รถไฟออกจากเชียงใหม่มาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เรากำลังไต่ระดับขึ้นไป ไม่ใช่แค่ระดับความสูง แต่ระดับความทรงจำด้วย
Sponsored Ads
แนวสันเขาเริ่มชัดเจนขึ้น ต้นสนค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยหน้าผา และหุบเขาแคบ ๆ ที่ม้วนตัวเหมือนปอดสีเขียวชัน
พวกเขาเรียกเส้นทางช่วงนี้ว่า “แนวสันหลังภาคเหนือ” นักวางแผนของ RB51 ชอบชื่อนี้นัก ฟังดูมีพลัง เป็นภาพจำของชาติ
ป้ายในโบกี้ 2A เขียนไว้ว่า:
“North Freedom Line – สร้างเสร็จในปี 1997 โดยความร่วมมือด้านวิศวกรรมไทย–อเมริกัน มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงจังหวัดชายแดนเข้ากับเมืองหลวง และเสริมสร้างเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ อัตลักษณ์ และการเดินทาง”
ซึ่งจริง ๆ ก็คือคำพูดหรู ๆ แปลว่า “เราต้องหาวิธีรั้งเชียงรายให้อยู่ใกล้ ๆ หน่อย”
ตอนเรียนมัธยม พวกเราถูกสอนว่าสายนี้คือ “ปาฏิหาริย์แห่งเจตจำนงร่วม” ไม่มีใครพูดถึงการประท้วง ไม่มีใครพูดถึงชาวบ้านที่เสียที่นา หรือพระที่เอาตัวเองไปล่ามกับต้นสัก
ฉันเคยอ่านฉบับซีร็อกซ์ของนิตยสารเล่มหนึ่งที่เรียกมันว่า
“รถไฟที่แลกมากับต้นสัก และผืนป่าที่ไม่มีใครจดชื่อมันไว้ในสัญญา”
ฉันเคยเห็นบันทึกใต้ดินเล่มหนึ่งเขียนไว้แบบนั้น ฉันซ่อนไว้ในกล่องกีตาร์ แล้วมันก็หายไปพร้อมเสียงป่าในแผนร่างฉบับแรกของเส้นทางรถไฟ
ลาเต้ขยับตัวเบา ๆ ข้างฉัน หูของเขากระตุกตามเสียงสะท้อนจากอุโมงค์ เขาไม่ใช่สัตว์ที่เกิดมาเพื่อภูเขา แต่พูดตามตรง ฉันก็ไม่ใช่เหมือนกัน
“ขณะนี้ขบวนเข้าสู่ช่วงดอยสะเก็ด – กรุณารัดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย…”
ฉันดึงเข็มขัดนิรภัย ยกลาเต้ขึ้นมาวางบนตัก เขาทิ้งตัวลงมาเหมือนถุงขนฟูที่เต็มไปด้วยความระแวง
ด้านนอกมีสถานีเล็ก ๆ วูบผ่านไป แยกสันกำแพง ไม่รู้ทำไม… แต่นั่นแหละ ตรงโค้งนั้นแหละ ที่มันสะกิดความทรงจำขึ้นมา
สิบเจ็ด ไม่สิ… สิบแปด วันถัดจากการจบ ม.6 หรืออย่างน้อย…มัน ควรจะเป็นแบบนั้น
ฉันไม่แน่ใจนัก ว่าความทรงจำตรงนี้มาจาก “ชีวิตเดิม” หรือเป็นแค่เส้นเรื่องที่ฉันฝันซ้ำจนมันติดอยู่ในตัว
