NOVEL / The Signal Beyond the Veil · January 15, 2025 0

058-Extra ฝุ่นชอล์กและแผงวงจร

กระดิ่งร้านดังกรุ๊งกริ๊งขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนตัวเก็บประจุที่ดื้อด้านบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ดูเหมือนของโบราณชิ้นหนึ่ง เสียงคลิกที่น่าพอใจของตัวเก็บประจุที่เข้าล็อกกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อโทรศัพท์ของผมสั่นด้วยสายเรียกเข้า

Sponsored Ads

“ร้านนาวินซ่อมคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์” ผมตอบอัตโนมัติ

“คุณนาวินใช่ไหมคะ?” เสียงปลายสายสุภาพและเป็นทางการ—น้ำเสียงแบบนี้ ผมมักไม่ค่อยไว้ใจ “ดิฉันผู้ช่วยผู้อำนวยการอรวรรณจากโรงเรียนนานาชาติดาวประกายพรึกค่ะ เราได้ยินมาว่าคุณ… เป็นช่างซ่อมที่จัดการกับปัญหาแปลกๆ ได้”

ปัญหาแปลกๆ นั่นแหละ มันมักเริ่มแบบนี้เสมอ

“‘แปลก’ แบบไหนล่ะครับ?” ผมถามขณะวางหัวแร้งบัดกรีลง

“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโปรเจกเตอร์ในห้องเรียนค่ะ มันแสดงภาพที่เราไม่ได้ป้อนเข้าไป เป็นภาพที่น่ากลัว”

“ลองปิดแล้วเปิดใหม่หรือยังครับ?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก

“ลองแล้วค่ะ” เสียงเธอเริ่มสั่น “แต่มันเปิดขึ้นมาเอง พร้อมเสียง… เสียงกระซิบ”

ผมถอนหายใจ พลางเช็ดมือกับผ้า “ผมจะไปถึงในหนึ่งชั่วโมง ห้ามเสียบปลั๊กมันจนกว่าผมจะไปถึง”

“เรา… ถอดปลั๊กไม่ได้ค่ะ มันติดอยู่กับเพดาน”

แน่นอนสิ

Sponsored Ads

———————

โปรเจกเตอร์ผีสิง
โรงเรียนเป็นอาคารใหญ่โต ทันสมัยด้วยกระจกและเหล็ก มีคำคมสร้างแรงบันดาลใจติดตามผนังกลายเป็นลายสวยงาม กลิ่นหนังสือใหม่ปะปนกับกลิ่นเหงื่อจางๆ ของนักเรียนที่กังวลใจ

ผู้ช่วยผู้อำนวยการอรวรรณเป็นผู้หญิงสูงที่ดูมีที่มีสีหน้าบูดบึ้งตลอดเวลา เธอนำทางผมไปยังห้องเรียนต้นเหตุที่ชั้นสาม เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอดังสะท้อนพื้นกระเบื้องไปทั่ว

เมื่อเข้าไปในห้องเรียน บรรยากาศกลับดูวังเวง โต๊ะเรียนถูกจัดเรียงเป็นระเบียบ และโปรเจกเตอร์เจ้าปัญหาก็ส่งเสียงหึ่งเบา ๆ จากเพดาน พร้อมแสงเลนส์สีฟ้าประหลาดที่ส่องลงมา

“มันเริ่มเมื่อวานนี้ระหว่างซ้อมงานวันครูค่ะ” อรวรรณอธิบาย “แทนที่จะเป็นสไลด์ที่นักเรียนเตรียมไว้ มัน… เล่นบางอย่างแทน”

“บางอย่างแบบไหน?” ผมถามขณะวางกระเป๋าอุปกรณ์บนโต๊ะเรียน

เธอลังเล “ภาพของห้องเรียนเก่า กระดานดำ โต๊ะเรียน… และมีใครบางคนกำลังเขียนบนกระดาน ลายมือดูสะเปะสะปะ สั่นไหว แล้วก็เริ่มมีเสียงกระซิบ นักเรียนวิ่งหนีออกมาหมด”

ผมหยิบใบลานออกมา หน้ากระดาษใบลานโบราณของมันส่องแสงอ่อน ๆ ขณะที่ผมพลิกดู พลางถือมันไว้ใต้แสงจากโปรเจกเตอร์ เห็นรอยสัญลักษณ์จาง ๆ ปรากฏใต้แสง

“ใครติดตั้งโปรเจกเตอร์นี้ครับ?” ผมถาม

“ของใหม่ค่ะ” เธอตอบ “แต่เป็นของบริจาคจากอดีตครูท่านหนึ่ง คุณครูปรีชา ท่านเพิ่งเกษียณไปเมื่อปีที่แล้ว”

ผมชะงัก “แล้วคุณครูปรีชา… ท่านเสียไปเมื่อไม่นานนี้หรือเปล่าครับ?”

