เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังแผ่ว ๆ เหมือนมันมีมารยาทของตัวเอง
Café Sae (세) เป็นร้านที่ดูเหมือนจะเดินช้ากว่าโลกอยู่สิบวินาทีเสมอ ไม่ใช่เงียบ… แค่ตั้งใจ เหมือนร้านที่ไม่ได้พยายามจะดูเก๋ แต่ดันกลายเป็นแบบนั้นเฉย
Sponsored Ads
คุณโอมาก่อนแล้ว เสื้อเชิ้ตขาวแขนพับ ไม่มีเสื้อสูท มีแก้วกาแฟสองใบอยู่ตรงหน้า
หนึ่งในนั้นเลื่อนมาตรงหน้าฉันทันทีที่ฉันนั่งลง
“ไม่ได้เอาสมุดมาด้วยเหรอ?” เขาถาม
“ไม่ได้เอาความคาดหวังมาด้วยเหมือนกัน” ฉันตอบ
เขาพยักหน้าเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า ใช่ นั่นแหละคำตอบที่ควรจะเป็น
“ไม่ได้เรียกมาคุยดีลหรอก” เขาว่า “แค่อยากให้คุณดูอะไรบางอย่าง”
“หรือบางคน?” ฉันถามกลับ
เขาไม่ตอบ
แล้วกระดิ่งก็ดังอีกครั้ง
เธอเดินเข้ามาแบบไม่ต้องเรียกร้องความสนใจ แต่ก็ไม่พยายามจะหลบมันเหมือนกัน แค่…จริง
ไอรี
แจ็คเก็ตยีนส์หลวม ๆ ทับเสื้อยืดลายกราฟิกที่ดูเหมือนผ่านทั้งเครื่องซักผ้าและม็อบประท้วง รองเท้ามีรอยเปื้อนสี ไม่ใช่แฟชั่นแบบตั้งใจ แต่ก็คงไม่เผลอเหมือนกัน
เธอไม่ได้ชะงักตอนเห็นฉัน แค่พยักหน้า แล้วมองไปที่คุณโอ
“ขอเหมือนเดิมนะคะ”
เขาพยักหน้า แล้วเดินไปสั่งเอง เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามฉันอย่างกับโต๊ะนี้มีชื่อเธอติดอยู่ เงียบ แบบสบาย ๆ แต่เหมือนมีไฟฟ้าสถิตอ่อน ๆ อยู่ในอากาศ เหมือนเทปที่ยังไม่เริ่มเพลงใหม่ แต่ยังไม่กดหยุด
“นายคือคนนั้นใช่ไหม” เธอพูดในที่สุด
“ถูกกล่าวหา” ฉันตอบ “ยังอยู่ในช่วงรอหลักฐาน”
“ฉันชอบที่นายไม่ได้พยายามทำให้ฉันฟังดูสวย”
ฉันกะพริบตา “หมายถึง… เดโมน่ะเหรอ?”
เธอพยักหน้า “ส่วนใหญ่มักเขียนเพลงเหมือนฉันต้องยิ้มตอนร้อง หรือต้องหมุนตัว
หรือต้องร้องไห้ให้ตรงจังหวะกล้อง”
“ฉันไม่หมุนตัว” เธอว่าแบบเสียงเรียบ
“รับทราบ” ฉันพยักหน้า “ไม่หมุน”
เธอยิ้มมุมปากนิดนึง “ห้ามอ้อนด้วย ฉันไม่อ้อน”
รอยยิ้มนั้นหายไปเร็วพอ ๆ กับที่มา ไม่ใช่เพราะเธอปิดบัง แค่…ไม่มีเหตุผลต้องเก็บไว้
พอคุณโอถือแก้วของเธอกลับมา เธอก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วพูดเพิ่มอีกหนึ่งประโยค
“ถ้าจะเขียนอะไรใหม่ เขียนให้มันเหมือนฉันจะพูดจริง ๆ ไม่งั้นก็อย่าเขียนเลย”
ฉันหัวเราะเบา ๆ “พูดตรงดีนะ ชอบเลย”
เธอยักไหล่ “ยังดีกว่ายิ้มให้กล้อง”
Sponsored Ads
———————
ไม่มีชื่อเรื่อง มีเพียงหมายเหตุ
เราย้ายโต๊ะ ไม่ใช่เพราะโต๊ะแรกมันแย่ แต่เพราะแสงตรงนี้มันตกลงมาอีกแบบ ไม่สวยขึ้น แต่จริงขึ้น
ฉันหยิบสมุดโน้ตออกมา
เธอไม่ได้มองมัน แต่ก็รู้ว่าฉันหยิบออกมาแล้ว
“ถ้าฉันจะเขียนเพลงให้น่ะนะ…” ฉันว่า พลางเคาะขอบหน้ากระดาษ “เธออยากได้เพลงแบบไหน?”
เธอเลิกคิ้ว “ถ้า?”