บางที… มันอาจเป็นของใครบางคนที่ชื่อเดียวกับฉัน แต่ที่แน่ ๆ คือฉันเชื่อมัน เหมือนเพลงที่เราเคยได้ยินในฝัน แล้วตื่นมายังร้องได้ทั้งที่ไม่เคยมีอยู่จริง
ฉันจำได้ว่ามีเสื้อสองตัว ตั๋วรถทัวร์หนึ่งใบ กับสมุดโน้ตที่มีเพลงแต่งครึ่งเดียวสิบเพลงและฉันคิดว่า… แค่นั้นก็พอแล้ว
ฉันนั่งสองแถวลงจากเวียงป่าเป้า ต่อรถที่เชียงราย รอรถทัวร์กรุงเทพฯ ที่พัดลมเสียไปห้าชั่วโมง
มีลุงแก่ ๆ คนนึงนั่งข้างฉัน เขามองกระเป๋าแล้วพูดว่า
“กรุงเทพฯ ไม่ได้รับคนทุกคนหรอกนะ ไอ้หนู”
ฉันตอบไปว่า “ผมไม่ใช่ทุกคนครับ”
สุดท้าย… ปรากฏว่าฉันน้อยกว่าทุกคนอีก
รถไฟเอียงไปตามสันเขาสูง แนวต้นไม้กลายเป็นเงาทางตั้งชัน รอยเปื้อนที่กระจกทำให้ภูเขาดูเหมือนความทรงจำ หรือคำเตือน
เคยมีครูคนนึงพูดไว้
“เส้นทางนี้มีไว้ให้คนกรุงเข้าใจว่าภาคเหนือไม่ใช่สนามหญ้าหลังบ้านของเขา”
หลังจากนั้นเขาก็ถูกย้ายไปโรงเรียนในอำเภอไกล ๆ และเราไม่เคยได้ข่าวเขาอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้น… เส้นทางรถไฟเส้นนี้ก็ยังสวย ทั้งที่มันเคยถูกลบ เปลี่ยน ย้าย ทับรากอะไรบางอย่างไว้ด้วยปูน แสงเย็นของเย็นวันนั้น กลับทำให้มันดูศักดิ์สิทธิ์อย่างประหลาด
ฉันไม่ได้ถ่ายรูป ไม่อยากเสี่ยงทำให้มันกลายเป็นแค่ภาพแบน ๆ ในกรอบสี่เหลี่ยม
ลาเต้หายใจช้า ๆ บนต้นขาของฉัน หนัก อุ่น อยู่ตรงนี้ และ… ฉันก็อยู่ตรงนี้เหมือนกัน
Sponsored Ads
———————
กระดูกสันหลังใต้รางเหล็ก
ทิวทัศน์เปลี่ยนไปอีกครั้ง สันเขาแหลมคมขึ้น ริมผาแคบลง และความเงียบที่ได้ยิน…
ไม่ได้มาจากรถไฟชะลอความเร็วลง แต่มาจากผืนดินที่อยากให้ฟัง
ตรงนี้ไม่ใช่ส่วนที่พวกเขาใส่ไว้อยู่ในโบรชัวร์ท่องเที่ยว ไม่มีดนตรีแจ๊ส ไม่มีเพดานกระจก มีแค่หน้าผาที่แลกมาด้วยต้นทุนสูงเกินไป และชื่อของใครบางคนที่ไม่มีใครจำได้แล้ว
เมื่อเช้า ฉันโพสต์ “นิราศรถไฟ” ไว้ในบอร์ดวรรณกรรม บทกวีแบบอ่อนโยน ละเมียดละไม เคารพในทางเดิน
คนชอบอยู่บ้าง บางคน มีคอมเมนต์นิรนามอันหนึ่งบอกว่า “งดงามแบบรถไฟท่องเที่ยว” แต่ช่วงนี้ของการเดินทาง… มันไม่ใช่แบบนั้น และฉันก็ยังไม่จบ
ลาเต้เหยียดตัวอยู่ข้าง ๆ อุ้งเท้ากดลงบนทัชแพดพอดี เหมือนบรรณาธิการที่ไม่เต็มใจ
ฉันเปิดสมุดขึ้นมาอีกครั้ง พิมพ์หัวข้อโดยไม่ต้องคิดนาน
