ฉันตื่นก่อนนก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของความเป็นผู้ใหญ่ หรือเพราะเมื่อคืนกินน้ำพริกเยอะไป
บ้านยังไม่ตื่น ไม่มีเสียงทีวี ไม่มีเสียงรองเท้าแตะ ไม่มีเสียงจานชามกระทบกันยามเช้า มีแค่หมอกข้างนอก กับแมวสองตัวที่เงียบผิดปกติ
Sponsored Ads
ฉันย่องไปที่ห้องนั่งเล่น พร้อมสมุดโน้ตกับกีตาร์ ตั้ง “สตูดิโอ” ไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างหน้าต่างครัว อะคูสติกธรรมดา แต่ความตั้งใจ…เต็ม
ไมค์?
ในตัวโน้ตบุ๊กนั่นแหละ
ซอฟต์แวร์?
โปรแกรมบันทึกเสียงของ Windows Millennium Edition
ผู้ฟัง?
แมวอ้วนจากกรุงเทพฯหนึ่งตัว กับเจ้าแม่แมวท้องถิ่นหนึ่งองค์ ที่ตอนนี้นั่งห่างกันเท่าความยาวหาง
ฉันทดสอบไมค์ ไอเบา ๆ หนึ่งที กราฟเสียงแกว่งเหมือนตกใจ
“โอเค” ฉันกระซิบ
“Take one”
ฉันดีดอินโทร ปล่อยคอร์ด D major กังวานเท่าที่ตั้งใจ
แล้วฉันก็ร้อง
🎶 “เธอเห็นท้องฟ้า นั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ ให้เธอ” 🎶
ไม่สมบูรณ์หรอก เสียงฉันแตกนิดตรงคำว่า “ทะเล” แล้วก็มีแมวจามกลางเพลงหนึ่งครั้ง
แต่ฉันไม่หยุด
เพราะเช้าแบบนี้น่ะ…
ไม่มีเทกสอง มีแค่ท้องฟ้าเดียว ลมหายใจเดียว และห้องเดียวที่ไม่มีเสียงสะท้อน
🎶 “…ทะเลสีคราม ที่ทอดยาว เห็นความรักฉัน บ้างไหม…” 🎶
ฉันหลับตา ปล่อยให้มันตกลงมา ไม่มีพุ่งเสียง ไม่มีการปรับเสียง มีแค่เด็กคนหนึ่ง กับเพลงที่ไม่เป็นของเมืองอีกต่อไป
พอลืมตาอีกที แมวอ้วนก็นั่งอยู่บนแป้นพิมพ์ การอัดหยุดไปแล้ว แน่นอน
ฉันกดฟังซ้ำ ไม่มี EQ ไม่มีเลเยอร์ แต่มีความอบอุ่นพอจะคล้ายความหวัง
ฉันกดเซฟ ตั้งชื่อไฟล์ว่า: `sky-for-you_demo_apr12_v1.wav`
บันทึกไว้บน desktop ข้างโฟลเดอร์ชื่อ `DEBT_PLAN_2567` กับ `JOB_REJECTED_MARCH`
ฉันสูดหายใจ อีกครั้ง แล้วอีกครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะ
“อัดเสร็จแล้วเหรอ?”
ฉันชะงัก หันกลับไปมอง แป้งยืนอยู่ตรงประตูครัว ผมเปียกเหมือนเพิ่งล้างหน้า ในมือมีถุงข้าวเหนียวหมูทอดหนึ่งถุง
“มะ…มาเมื่อไหร่?”
“ก็ตอนพี่ร้องว่า ‘ทะเลสีคราม~’ นั่นแหละ”
เธอนั่งลงกับพื้น ขัดสมาธิ โดยไม่ถาม เหมือนเช้าแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
“ร้องเพี้ยนไปหน่อยนะ”
“ขอบใจครับ”
“แต่เพราะนะ”
“…อันนี้ชมปะ?”
