บางอย่างในตัวฉันจำเส้นทางบ้านนี้ได้ ทั้งที่อาจไม่เคยก้าวผ่านมันจริง ๆ แต่เมื่อเท้าแตะพื้นหญ้า และกลิ่นใบมะขามตีกลับเข้าจมูก ฉันก็เริ่มเชื่อว่าความทรงจำบางอย่าง ไม่ต้องอิงจากประสบการณ์ แค่ต้องการให้มันเคยเกิดขึ้น ก็เพียงพอจะกลับมา
Sponsored Ads
ประตูก็ยังอยู่ตรงนั้น มันไม่เคยล็อกสนิท ไม่แม้แต่ตอนที่ฉันแอบหนีออกจากบ้านตอนสิบเจ็ด ไม่แม้แต่ตอนที่น้ำแข็งใสทะเล่อทะล่าเดินออกไปจนเกือบตกบ่อ และแน่นอน…คืนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม และตอนนี้ที่ชายคนหนึ่งกับกระเป๋าใบเล็กเกินตัว และแมวอ้วนเกินมาตรฐาน เดินย้อนกลับมาเหมือนไปซื้อซีอิ๊วแล้วเพิ่งนึกได้ว่าลืมของ
พี่วัฒน์ไม่พูดอะไรขณะไฟหน้ารถกวาดผ่านเฉลียง รถกระบะของเขาค่อย ๆ คลานเข้าที่
ด้วยเสียงครางแบบ “ไม่พัง แต่ก็ไม่ได้อยากอยู่” ฉันนึกว่าเดี๋ยวมันคงไอแค่ก ๆ ประท้วงตอนดับเครื่อง
“แม่ยังไม่นอน” เขาพูดเบา ๆ
ฉันกะพริบตา “ก็สองทุ่มแล้ว…”
เขาไม่ตอบ กลับลงรถแล้วปิดประตูดัง ‘ปั้ง’ แบบที่ไม่ใช่โกรธ แต่เหมือนอยากให้เสียงนั้นพูดแทนประโยคที่ไม่อยากเสียค่าน้ำมันถ้อยคำ
ฉันยกกระเป๋าแคปซูลลาเต้ขึ้น เจ้าแมวอ้วยในนั้นขยับตัวแรงเกินเหตุ เหมือนจะบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ชีวิตบ้านสวน และไม่มีแผนจะปรับตัว แววตาเขาเต็มไปด้วยการพิพากษาแบบแมว ๆ เมื่อถูกลากมาอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่น กลิ่นยางไม้ และความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ยังไม่มีใครพูดถึง
“กลิ่นต้นหญ้า…เฮ้อ”
ถ้าแม้แต่แมวจะถอนหายใจได้ เขาก็เพิ่งทำไป
เราผ่านสายยางที่ขดตัวเหมือนงูเบื่อโลก ผ่านรองเท้าแตะที่ฉันเคยถอดทิ้งไว้ใต้ต้นมะขามเมื่อเจ็ดปีก่อน (มันยังอยู่ตรงนั้น) มุ่งตรงไปยังแสงไฟห้องครัวริบ ๆ ไฟหลอดเดียวในบ้านที่ไม่เคยดับ เหมือนเทพเจ้าประจำบ้านที่ไม่มีใครกล้าเปลี่ยน
กลิ่นในอากาศคือขิงต้ม ยากันยุง และฝนที่ขู่จะตกมา 3 วัน แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจ
พี่วัฒน์เดินนำ ช้า หนักแน่น เหมือนรถที่เข้าเกียร์ว่าง
เขาเปิดประตูบ้าน
ไม่มีคำพูด มีแค่เสียงเอี๊ยดของบานพับ ที่ฉันจำได้ดีตั้งแต่เด็ก เสียงที่ทำให้ฉันรู้ว่า กรุงเทพฯ อภิวัฒน์ไม่มีอะไรดังเอี๊ยดอ๊าดอีกแล้ว ที่นั่น ทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติ บีบอัด หรือไร้เสียง
แต่ที่นี่ ทุกเสียงเหมือนมีความทรงจำติดมาด้วย
Sponsored Ads
———————
มะระยัดไส้ ม่านความเงียบ และแมวหนึ่งตัว
ห้องครัวก็ยังเหมือนเดิม
พื้นกระเบื้องลายแตก ๆ ชั้นวางจานไม้ไผ่ หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่กระพริบเหมือนกำลังจะตายแต่ยังลังเลอยู่
และแม่ฉัน นั่งอยู่ปลายโต๊ะ กับชามต้มจืดที่ดูเหมือนทำขึ้นมาด้วยนิสัยมากกว่าความหิว
