลึกเริ่มเข้ามาใกล้ ลมหายใจของผมกลายเป็นไอเย็น และผมรู้สึกถึงน้ำหนักของเงาที่แผ่เข้ามาปกคลุมห้อง
มันกลับมาแล้ว
Sponsored Ads
———————
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ควายธนูเปล่งพลังงานออกมา รูปทรงวิญญาณของมันเริ่มปรากฏเหนือรูปแกะสลักเล็ก ๆ ร่างโปร่งแสงของควายทองคำขนาดมหึมาค่อย ๆ ปรากฏออกมา เปล่งแสงสีทองจาง ๆ เงามืดที่ปรากฏตัวเต็มที่ตอนนี้ถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อพบกับพลังของควายธนู แต่ไม่ได้หนีหายไป มันบิดตัวเปลี่ยนรูปร่างให้แข็งแกร่งขึ้น ดวงตากลวงว่างเปล่าของมันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เสียงครวญครางดังก้องในห้อง ภายใต้แรงกดดันของการเผชิญหน้ากันระหว่างสองพลัง วิญญาณควายธนูลดหัวของมันต่ำลง เหยียบพื้นด้วยขาหน้าของมันในลักษณะเตรียมพร้อมที่จะพุ่งชน เงามืดส่งเสียงขู่ต่ำ ๆ ยืดหนวดมืดออกมาทดสอบขอบเขตของแสงสีทองที่ล้อมรอบควายธนู
ผมกระชับมีดหมอในมือแน่น แล้วโปรยข้าวสารเสกลงบนโต๊ะทำงาน ข้าวสารเปล่งแสงระยิบระยับเมื่อกระทบพื้น สร้างแนวป้องกันรอบไม้เซลฟี่ เงามืดส่งเสียงขู่ดังขึ้น ร่างของมันสั่นไหวเมื่อพลังของข้าวสารรบกวนพลังงานของมัน
“อย่าคิดว่าจะหลุดง่าย ๆ” ผมพึมพำ เสียงมั่นคงแม้จะเต็มไปด้วยความตึงเครียด “คืนนี้แกจะไม่ข้ามมาได้แน่”
วิญญาณควายธนูพุ่งไปข้างหน้า แสงสีทองสว่างขึ้นเมื่อมันปะทะกับเงามืด พลังจากทั้งสองฝ่ายแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่นทั่วห้อง เงามืดกรีดร้อง ร่างของมันบิดเบี้ยวภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงของควายธนู แต่มันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หนวดมืดพุ่งออกมาพันรอบขาควายธนูในความพยายามที่จะดึงลากมันลงมา
Sponsored Ads
———————
ตัดสายสัมพันธ์
ในขณะที่การต่อสู้อย่างดุเดือดดำเนินไป ผมจดจ่ออยู่กับ QR Code ที่สลักอยู่บนฐานของไม้เซลฟี่ สัญลักษณ์เปล่งแสงจาง ๆ เต้นเป็นจังหวะเดียวกับการเคลื่อนไหวของเงา นี่คือสายสัมพันธ์—จุดเชื่อมโยงที่ผูกมัดเงากับห้วงลึกและอนุญาตให้มันหลอกหลอนในโลกจริงได้
ผมยกมีดหมอขึ้นแล้ววาดยันต์ปกป้องในอากาศ คมมีดเรืองแสงจาง ๆ ขณะที่ผมเปล่งบทสวดเสียงดังขึ้น ทุกคำที่ผมเอ่ยออกไปเหมือนจะเพิ่มพลังให้กับควายธนู วิญญาณควายธนูเรืองแสงทองเปล่งประกายเจิดจ้า ขับไล่เงาให้ถอยหลังไปทีละน้อย
ด้วยพลังเฮือกสุดท้าย ผมปักมีดหมอลงไปที่ QR Code บนฐานของไม้เซลฟี่ ปลายคมมีดตัดผ่านเส้นสายซับซ้อนของสัญลักษณ์ ไม้เซลฟี่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พื้นผิวเริ่มแตกร้าวเมื่อสัญลักษณ์ถูกทำลาย เงาส่งเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่น ร่างของมันเริ่มแตกสลายเมื่อสายสัมพันธ์ถูกตัดขาด
วิญญาณควายธนูคำรามเสียงดัง แสงสีทองส่องสว่างเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะผลักดันเงากลับสู่อเวจี ห้องเต็มไปด้วยแสงสว่างจ้า และจากนั้น… ความเงียบ