📖 “อากูกรรมกร ไหล่บ่าคลอนจนลู่หลัง
เหงื่อหยดกี่หยาดหลั่ง ไหลถะถั่งเคล้าคลุกดิน
เลือดเนื้อแรงถาทุ่ม กระดูกหุ้มเนื้อจำดิ้น
กัดก้อนเกลือกันกิน เหงื่อไหลรินรสเค็มปร่า
ชีวิตที่ทับถม มิใช่ตมอันไร้ค่า
เป็นทรัพย์อันคณา สร้างโลกหน้าให้วิไล
แต่กฎอันกดขี่ มือยาวที่สาวเอาได้
ตัวรอดเป็นยอดใคร อ้างมาใช้การบีฑา
แววตาสีเหล็กนิน มีหรือสิ้นหวังข้างหน้า
ทนกายใจฟันฝ่า ใช่ขี้ข้าจะยอมใคร
จักกู่ตะโกนก้อง จักเรียกร้องความเป็นไท
ปลดทุกข์ที่สุมใจ ทั้งทุกข์กายที่ถูกโกง”
ฉันโพสต์มันด้วยชื่อ กวีในเงามืด
ไม่ใช่ภาคต่อ ไม่ใช่คำตอบโต้ มันเหมือน… ลมหายใจที่สอง แบบที่ครั้งแรกยังลึกไม่พอ
ไม่มีแท็ก ไม่มีคำอธิบาย มีแค่หนึ่งบรรทัดใต้บทกลอน:
“แด่ผู้ที่สลักทางรถไฟนี้ไว้ด้วยหลังเปลือย และไม่เคยได้โดยสารกลับ”
ไม่มีคอมเมนต์ ไม่มีแจ้งเตือน แต่บทกวีก็อยู่ตรงนั้น เคียงข้างกับนิราศในตอนเช้า เสียงสองเสียง จากขบวนเดียวกัน
ลาเต้ปีนขึ้นมา หาวกว้าง แล้วใช้หางปัดปากกาที่ฉันไม่ได้แตะทั้งวันตกลงพื้น
รถไฟยังวิ่ง ฉันยังคงเขียนต่อ
แค่… ไม่ใช่ในรูปของเพลงอีกต่อไป
Sponsored Ads
———————
ตู้โดยสารในความทรงจำ
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลับ
แต่เสียงฮัมจากราง อากาศเย็นในตู้โดยสาร กับลาเต้ที่แผ่ตัวเต็มตักราวกับขนมปังหน้าแมว มันทำสิ่งที่รายการทีวีดึก ๆ กับงานด่วนทำไม่ได้
มันทำให้ฉันเงียบ
คงเผลอไปแค่ไม่กี่นาที เพราะตอนลืมตาขึ้น ขอบสันเขายังอยู่ที่เดิม แต่ความฝันเปลี่ยนไปแล้ว
บางที ความทรงจำเก่าก็ไม่เคาะประตู มันแทรกตัวเข้ามาพร้อมเสียงเหล็กเสียดกัน
“คนบ้านนอกไม่มีทางทำเพลงได้หรอก…”
เสียงนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่เสียงเย้ย ไม่ใช่เสียงโกรธ แค่…เสียงเรียบ ๆ เหมือนรองเท้าขูดคอนกรีต เหมือนคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องพูดดัง ก็ “ถูก” อยู่แล้ว
พี่วัฒน์เป็นแบบนั้นมาตลอด ครูที่ไม่ต้องมีห้องเรียน พี่ชายที่ไม่ต้องตะโกน เพราะความเงียบของเขาแหลมคมกว่าอะไรทั้งสิ้น
แปลกดีนะ… บางครั้งฉันจำภาพพวกนี้ได้ชัดเจนกว่าฝันเมื่อคืน แต่พอจะย้อนถามตัวเองจริง ๆ ว่า “เคยเกิดขึ้นในโลกนี้หรือเปล่า?”