เธอเงยหน้าขึ้นมาแบบคนที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องแต่ฝนไม่ตก งง ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าเสียงเมื่อกี้เป็นจริงหรือแค่คิดไปเอง
“…ลูกดูซูบไปนะ” เธอว่า ไม่ใช่น้ำเสียงตำหนิหรอก มันเป็นอะไรที่เบากว่านั้น เหมือนคำวินิจฉัยที่มาจากหมอกลิ่นเครื่องแกงเก่า ๆ กับความเงียบเก่า ๆ ยิ่งกว่า
“กินอะไรมายัง?” เธอถาม พลางลุกไปตักต้มจืดใส่ถ้วยให้
ฉันไม่ได้ตอบ เธอไม่รอคำตอบด้วยซ้ำ ข้าวก็ตักแล้ว ต้มจืดก็อุ่นแล้ว ช้อนก็วางตรงตำแหน่งเป๊ะ ๆ เหมือนเป็นพิธีกรรมที่ไม่มีใครกล้าเปลี่ยนลำดับ
“แม่—” ฉันพยายามพูด แต่ประโยคมันก็ติดอยู่ตรงรันเวย์นั่นแหละ
เธอไม่ถามว่าฉันหายไปไหนมา เธอไม่ได้ถามเรื่องเงินกู้หรือเพลง แต่เธอถามว่าฉันเรียนจบหรือยัง ฉันทำงานอยู่หรือเปล่า ฉันกินอาหารจริงหรือเปล่า เธอไม่ได้ถามว่าฉันซื้อตั๋วได้ยังไง แค่เธอเอาข้าวสวยออกมา แล้วถามว่า
“แมวนี่ชื่ออะไร?”
ฉันหันไปมองลาเต้ ที่ดูเหมือนตัดสินใจแล้วว่าพื้นครัวบ้านสวนต่ำต้อยเกินกว่าจะยอมเหยียบ เขายังนอนครึ่งตัวอยู่ในกระเป๋าแคปซูล หางกระดิกเบา ๆ เหมือนเมโทรโนมแห่งการตัดสิน
“ลาเต้ครับ”
แม่หรี่ตา “ชื่อฝรั่งจัง…”
“แมวกรุงเทพฯ นี่ครับ แม่”
เธอพยักหน้าเหมือนนั่นคือคำอธิบายครบถ้วน ซึ่งก็คงใช่
“ตัวผู้เหรอ?”
“ครับ ทำหมันแล้วด้วย”
เธอมองอีกที “อ้วนดีเนอะ”
“ไม่อ้วนครับ เขา… อ่อนไหวทางอารมณ์”
แม่หัวเราะเบา ๆ แบบที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองหัวเราะได้ไหม หรือไม่ก็เก็บเสียงไว้ใช้กับเรื่องจริงจังกว่านี้ในอนาคต
เรากินข้าวกันในความเงียบที่ไม่ได้ว่างเปล่า มันเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครอยากถาม
และคำตอบที่ไม่มีใครอยากแกะคืนนี้
ต้มจืดในถ้วยเป็นมะระยัดไส้หมู นุ่มพอจะใช้ช้อนตักได้โดยไม่ออกแรง แต่ขมพอจะทำให้นึกถึงการเป็นผู้ใหญ่
ลาเต้ค่อย ๆ ออกมาจากกระเป๋าแคปซูล เดินวนรอบโต๊ะหนึ่งรอบ ดมโคนกระปุกข้าวสาร
ก่อนจะไปนอนขดข้างตู้เย็นเหมือนประกาศอาณาเขต
แม่มองเขาอีกครั้ง แล้วพูดเบา ๆ เหมือนคุยกับตัวเอง
“ขนดูนิ่มดีเนอะ… เหมือนพรมที่ขายในห้างใหญ่ ๆ”
Sponsored Ads
———————
ห้องที่ลืมฉันไปแล้ว
ประตูยังมีสติกเกอร์เก่าติดอยู่ “ถ้ำของกรณ์ – ห้ามเข้า ถ้าไม่มีรหัสผ่าน” แต่ตอนนี้…แม้แต่ฉันก็จำรหัสนั้นไม่ได้แล้ว
แม่ไขกุญแจให้พร้อมรอยยิ้มแบบว่า “มันก็ยังเป็นของลูกนะ” แต่การเปิดประตูครั้งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังงัดห้องเก็บของของคนแปลกหน้า
กล่องกระดาษท่วมหัวคือสิ่งแรกที่ต้อนรับ ชั้นพลาสติกพิงผนังเหมือนคนวัยกลางคนที่หมดแรง มีถุงข้าวสารหนึ่งใบ กล่องเขียนว่า “ของตกแต่งปีใหม่ 2542” และกีตาร์ตัวเก่าของฉัน จมอยู่ใต้กองเอกสารราชการ
ลาเต้เดินดุ่ย ๆ เข้ามา ดมตรงมุมห้อง ก่อนจะหันมามองฉันด้วยสายตาแบบแมวเมืองที่เต็มไปด้วยคำถามว่า นี่เหรอ? ห้องเหรอ?