“ไม่รู้สิ”
เธอยิ้ม
“แต่เสียงมันดูจริง”
เธอไม่พูดอะไรต่อ ไม่ถามว่าเพลงมาจากไหน ไม่ถามว่าแต่งให้ใคร แค่เปิดถุง หยิบหมูทอดชิ้นหนึ่ง แล้วยื่นที่เหลือให้ฉัน
และด้วยวิธีแบบนั้น… มันก็นับว่าเป็นรีวิวที่ดีแล้วล่ะ
Sponsored Ads
———————
ไม่ใช่แฟน (เธอบอก)
“จะส่งเพลงนั้นให้ใครเหรอ?”
คำถามมาในจังหวะที่ข้าวเหนียวชิ้นสุดท้ายกำลังหมด และลาเต้พยายามแทะใบเฟิร์นเป็นรอบที่สาม
“อาจจะ” ฉันตอบ
“แล้วแต่ว่าเขาจะใจร้ายกับคอมเมนต์เพลงนี้แค่ไหน”
แป้งเขี่ยเม็ดข้าวที่ติดตักออก
“แย่ขนาดนั้นเลย?”
“เฮ้—เธอก็ได้ยินนี่นา”
“มันก็โอเคแหละ”
เว้นจังหวะนิด
“สำหรับคนที่ร้องเหมือนกลัวความรู้สึกตัวเองน่ะนะ”
ฉันกระพริบตา
“ขอบคุณครับ ชอบมากเลย คำวิจารณ์แบบให้กำลังใจพร้อมหมูทอด”
เธอไม่ขำ แค่พูดว่า “ถ้าเป็นนีน่าร้อง เพลงนี้คงทำคนร้องไห้ได้เยอะกว่านี้นะ …แบบซึ้ง อะไรประมาณนั้น”
ฉันหรี่ตา
“เดี๋ยว…นีน่าเหรอ? เธอเนี่ยนะ?”
เธอก้มหน้าลง
“ที่มหา’ลัยอะ เขาชอบเปิดเทปเธอฟังกัน”
“เทปเหรอ? ไม่ใช่ซีดี? เธอนี่อินดี้จังนะ”
เธอยักไหล่
“พ่อค้าแผงเทปตลาดวันพุธบอกว่าเสียงนีน่าบนคาสเซ็ตมันนุ่นกว่า”
ซึ่ง…ไม่ได้ช่วยอธิบายอะไรเลย
“ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบนีน่า”
“ก็ไม่ได้ชอบ”
แล้วทันที “แบบ…ไม่ขนาดนั้น”
ลาเต้จามเสียงดัง เหมือนแมวยืนยันว่า แน่ใจนะว่าไม่ชอบ?
“เธอร้องเหมือนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกจริง ๆ” แป้งพึมพำ
“เหมือนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะเข้าใจหรือเปล่า”
“หือ”
“ไม่เหมือนพี่”
“โอ้ ขอบใจอีกแล้วครับ”
เธอเอื้อมมือไปหยิบหมูทอดชิ้นสุดท้าย ยื่นมาเหมือนจะให้ แล้วดึงกลับ
ฉันเลิกคิ้ว
“จะเรียกคำชมก่อนถึงจะยอมให้กินเหรอ?”
“เปล่า” เธอตอบ
“แต่ถ้าพี่จะส่งเพลงนี้ให้ใคร แล้วโกหกว่าไม่ใช่เป็นคนร้อง—อย่าทำ”
ฉันชะงัก
“เธอหมายถึง…อย่าให้คนคิดว่าเสียงนั้นเป็นนีน่าเหรอ?”
“ไม่…หมายถึงอย่าทำเป็นว่าไม่ใช่พี่ต่างหาก”
เธอวางหมูทอดลงบนสมุดโน้ตฉัน ลาเต้รีบเลียทันที
“เธออยากให้นีน่าได้ยินเพลงนี้เหรอ?” ฉันถาม “แบบ…จริง ๆ?”