ฉันกลับไม่กล้ายืนยัน
บางความทรงจำเหมือนมาจากคนอื่น คนที่ใช้ชื่อเดียวกัน เดินทางเส้นทางเดียวกัน แต่ไม่แน่ใจว่าเคยอยู่ตรงนี้จริงหรือไม่ และเมื่อยิ่งฉันใกล้บ้านมากขึ้น…ฉันกลับยิ่งเชื่อว่าความทรงจำนั้น เป็นของฉันเอง ไม่ใช่เพราะมันเกิดขึ้น แต่เพราะฉัน ต้องการให้มันเคยเกิดขึ้น
ฉันจำคืนที่ออกจากบ้านได้ ในมือข้างหนึ่งมีจดหมายทุน อีกข้างถือกระเป๋าเดินทางมือสองไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง และฉันรู้สึกประหม่ามากพอจะปลุกหมาในหมู่บ้าน
พ่อพยักหน้าทีหนึ่ง ไม่พูดอะไร แม่ร้องไห้เงียบ ๆ แบบที่ค้างอยู่ในอก แต่พี่วัฒน์? เขาหันจากกองข้าวสาร แล้วพูดว่า “ถ้าไป…ก็ไปเลยนะ อย่ากลับมาทำเป็นฮีโร่ทีหลัง.”
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเหน็บแนม แค่…แบบนั้น ประโยคที่เหมือนขดลวดรัดกระดูกสันหลัง แล้วอยู่กับฉันมาทุกปี
ลาเต้ขยับตัว อุ้งเท้าเขาแตะลงบนสมุดเหมือนจะบอกว่า พอเถอะ
“ไม่ต้องห่วง” ฉันบอก “ไอ้ส่วนนั้นพิมพ์ไม่ลงอยู่แล้ว”
แล้วก็แป้ง พระเจ้า… แป้ง ตอนนั้นเธอน่าจะสิบเอ็ดใช่ไหม?
เด็กผู้หญิงที่มัดแกละไม่เท่ากัน มักมีคราบหญ้าที่หัวเข่า ฟังเทปคาสเซ็ตท์ที่เก็บมาจากตลาดเช้าแบบไม่รู้จักคนร้อง ไม่ใช่นักร้องดังหรอก ยังไม่ใช่ตอนนั้น แค่เสียงผู้หญิงในซอยร้องเพลงเศร้าใส่เครื่องคาราโอเกะราคาถูก เพลงแบบ “รักที่ปิดเทอม” หรือ “อย่าทิ้งฉันตอนสอบปลายภาค”
เธอเก็บเทปใบนั้นไว้ใต้หมอน เหมือนเป็นความลับที่ไม่อยากให้ควายได้ยิน
ครั้งหนึ่ง ฉันแอบอัดทับเทปใบนั้น ไม่ได้บอก ไม่ได้ขออนุญาต แค่อัดเสียงตัวเองลงไปแทน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุดว่า
“ขออภัย…ศิลปินหญิงเจ้าของเสียงได้ลาออกจากวงการไปปฏิบัติธรรม โปรดติดตามเทปธรรมะในปีถัดไป”
ฉันคิดว่ามันขำมาก เธอไม่คิดแบบนั้น เธองอนฉันสามวัน แล้วเอาน้ำเงี้ยวมาแทนแชมพูฉัน
ยุติธรรมดี
รถไฟเริ่มไต่ระดับขึ้นอีกครั้ง โค้งแหลมขึ้นนิด เสียงสูงขึ้นหน่อย แม่ขะจาน จะเป็นสถานีต่อไป แล้วหลังจากนั้น…เวียงป่าเป้า
ฉันมองลาเต้ ยังหลับอยู่ หางขยับเหมือนฝันถึงหนูผีในอีกมิติ เขาไม่รู้หรอกว่าเรากำลังกลับบ้าน
ว่าไป…ฉันเองก็ไม่แน่ใจนัก
“ฉันไม่เคยพูดถึงวัฒน์กับแป้งเลยเหรอ?”