Sponsored Ads
———————
ผลที่ตามมา
ผมยืนอยู่นิ่ง ๆ สักพัก มีดหมอยังคงอยู่ในมือ ส่วนควายธนูตัวเล็กนอนพักผ่อนอย่างสงบบนโต๊ะทำงาน อากาศในห้องตอนนี้ปลอดโปร่ง ไร้พลังงานหนักอึ้งที่เคยปกคลุมมานาน ไม้เซลฟี่ที่เคยมีคำสาป บัดนี้นอนนิ่ง ไม่มีพลังงานหลงเหลือ
“ทำได้ดีมาก” ผมพึมพำให้กับตัวเอง พร้อมพยักหน้าขอบคุณควายธนู ก่อนจะเก็บมันกลับลงกระเป๋า รูปแกะสลักควายรู้สึกอุ่นในมือ เป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่มันมี
ผมปิดไฟในร้าน ขณะที่สายตาเหลือบมองไม้เซลฟี่ที่ตอนนี้ไม่มีอันตรายอีกต่อไป มันก็แค่พลาสติกธรรมดา แต่เคยเข้าใกล้การนำสิ่งที่อันตรายอย่างแท้จริงเข้าสู่โลกนี้มากเกินไป
“ครั้งหน้า” ผมพึมพำกับตัวเอง “จะคิดราคาเพิ่มเป็นสองเท่าสำหรับอะไรที่เกี่ยวกับ QR Code”
หลังจากนั้น ผมล็อกร้านและเตรียมตัวที่จะคืนไม้เซลฟี่ให้เจ้าของในเช้าวันรุ่งขึ้น—และเตรียมใจสำหรับคำสาปครั้งต่อไปที่จะเคาะประตูมาเยือน
Sponsored Ads
———————
การคลี่คลายของคู่รัก
เช้าวันถัดมา ฟิล์มและแพทเดินเข้ามาในร้าน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความเหนื่อยล้าจากการอดนอนที่สะสมมาหลายวัน
ผมส่งไม้เซลฟี่คืนให้พวกเขา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแค่ของเล่นราคาแพงธรรมดา ๆ “เรียบร้อยแล้ว” ผมพูดพร้อมพิงเคาน์เตอร์ด้วยท่าทางสบายๆ “ไม่มีเงา ไม่มีการสิงอีกต่อไป เหลือแค่ไม้เซลฟี่ธรรมดา ๆ”
แพทมองไม้เซลฟี่ด้วยความลังเล ก่อนจะเงยหน้ามองผม “แน่ใจเหรอคะ? หมายถึง… ถ้ามันกลับมาอีกล่ะ?”
“ไม่มีทาง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ตอนนี้มันก็แค่พลาสติกชิ้นหนึ่ง เชื่อผมเถอะ แต่ถ้าจะให้คำแนะนำ ก็คือ อย่าไปยุ่งกับแก็ดเจ็ตที่มี ‘ฟีเจอร์เพื่อนโบราณ’ อีกนะ”
ฟิล์มหัวเราะแห้ง ๆ ด้วยความโล่งอกที่ชัดเจน “รับทราบ ขอบคุณมากนะ นาวิน”
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากร้าน ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแซวส่งท้าย “เฮ้ พวกคุณลองใช้กล้องธรรมดาดูสิ รับรองไม่มีผีแน่นอน”
แพทกลอกตา แต่ก็เผลอยิ้มออกมา “คุณนี่มันน่าปวดหัวจริง ๆ”
พวกเขาเดินออกไป พร้อมกับความตึงเครียดที่เหมือนถูกยกออกไปจากร้าน หลังจากนั้น ผมได้ส่งวิญญาณไปสู่ที่ชอบที่ชอบ และแก้คำสาปอีกครั้ง อีกหนึ่งวันที่แสนแปลกประหลาดในชีวิตของผม
Sponsored Ads
———————
การมาถึงของธนา
ยังไม่ทันที่ผมจะได้นั่งพักผ่อนจากช่วงเวลาสงบที่หาได้ยาก เสียงกริ่งประตูร้านก็ดังขึ้น ธนาเดินเข้ามา พร้อมกับถุงพลาสติกสองใบในมือข้างหนึ่งและแก้วสมูทตี้ในอีกข้างหนึ่ง
“แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” เขาถามพลางมองไปรอบๆ ร้านที่ตอนนี้โล่งสะอาด
“เรียบร้อยแล้ว” ผมตอบพร้อมยืดแขนอย่างสบายใจ “ไม่มีเซลฟี่ผีอีกสำหรับคู่รักคู่นั้น”
เขาวางถุงลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะหยิบสมูทตี้แก้วนั้นส่งให้ผม “เยี่ยมเลย นายสมควรได้อันนี้ ผักโขมกับมะม่วง—เมนูโปรดอันใหม่ของนาย”
ผมเลิกคิ้ว มองแก้วสมูทตี้อย่างระแวดระวัง “และฉันคิดว่ารางวัลของฉันคือการช่วยกรุงเทพฯ รอดจากวิกฤตวิญญาณอีกครั้ง”
“รางวัลของนายคือการไม่หัวใจวายตอนอายุยังน้อย” เขาตอบกลับพร้อมจิบเครื่องดื่มของเขาเอง “แต่เอาเถอะ ไว้พูดว่า ‘ฮีโร่ของเมือง’ ก็ยังได้”
———————
โทรศัพท์
ขณะที่ผมค่อยๆ จิบสมูทตี้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ผมตัดสินใจโทรหาผู้บัญชาการหลินเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย
“หลิน คุณพูดถูก” ผมพูดทันทีที่เธอรับสาย “QR Code นั่นมันเป็นสัญลักษณ์ผนึก ผมจัดการมันแล้ว แต่ผมคิดว่าอาจมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก”
น้ำเสียงของหลินยังคงแห้งแล้งเหมือนเดิม “หน่วยเหนือไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน เรามีภัยคุกคามใหญ่กว่านี้ที่ต้องจัดการ”
ผมบีบสันจมูก พยายามกลั้นไม่ให้ถอนหายใจ “ใหญ่กว่าลัทธิที่ผูกวิญญาณกับเทคโนโลยี? ดีจังที่รู้ว่ากรุงเทพฯ ให้ความสำคัญแบบนี้”
“นายก็จัดการมันได้ใช่ไหมล่ะ?” เธอถามกลับ “ถ้ามันเกิดขึ้นอีกก็โทรหาฉัน”
เธอวางสายก่อนที่ผมจะตอบอะไร ทิ้งให้ผมจ้องโทรศัพท์ด้วยสีหน้าฉงนปนขำ ความเฉยเมยของหลินเป็นทั้งสิ่งที่น่าหงุดหงิดและน่าปลอบใจในเวลาเดียวกัน อย่างน้อยผมก็รู้ว่าจะคาดหวังอะไรจากเธอได้
Sponsored Ads
———————
ปิดท้ายวัน
ผมเก็บควายธนูและมีดหมอกลับเข้าที่เดิม ร้านตอนนี้เงียบสงบลงกว่าที่เคยเป็นมาหลายวัน อากาศดูปลอดโปร่งขึ้น ปราศจากพลังงานกดดันที่เคยหลอกหลอนอยู่
ธนาเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ พลางจิบสมูทตี้จนหมดพร้อมเสียงดัง “แล้วอะไรต่อไป? แก็ดเจ็ตต้องสาปอีกเครื่อง? หรือบางทีนายอาจได้สัปดาห์ที่ไม่มีผีเป็นครั้งแรกก็ได้นะ”
ผมยิ้มมุมปาก “นี่มันกรุงเทพฯ จะมีอะไรต่อก็มีแน่”
ธนายิ้มกว้าง พร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมา “อะไรก็ตาม ขอให้มันน่าตื่นเต้นพอที่ฉันจะไลฟ์สดได้ละกัน”
“ธนา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ถ้าฉันจับได้ว่านายไลฟ์สดตอนที่ฉันกำลังสู้กับวิญญาณ ฉันจะหลอกหลอนโทรศัพท์ของนายไปตลอดกาล”
เขาหัวเราะพร้อมโยนแก้วเปล่าลงถังขยะ “ตกลง! แต่ตอนนี้สนุกกับสมูทตี้ไปก่อน ถือเป็นค่ามัดจำสำหรับการผจญภัยครั้งหน้า”
เมื่อเขาออกไปพร้อมเสียงกริ่งประตูดังตามหลัง ผมเอนหลังลงบนเก้าอี้ ปล่อยให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดซึมซาบเข้ามา รอยยิ้มมุมปากยังคงอยู่ ขณะที่ผมพึมพำกับตัวเอง “ครั้งหน้ามีใครขอถ่ายรูป ฉันจะยึดแค่กล้องถ่ายรูปธรรมดาแล้วกัน ปลอดภัยกว่าเยอะ”
และด้วยความคิดนั้น ผมเตรียมตัวสำหรับความลึกลับประหลาด ๆ ที่พร้อมจะเดินเข้ามาในร้านครั้งต่อไป