แป้งไม่ตอบ เธอแค่พูดว่า “เธอคงไม่มีเวลาหรอก”
ซึ่ง…สำหรับคนที่ “ไม่ได้เป็นแฟนคลับ” นั่นคือคำอธิบายที่ละเอียดที่สุดที่ฉันเคยได้ยิน
ฉันไม่เซ้าซี้ต่อ บางทีความชื่นชมก็ซ่อนอยู่ในคำประชด และบางที…คำประชดก็ใส่กล่องเทปสีชมพูบับเบิลกัมมา
“โอเค” ฉันพูด
“จะเซฟอีกเวอร์ชันไว้ พร้อมเครดิต แล้วก็เสียงแหบ ๆ แบบไม่ได้ใส่ฟิลเตอร์”
เธอไม่ยิ้ม แต่เธอยังนั่งอยู่ที่เดิม ซึ่ง…ในภาษาวัยรุ่นหญิง แปลว่าเห็นด้วย
แมวสองตัวนอนขนาบพวกเรา เสียงสปริงเกลอร์ดังเบา ๆ จากหลังต้นมะม่วง มันไม่ใช่ช่วงเวลายิ่งใหญ่ ไม่มีเสียงไวโอลิน ไม่มีดนตรีประกอบบิ้วต์อารมณ์ แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บอกว่า “ไม่ได้ชอบอะไรขนาดนั้น” กับพี่ชายคนหนึ่ง ที่รู้ดีกว่านั้น และถ้าจะให้พูดตามตรง
ก็เพียงพอแล้ว สำหรับเช้าวันนี้
Sponsored Ads
———————
ร้องเสร็จแล้วก็ไปซื้อของ
ฉันแกล้งทำเป็นจัดไฟล์งานอยู่ครึ่งหนึ่ง ตอนที่ได้ยินประโยคเดียวที่ทำลายทุกแผนพักใจ
“ไปตลาดให้แม่หน่อยสิลูก”
แค่นั้นเลย ไม่มี “นะ” ไม่มีรายละเอียด แค่โทนเสียงที่บอกว่า
“แม่ให้ลูกนั่งเซื่องซึมพอแล้ว”
ฉันหันจากหน้าคอมพิวเตอร์ แม่ยืนอยู่ตรงประตูครัว ใส่ผ้ากันเปื้อน ถือช้อนเหมือนนายพลถือดาบ
“ตลาดไหนครับ?”
“อำเภอ”
“…ก็ไกลอยู่นะ”
“ไปกับแป้ง”
“อ้าว”
ที่ข้างหลังฉัน ลาเต้ขยับตัวเบา ๆ เหมือนสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความพ่ายแพ้
“เอาของอะไรบ้าง?”
ฉันถามอย่างพยายามดูมีน้ำใจ
“ของทำบุญวันปีใหม่”
แม่ว่า
“กับของทำกับข้าวเย็น… ถ้ามีโปรฯ ก็ซื้อเพิ่ม”
แป้งเดินออกมาจากห้องหลังบ้านในจังหวะที่…พอดีเกินไป ถือรองเท้าแตะคู่เดิม ผมเปียก สีหน้าเงียบ ๆ แบบ ‘ไม่เต็มใจแต่ปฏิเสธไม่ได้’
“แม่ หนูยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนะ”
“ก็ไปซื้อไปกินด้วยเลยสิ”
ฉันยิ้มกว้าง
“ได้ขับรถเล่นด้วยไง”
เธอจ้องฉัน
“ฉันไม่ขับ”
“ไม่ได้ถามด้วยซ้ำ”
แม่วางใบรายการของลงบนโต๊ะไม้ แบบคนที่เคยมีลูกดื้อ และชนะทุกครั้ง แล้วหันกลับไปคนหม้อเหมือนนายพลที่ไม่ต้องออกคำสั่งซ้ำ
แป้งมานั่งลงฝั่งตรงข้าม ยังถือรองเท้าไว้เหมือนกำลังคิดว่าจะใส่…หรือจะฟาดใครก่อน
“แม่บอกเองเหรอ?”