ฉันพูดออกมาดัง ๆ ไม่ใช่กับลาเต้ ไม่ใช่กับรถไฟ แต่กับตัวเอง เหมือนคนที่แค่ต้องการพิสูจน์ว่าเสียงตัวเองยังอยู่
“แน่ล่ะสิ…ฉันหนีจากบ้านนี้มาเกือบเจ็ดปี ถ้าฉันเริ่มพูดถึงพวกเขา ฉันอาจจะเลิกเขียนเพลงไปเลยก็ได้…”
ไฟในตู้กะพริบหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ไฟดับ แค่สัญญาณเตือน เวียงป่าเป้าใกล้เข้ามาแล้ว และฉัน…ยังไม่มีวรรคไหนที่คล้องจังหวะกับชื่อนั้นได้เลย
Sponsored Ads
———————
ชานชาลา
เขาไม่ได้รออยู่ที่ม้านั่ง เขายืน มือไพล่หลัง เท้าข้างหนึ่งเคาะพื้นคอนกรีต ตามจังหวะที่มีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยิน
สถานีไม่ใหญ่โตอะไร มีแค่ม้านั่งสองตัว เงาทอดยาวหนึ่งเส้น กับลำโพงที่ชอบแตกเฉพาะตอนออกเสียงสระ
“ขบวน 197 สาย North Freedom Line พ่วงพิเศษ ‘สัตว์เลี้ยง’ กำลังเข้าสู่ชานชาลา 1
Chiang Rai Civic Terminal — ปลายทางถัดไป สถานีเวียงป่าเป้า”
วัฒน์ไม่กระพริบตา เขาเห็นแสงไฟหน้ารถก่อนใครจะขยับตัวด้วยซ้ำ
เขาไม่ก้าวไปข้างหน้า ไม่ยิ้ม แค่เอียงศีรษะเล็กน้อย เหมือนกำลังทบทวนว่า ผ่านมาเจ็ดปีจริงหรือเปล่า
ประตูรถไฟเปิดออก
ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีธงโบก
แค่ชายคนหนึ่งในเสื้อฮู้ดสีซีดก้าวลงมา สะพายเป้ ถือกระเป๋าผ้าในมือข้างหนึ่ง… กับกระเป๋าแคบซูลแมวอีกข้าง
หนึ่งจังหวะผ่านไป แล้วก็อีกหนึ่ง
วัฒน์พูดก่อน
“มึงเลี้ยงแมวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
กรณ์เงยหน้าขึ้น ยังหอบเล็กน้อยจากการเดินลงบันได
“นานแล้ว…คบกันอยู่ ขี้บ่นกว่าแฟนอีก”
ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนั้น ใต้แสงเย็นของสถานีรถไฟเล็ก ๆ ที่รถไฟไม่ค่อยมาหยุด และครอบครัวไม่ค่อยได้เจอกันด้วยความเงียบ
วัฒน์พยักหน้าเบา ๆ สายตามองไล่จากกระเป๋า ใบหน้า ไปถึงความเหนื่อยล้า แล้วก็ถามขึ้นมา เสียงเรียบ ไม่ทอดอารมณ์
“ที่ทำอยู่น่ะ…เรียกว่างานเหรอ?” ไม่ใช่ประชด ไม่ใช่ตัดสิน แค่คำถามหนึ่ง ที่รออยู่ในผนังบ้านมาหลายปี
กรณ์ไม่ตอบ
เขาล้วงเป้ หยิบถุงหมูย่างลายคราม มีสติกเกอร์เขียนว่า “State 51 Premium Local” ยื่นให้ เหมือนข้อแลกเปลี่ยน เหมือนมุกตลก เหมือนคนที่ยังไม่แน่ใจว่ามันตลกหรือโง่ และอาจเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มเชื่อ… ว่าการกลับมาแบบไม่พูดอะไรเลย อาจเป็นคำขอโทษที่บ้านนี้เข้าใจดีที่สุด
วัฒน์รับไว้ ไม่พูดขอบคุณ แต่ใช้สองมือประคองไว้แน่น เหมือนมันหนักกว่าที่เห็น
แล้วเขาหันหลังกลับ ไม่มีคำประกาศ ไม่มีคำต้อนรับ แค่พูดว่า
“รถจอดข้างหลัง รีบขึ้นเถอะ เดี๋ยวแม่จะบ่นว่าหิว.”
ลาเต้ร้อง เหมียว หนึ่งครั้ง เสียงมันดังกว่ารถไฟทั้งขบวน
Sponsored Ads
“อากูกรรมกร” (2515)
รวี โดมพระจันทร์