อรวรรณกระพริบตา “ค่ะ ท่านเสียเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณรู้ได้ยังไง—”

“ผมมีสัมผัสพิเศษครับ” ผมโกหก “ตอนนี้กรุณาออกไปข้างนอก และอย่าเข้ามาจนกว่าผมจะบอก”

Sponsored Ads

———————

มรดกครูปรีชา
ทันทีที่อรวรรณออกไป เสียงกระซิบเริ่มขึ้น—เสียงต่ำ เศร้าสร้อย แทรกซึมเข้าหูผมราวกับน้ำเย็นยะเยือก

ผมเล็งใบลานไปที่เลนส์ สังเกตสัญลักษณ์ที่ส่องแสงวูบวาบในแสง มันเต้นเป็นจังหวะ คล้ายเป็นส่วนหนึ่งของลวดลายที่ใหญ่กว่า—สายเชื่อมโยงระหว่างโปรเจกเตอร์กับ… ที่อื่น

ทันใดนั้น ภาพเปลี่ยนไป หน้าจอว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยภาพห้องเรียนเก่า กระดานดำเต็มไปด้วยสมการและบันทึกที่เขียนแบบลวกๆ กลางเฟรมคือชายคนหนึ่งในชุดสูทซีดเก่า ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ครึ่งหนึ่งในขณะที่เขียนลงบนกระดานอย่างกระวนกระวาย

“ครูปรีชา” ผมพึมพำ

ชายคนนั้นหันช้า ๆ ใบหน้าซีดเซียวและดูเหนื่อยล้า แต่ดวงตาของเขากลับลุกโชนด้วยความสิ้นหวังบางอย่าง เขาพูด เสียงแตกพร่าเหมือนสัญญาณสถิติก้องในอากาศ

[พวกเขากำลังลืม… ลืมทุกอย่าง ฉันปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ พวกเขาต้องจำให้ได้]

เสียงกระซิบดังขึ้น ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นเสียงประสานอันสับสน

ผมควักมีดหมอออกมาจากกระเป๋า และแกะสลักยันต์ทำลายล้างลงบนขอบโต๊ะของครู โปรเจกเตอร์กะพริบอย่างรุนแรง ภาพบิดเบี้ยวในขณะที่การเชื่อมโยงเริ่มอ่อนแอลง

แต่แล้ว เสียงกระซิบทั้งหมดกลับรวมตัวกันเป็นคำเดียว

[ความจริงก็คือความจริง]

Sponsored Ads

———————

รากเหง้าของคำสาป
ด้านนอกห้องเรียน ผมดักผู้ช่วยผู้อำนวยการอรวรรณไว้

“เล่าเรื่องครูปรีชาให้ผมฟังหน่อย” ผมถาม “ทำไมเขาถึงสาปโปรเจกเตอร์ตัวนี้?”

อรวรรณหน้าซีดเผือด “มันไม่ใช่คำสาปค่ะ เขา… ทุ่มเทมาก เขาสอนที่นี่มา 30 ปี เขาพูดเสมอว่าการศึกษาเป็นทางเดียวที่จะกอบกู้โลกได้ แต่… เขาเสียใจมากตอนที่หลักสูตรเปลี่ยนไปจากวิชาที่เขารัก—ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีเก่า เขาบอกว่าพวกเขากำลังลบอดีตทิ้ง”

ผมพยักหน้าช้า ๆ “แล้วตอนเขาเกษียณ เขาบริจาคโปรเจกเตอร์นี้ใช่ไหม?”

“ค่ะ เขาบอกว่ามันจะช่วยเก็บรักษาบทเรียนของเขาไว้ตลอดไป”

“เก็บรักษา” ผมพึมพำ “เขาผูกบางส่วนของตัวเองไว้กับมัน”

ผมกลับเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง หยิบควายธนูออกมา เมื่อมันเปล่งแสงสีทอง แสงนั้นก่อตัวเป็นควายวิญญาณที่ดูน่าเกรงขาม กีบเท้าของมันเรืองแสงขณะที่พุ่งเข้าหาโปรเจกเตอร์

สัญลักษณ์ส่องแสงสว่างวาบอีกครั้ง และภาพของครูปรีชาปรากฏขึ้นอีกหน คราวนี้สีหน้าของเขาอ่อนลง ไม่สิ้นหวังเหมือนเดิม

[ฉันแค่อยากให้พวกเขาจดจำความจริงไว้] เขากระซิบ

ควายธนูย่ำกีบลงพื้น เสียงนั้นทำลายการเชื่อมโยงที่เปล่งแสงออกมา โปรเจกเตอร์หรี่แสงลง เสียงกระซิบค่อย ๆ จางหายไปในความเงียบ

Sponsored Ads

———————

ปิดฉาก

เย็นวันนั้น ผมกลับมาที่ร้านด้วยความเหนื่อยล้าแต่พึงพอใจ เสียงหึ่งเบา ๆ ของยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ แทรกผ่านกำแพงร้าน เป็นเครื่องเตือนใจว่าชีวิตยังดำเนินต่อไป โดยไม่รู้ตัวถึงการต่อสู้แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในเงามืด

ผมวางเลนส์โปรเจกเตอร์ที่มีรอยร้าวลงในกล่องกักกัน พร้อมล็อกมันด้วยความระมัดระวัง แสงสลัวจากเลนส์จางลงเล็กน้อย ราวกับมันเองก็กำลังจะเข้าสู่การพักผ่อน

ก่อนปิดกล่อง ผมขีดเขียนบันทึกลงในสมุดบัญชีซ่อม

“เคสพิเศษ: โปรเจกเตอร์ผีสิง – รายละเอียดค่าใช้จ่าย”

  • ตรวจสอบเบื้องต้น: 500 บาท
  • วิเคราะห์และทำลายสัญลักษณ์: 1,200 บาท
  • กักเก็บและปิดผนึก: 1,800 บาท
  • ค่าปรึกษา (โต้ตอบวิญญาณ): 2,000 บาท
  • รวมทั้งหมด: 5,500 บาท

ผมพอใจกับยอดรวม “น่าจะคิดค่าเสียหายทางจิตใจเพิ่มด้วย” ผมพึมพำเบา ๆ

ขณะที่ผมปิดกล่อง ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมเสียงเอี๊ยดตามปกติ

Sponsored Ads

ธนาเดินเข้ามา ในมือถือพานไหว้ครู—ดอกไม้และเทียนจัดไว้อย่างประณีตบนพานเงิน เขายิ้มกว้างเหมือนถูกล็อตเตอรี่

“ดูนี่สิ” เขาพูด พลางยกพานในมืออันหนึ่งขึ้น “พานไหว้ครูชั้นยอดสำหรับเจ้าแห่งเทคโนโลยีปราบผี นายจะบรรยายหัวข้อ ‘วิธีไล่ผีออกจากอุปกรณ์ด้วยหัวแร้ง’ ไหมเนี่ย? เพราะฉันยอมจ่ายเพื่อดูเลยนะ”

ผมกลอกตา “นายไปขโมยของจากงานวันครูมาหรือไง?”

เขาวางพานลงบนเคาน์เตอร์อย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังนำเสนอรางวัล “บอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันทำเองกับมือ เอ่อ… อาจจะขโมยดอกดาวเรืองจากสวนเพื่อนบ้านนิดหน่อย แต่ความตั้งใจสำคัญกว่า”

ผมหยิบเทียนเล่มเล็ก ๆ จากพานขึ้นมา หมุนมันเล่นระหว่างนิ้ว “กัมมุนา วัตตติ โลโก” ผมพูดแผ่วเบา

ธนาขมวดคิ้ว “นั่นหมายความว่าไง? รหัสลับนักปราบผีโบราณเหรอ?”

“มันเป็นภาษาบาลี” ผมตอบ “แปลว่า ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’”

ธนาเอียงหัว ยิ้มกว้างที่เริ่มนุ่มลง “ฟังดูหนักหน่วงดีนะ แต่เหมาะกับวันครูไหม? วิญญาณของครูคงจะชอบ”

ผมยิ้มบางๆ ปลายนิ้วแตะขอบพาน “อาจจะ หรือไม่ก็อาจจะบอกให้เราเลิกยุ่งกับเรื่องที่ไม่เข้าใจ”

“อย่างคาราโอเกะสุดหลอน?” ธนาตอบแทรก

ผมเอื้อมไปหยิบประแจ เขาก้มหลบอย่างรู้งาน หัวเราะพลางถอยไปที่ประตู

“ยอมรับมาซะเถอะ ถ้าฉันไม่มาทำให้ชีวิตนายสนุก นายต้องคิดถึงฉันแน่ ๆ!”

“ออกไป” ผมชี้ไปที่ประตู

Sponsored Ads

ธนาหัวเราะพลางโบกมือร่ำราอย่างเว่อร์วังในขณะที่เขาเดินออกไป พานในมืออีกข้างเกือบหล่น ร้านกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ความหนักหน่วงของวันค่อย ๆ กดทับลงบนอก

ผมมองไปที่กล่องกักกัน ขอบมันส่องแสงเล็กน้อยในแสงสลัว เลนส์โปรเจกเตอร์เต้นเป็นจังหวะเบา ๆ เหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจ จังหวะของมันแผ่วเบาและสม่ำเสมอ

ในขณะที่ผมจ้องมองไปที่มัน เสียงกระซิบก็แว่วเข้ามาที่ขอบสติ—นุ่มนวล เศร้าสร้อย ราวกับความทรงจำ

[ความจริงก็คือความจริง]

คำคำนั้นล่องลอยอยู่ในอากาศ เหมือนควันธูป

ผมหายใจออกช้า ๆ ปิดไฟและล็อกประตู

ด้านนอก ป้ายไฟนีออนหน้าร้านกระพริบเล็กน้อย สาดแสงลงบนถนนที่วุ่นวายในกรุงเทพฯ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป

แต่ขณะที่ผมเดินจากไป น้ำหนักของบทเรียนสุดท้ายของครูปรีชายังคงตามมา เป็นเครื่องเตือนใจอันเงียบงันที่สลักลงในค่ำคืน

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และบทเรียนบางอย่างก็ไม่เคยถูกลืมอย่างแท้จริง