“กลไกป้องกันตัวน่ะ” ฉันตอบ “นิสัยเก่า”
“ฟังดูบอบบางดีนะ”
“แต่ก็คุ้นดีเหมือนกัน” เธอยิ้มมุมปาก แล้วมองออกไปนอกร้าน
ฉันชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะถามคำถามที่วนอยู่ในหัวตั้งแต่นั่งรถมา
“อยากให้เป็นเพลงรักไหม?”
คำถามนั้นทำให้เธอหันกลับมามอง
ฉันรีบพูดต่อ ก่อนเธอจะกลอกตา “ก็…เพลงรักมันยังติดชาร์ตง่ายสุดไม่ใช่เหรอ? เพลงบัลลาด เพลงเต้นรำในงานพรอม หรือเอาไว้ร้องไห้คนเดียวหลังจบงานอะไรพวกนั้น”
เธอมองฉันเหมือนฉันเพิ่งยื่นปากกาเม็ดกลิตเตอร์ให้ พร้อมคำว่า “ทำตัวน่ารักหน่อย”
“ถ้าฉันอยากให้คนชอบขนาดนั้น” เธอว่า “คงกลับไปเข้าเชียร์ลีดเดอร์ที่โรงเรียนแล้วล่ะ”
ฉันกระพริบตา
“สรุปคือ…ไม่?”
“ไม่แน่นอน” เธอตอบ แล้วจิบเครื่องดื่มเหมือนกำลังปิดผนึกคำตอบด้วยขี้ผึ้ง
“โอเค” ฉันพูด พลางจดลงสมุด “งั้น…ไม่มีพรอม ไม่มีร้องไห้กลางสายฝน”
“ไม่มีแกล้งรักผู้ชายในเอ็มวีด้วย” เธอเสริม “หรือกับผู้ชายคนไหนก็เถอะ”
ฉันขีดบรรทัดนั้นทิ้ง ถึงจะยังไม่ได้เขียนไว้ก็เถอะ แต่มันเป็นนัยลึก ๆ แหละ
เธอเอนหลังและหลับตาครึ่งหนึ่ง “ขอแค่ให้ฟังเหมือนฉันเดินผ่านซากปรักหักพังมาแล้ว ไม่ใช่ยังยืนอยู่กลางซากอยู่”
“เปรียบเปรยเหรอ?” ฉันถาม
“นั่นแหละชีวิตฉัน”
เข้าใจล่ะ
ฉันนิ่งไปสักพัก ก่อนจะถามอีกคำ
“แล้วแนวเพลงล่ะ? ป๊อปยุค 2000? R&B? หรืออินดี้แนวโลไฟสไตล์สาวเศร้า?”
เธอหัวเราะ หัวเราะจริงจังครั้งแรก
“อะไรก็ได้ ที่ไม่ได้มาพร้อมแผนการตลาด”
ฉันจดคำนั้นไว้ด้วย อาจไม่ได้ใช้ แต่อาจเป็นชื่อเพลงก็ได้
เธอหันกลับมามองฉันอีกครั้ง ไม่ใช่แบบแข็งใส่ แต่ก็ไม่ถึงกับนุ่ม
“ไม่ต้องเขียนให้ฉันเป็นสัญลักษณ์อะไรหรอก” เธอพูด “แค่…อย่าเขียนให้เหมือนฉันแพ้ก็พอ”
คำนั้นติดหัว
ฉันไม่ได้ตอบ แค่พยักหน้าเบา ๆ
เธอลุกออกไปหลังจากนั้นไม่นาน ไม่บอกลา แต่ทิ้งหยดน้ำเกาะอยู่บนโต๊ะเป็นวงกลมที่สมบูรณ์แบบ ฉันนั่งมองมันอยู่สักพัก
ไม่ได้เขียนชื่อเพลง ไม่ได้ร่างคอร์ด ไม่ได้แม้แต่จบประโยคเดิมที่ค้างไว้
แต่ก็รู้สึก…เหมือนมีใครเริ่มร้องท่อนแรกไปแล้ว
…แค่ไม่ใช่ฉัน
Sponsored Ads
———————
ไม่ใช่คนเขียน แต่เป็นคนฟัง
เธอลุกไปก่อนน้ำแข็งจะละลาย ไม่หันกลับมา ไม่เก็บแก้ว
ฉันมองวงน้ำที่เธอทิ้งไว้บนโต๊ะ เหมือนมันจะสอนอะไรบางอย่าง…แต่ไม่ยอมพูด
ฝั่งตรงข้าม คุณโอยังนั่งอยู่นิ่ง ๆ จิบกาแฟเหมือนมันมีเรื่องจะเล่าอยู่ แต่ยังไม่จบประโยค สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมา โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“เธอไม่ใช่คนง่าย”
“ผมก็ไม่ได้คาดว่าเธอจะง่าย”
“นั่นแหละที่ทำให้คุณอาจจะเหมาะ”
ฉันเลิกคิ้ว “แน่ใจเหรอครับ? ผมไม่ได้เป็นที่นิยมอะไรเลยนะช่วงนี้”
“นั่นแหละ” เขาตอบ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามอง
ในน้ำเสียงไม่มีความคาดหวัง ไม่มีความกดดัน มีแค่ความเงียบของคนที่เหมือนกำลังเดิมพันอะไรบางอย่างแบบไม่ส่งเสียง