ฉันนั่งลงบนฟูกพับที่แม่คงเพิ่งปูไว้ไม่กี่นาทีก่อน มีหมอนใบหนึ่งด้วย แต่กลิ่นมันปนระหว่างมะลิ ยากันยุง และอะไรบางอย่างที่อาจเป็น…ความรู้สึกผิดพลาด
เมื่อก่อนฉันเคยแต่งเพลงในห้องนี้ เคยเชื่อว่าเสียงดนตรีจะพาฉันออกไปได้ เคยเถียงกับพี่ชายเรื่องที่ว่า “คนบ้านนอกจะมีวันที่หลุดพ้นจากฉากหลังได้ไหม”
สรุป: ฉันออกไป เขาอยู่ต่อ ไม่มีใครชนะ
บางทีสิ่งที่นอนอยู่ตรงนี้ตอนนี้…ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว อาจมีอีกคนซ้อนทับอยู่ คนที่เคยหลับบนเตียงในเมืองที่ไม่มีมะลิ กับอีกคนที่เคยตื่นกลางดึกในโลกที่เงียบกว่านี้ เรากำลังนอนฟังเพดานเดียวกัน โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของฝั
ผนังยังมีรอยเทปเก่า ๆ น่าจะมาจากโปสเตอร์ Final Fantasy VII ที่ฉันซื้อเถื่อนมา ลิ้นชักแน่นไปด้วยสายพ่วง ปลอกเทปแตก ๆ และอะไรบางอย่างที่อาจจะเคยเป็นไฟประดับคริสต์มาส แม้แต่พัดลมเพดานก็ดูเหมือนเบื่อจะหมุนไปตามฤดูของคนอื่น
ฉันเอื้อมไปหยิบกีตาร์ สายขึ้นสนิม คอกีตาร์เบี้ยวเล็กน้อย พูดตรงๆ ว่าเป็นการเปรียบเทียบที่สมบูรณ์แบบที่ยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องตั้งใจ
ลาเต้ไปนอนขดทับผ้าหุ่มที่ปลายเท้า เหมือนจะบอกว่า แกนอนในกล่องของแก ฉันนอนของฉัน ต่างคนต่างอยู่
ฉันเอนหลังลงบนฟูก เพดานไม้เก่า ๆ ยังเหมือนตอนเรียนมัธยม ตอนนั้นฉันนอนมองมัน พร้อมฝันถึงเวที เสียงปรบมือ และอิสรภาพ แต่ตอนนี้ฉันนอนมองมัน พร้อมสงสัยว่าฉันเคยทิ้งอะไรไว้ที่นี่… หรือแค่หนีเร็วเกินกว่าจะรู้ว่าทิ้งอะไรไปบ้าง
ไม่มีใครเปลี่ยนกลอนประตู แต่มันก็ยังให้ความรู้สึกว่า…ฉันไม่มีลูกกุญแจอยู่ดี
ฉันเลยปล่อยประตูเปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง เผื่อว่าเศษเสี้ยวของตัวฉันที่เคยอยู่ที่นี่…
จะเดินกลับเข้ามาเอง
Sponsored Ads
———————
กะละมัง ค้างคาว และหมอน
ลาเต้ไม่ตามฉันออกมา
ตอนฉันลุกขึ้น คว้าผ้าเช็ดตัวกับตะกร้าอุปกรณ์อาบน้ำเก่า เขามองจากบนผ้าห่มพับเหมือนเป็นเจ้าของตึกแถว สีหน้าบอกหมดว่า สนุกกับพวกแมลงไปเถอะนะ ฉันจะอยู่ตรงนี้ ที่ที่มีหลังคา
ลานหลังบ้านมืดในแบบที่มีแค่ความมืดชนบทเท่านั้นจะทำได้ เป็นความมืดที่เงาเองยังรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ
โอ่งอาบน้ำตั้งอยู่ใต้หลังคาสังกะสีเบี้ยว ๆ ข้างต้นไม้อะไรสักอย่างที่ฉันไม่เคยจำได้ว่าเคยปลูก อีกฝั่งเป็นกำแพงปูนครึ่งหนึ่ง อีกด้านเปิดโล่งสู่สวน และสายตาตำหนิของไก่ ฉันยกฝาอ่างขึ้น แล้วก็เสียใจทันที
น้ำเย็นจับขั้วหัวใจ ไม่ใช่เย็นแบบสดชื่น ไม่ใช่เย็นแบบกวี แต่มันคือการทรยศต่อหลักอุณหภูมิโลกอย่างสิ้นเชิง
ฉันยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เริ่มคิดว่าเจ้าแมวขี้บ่นอาจจะพูดถูกก็ได้
แต่ฉันก็ตักน้ำขันแรก
ขนลุกขึ้นมาทั้งแขนเหมือนใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่จ่าย ลมหายใจสะดุดราวกับโมเด็มต่อเน็ต
แล้วฉันก็หัวเราะออกมา ระหว่างเสียงเมืองกับความเงียบชนบท ฉันลืมไปแล้วว่าความเย็นมันซื่อตรงได้ขนาดนี้ เย็นแบบไม่ต้องเสแสร้ง
นี่ไม่ใช่ฝักบัวอุ่น ๆ ที่กดปุ่มแล้วไหล นี่คือน้ำที่ เคยเห็นอะไรมาเยอะ น้ำฝน น้ำรั่ว น้ำที่เก็บไว้ในถัง มันไม่ได้ถูกกรอง แต่มัน จริง
ตอนฉันขัดตัวอยู่นั้น เสียงยามค่ำก็ดังแผ่ว ๆ เสียงจิ้งหรีด เสียงกบ เสียงลมหาวผ่านใบกล้วย
ฉันนึกถึงตารางงาน พรุ่งนี้มีคงมีคนรอเพลง อาทิตย์หน้า พี่ต้นจะเช็กยอดขายแผ่น
แต่ตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้ ฉันเป็นแค่คนตัวเปียกที่ยืนอยู่ใต้ดวงดาว กลิ่นตัวเป็นตะไคร้ผสมแชมพูเก่า
ฉันเดินกลับเข้าไปในบ้าน ผ้าเช็ดตัวพาดบ่า ผมยังหยดน้ำ เปิดประตูไม้เข้าไปอย่างเงียบ ๆ ลาเต้หายไปจากผ้าห่ม แล้วก็เจอเขา บนหมอนของฉันเอง ขดตัว หลับสบาย หน้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิด
ฉันกระซิบ “ขอโทษนะคุณ นั่นไม่ใช่เขตรับผิดชอบของคุณเลยนะ”
เขากะพริบตาช้า ๆ แล้วขยับบั้นท้ายเข้าไปใกล้ขอบหมอนนิดหนึ่ง ซึ่งแย่กว่าเดิมซะอีก
ฉันเอนตัวลงบนฟูกลงพร้อมกับยอมแพ้อย่างสงบ
ไฟดับลง
บ้านส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ เหมือนเพิ่งปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้หลายปี แล้วก็เงียบ ไม่ใช่ความเงียบแบบห้องเช่าในเมือง แต่เป็นความเงียบแบบบ้านไม้ที่ยังจำเสียงคนได้
ฉันขดตัวลงบนฟูก มองเพดานที่พัดลมไม่ได้หมุน แล้วก็ยิ้ม
ลาเต้กรนเบา ๆ หมอนใต้ตัวเขายุบลง และฉัน สุดท้าย ก็รู้สึกว่าได้กลับบ้านแล้ว
Sponsored Ads