“ผมไม่ได้ขออะไรที่มันเนี้ยบ” เขาว่า “แค่ร่างคร่าว ๆ ก็พอ ทิศทาง เสียงพูดของเธอ”
“ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเสียงนั้นมันเป็นยังไง”
“คุณไม่จำเป็นต้องแน่ใจ” เขาตอบ “คุณแค่นั่งฟังก็พอ”
ฉันพยักหน้า ครึ่งหนึ่งให้เขา อีกครึ่งให้ตัวเอง
จากนั้นเขาก็พูดเหมือนแค่บันทึกบรรทัดท้ายบัญชี
“เรทเดิมนะ 15,000 สำหรับเดโมแรก เมโลดี้กับเนื้อร้อง ถ้าเพลงได้ผลิต มีโบนัสเพิ่มอีก 5,000 ส่วนแบ่ง 3% จากยอดขายสุทธิ ให้เครดิตเต็มในฐานะคนแต่งและคนเขียนเนื้อ”
ฉันยังไม่ตอบทันที ไม่ใช่เพราะมีคำถาม แต่เพราะครั้งแรกในรอบหลายเดือน ตัวเลขไม่ได้สำคัญกว่าน้ำเสียง
“ตกลงครับ” ฉันพูดในที่สุด “แต่อาจไม่เร็วเท่าไหร่”
“ดีแล้ว” เขาตอบ “เราไม่ได้รีบ แค่อย่าเขียนเหมือนคนกำลังเร่ง”
เขาลุกขึ้น จัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้ววางเงินไว้บนโต๊ะมากพอสำหรับกาแฟสามแก้ว กับอีกแก้วที่ไม่มีใครสั่ง
ฉันก้มมองสมุดโน้ตอีกครั้ง
ยังไม่มีเนื้อเพลง มีแต่วงน้ำกลม ๆ กับประโยคที่ยังไม่เกิด
บางทีแค่นั้นก็พอแล้ว…สำหรับวันนี้
—
ลาเต้จะเข้าใจฉากนี้ไหม? ฉันไม่แน่ใจ แต่ถ้าเขานั่งอยู่ตรงนี้ เขาคงแค่นั่งนิ่ง ๆ มองฉันเหมือนจะพูดว่า อย่าเขียนให้คนฟัง เขียนให้คนร้องฟังก่อน
Sponsored Ads
———————
เสียงที่ฉันไม่ต้องถือไว้
ช่วงบ่ายของวันนั้น Café Sae ไม่ค่อยมีคน
มีภาพวาดที่ยังวาดไม่เสร็จบนผนัง มีขนมปังปิ้งยังไม่แตะวางอยู่หลังเคาน์เตอร์ แล้วก็มีเพลงแจ๊สที่วนลูปแทร็กเดิมเป็นรอบที่สอง
ฉันนั่งอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่
สมุดโน้ตเปิดอยู่ตรงหน้า แต่หน้ากระดาษยังว่างเปล่า ปากกากลิ้งไปทางซ้ายทุกครั้งที่ฉันเอนตัวราวกับมันอยากถูกใช้งานมากกว่าฉันอยากเขียน
เธอออกไปหลายชั่วโมงแล้ว
ไอรี
เธอไม่ได้เอาแก้วไป ไม่ได้พูดอะไรไว้ แต่ความเงียบของเธอไม่ใช่ความว่างเปล่า
มันมี…น้ำหนัก
—
เซย์เดินผ่านมาพร้อมผ้าเช็ดโต๊ะ แล้วเช็ดโต๊ะข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร แต่ก็เหลือบมองแก้วที่ฉันยังไม่ได้แตะ
“ยังอุ่นอยู่นะ” ฉันพูดกับตัวเองมากกว่า เธอพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์
ฉันมองรอยหยดน้ำที่ไอรีทิ้งไว้ มันเกือบจะเป็นวงกลมสมบูรณ์ เหมือนอะไรบางอย่างเพิ่งลงจอด …แต่ยังไม่บินจากไป
—
ในที่สุดฉันก็ปิดสมุดลง
ไม่มีเนื้อเพลง แต่มีบางอย่าง ไม่ใช่ทำนอง ไม่ใช่จังหวะ
แค่…ความรู้สึก
เหมือนปลายเท้าที่วางบนหินก้อนแรกของกำแพง เหมือนคำถามที่ยังไม่ทันได้พูดจบ
บางที เพลงนี้อาจไม่ได้เกี่ยวกับความรัก หรือการสูญเสีย หรือแม้แต่เธอ บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับใครบางคน ที่ยืนอยู่ตรงขอบ แล้วพูดว่า
“ถ้าเกิดว่า…?”
ฉันไม่ได้จดประโยคนั้นลงไป แต่ก็ไม่ได้ลืมมันเหมือนกัน
Sponsored Ads