เธอถาม
“ฉันไปสั่งแม่ได้ที่ไหน”
“…ก็จริง”
“ถ้าต้องไปกับพี่—”
เธอเว้นจังหวะ
“—ห้ามเปิดเพลงที่ฟังแล้วเหมือนจะลาโลกนะ”
“จะพยายาม”
“แล้วอย่าเลี้ยวเข้าร้านเพลงนะ”
“ไม่สัญญา”
“แล้วถ้าซื้อของเกินงบ ก็ถือว่าทำบุญเผื่อแมว”
น้ำแข็งใสกระพริบตาหนึ่งที ลาเต้หาวเสียงยาว
แป้งถอนหายใจ ลุกขึ้น ใส่รองเท้าแบบหมดทางเจรจา
“ขับดี ๆ ล่ะ”
แม่ตะโกนจากครัว เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าใครจะเป็นคนถือพวงมาลัยจริง ๆ
ขณะที่ฉันหยิบกระเป๋ากับใบรายการ ฉันหันไปมองโน้ตบุคบนโต๊ะ มันยังเปิดอยู่ โชว์ไฟล์ `sky-for-you_demo_apr12_v1.wav`
ฉันปิดมันลง ยังมีเวลาให้เสียงเพลงภายหลัง ตอนนี้ตลาดกำลังเรียกอยู่ และ…ดูเหมือนมันมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ในรูปแบบวัยรุ่น
Sponsored Ads
———————
ความจริงในวิทยุ กับราคาตลาดสด
กลิ่นในรถกระบะคือกลิ่นยางรองพื้น นมถั่วเหลืองที่หก และความตึงเครียดในครอบครัวที่ยังไม่สะสาง ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง…ก็ยังดีกว่ารถไฟฟ้าในช่วงเย็นวันศุกร์
แป้งนั่งอยู่ข้าง ๆ กอดอก เหมือนกำลังเตรียมลิสต์ “สิ่งที่พี่จะทำผิดในอีก 30 นาทีข้างหน้า”
ฉันหมุนวิทยุเก่า ๆ บนคอนโซลรถ เสียงซ่า เสียงพระเทศน์ เสียงเพลงล้านนา แล้วก็—
🎶 “ความทรงจำสีจาง…” 🎶
เธอเงยหน้าทันที เอียงหัวนิดเดียว แล้วเริ่มขยับปากตามเพลงเบา ๆ เหมือนกำลังสวดมนต์ขอพรจากบะหมี่น้ำ
“เพลงดีนะ” เธอบ่นพึมพำ
เหมือนฉันไม่เห็นว่าเธอร้องตามจนจะลุกขึ้นเต้น
“เนื้อเพลงมันดีกว่าเพลงรักรีไซเคิลทั่ว ๆ ไปเยอะเลย”
ฉันไม่พูดอะไร ส่วนหนึ่งเพราะกล้ามเนื้อขากรรไกรเริ่มล็อก เหมือนจะหักลิ้นตัวเองอยู่รอมร่อ
“รู้มั้ยว่าใครแต่ง?”
ฉันกระแอม ทีหนึ่ง แล้วแกล้งทำเป็นยักไหล่
“ผู้ชายคนหนึ่งมั้ง”
เธอพยักหน้า สีหน้าจริงจัง
“ไม่ว่าใครจะเป็นคนแต่งนะ… เขาเข้าใจ”
“เข้าใจอะไร?”
“ความรู้สึกของคนที่ยังยึดติดกับใครสักคน ทั้งที่รู้ว่าเขาไปแล้วน่ะ”
มือฉันกำพวงมาลัยแน่นขึ้น ฉันจำได้ทุกบรรทัดที่เขียน รวมถึงรอยเปื้อนชาตรงขอบกระดาษ
“เขาควรแต่งอีกนะ” เธอว่า
“เมืองไทยต้องการเพลงที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่เพลงติดหู”
“ว้าว” ฉันว่า
“ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ”
เธอกะพริบตา
“อ้าว ฉันไม่ได้หมายถึงพี่นี่”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
จังหวะเงียบอยู่พักหนึ่ง เธอมองออกนอกหน้าต่าง
“…แต่พี่ก็แต่งได้นะ ถ้าจะลองแต่งอะไรที่ทำให้คนร้องไห้ หรือ…แค่รู้สึกอะไรบ้างก็ยังดี”
ฉันสูดหายใจทางไรฟัน
“ก็พี่เพิ่งแต่งไปนะ ตอนเช้าไง”
“เดโม่อันนั้น?”
เธอไม่พูดว่า
“ที่ร้องเหมือนแมวเพิ่งตาย”
แต่ฉันรู้ว่าไอ้คำนี้มันซ่อนอยู่หลังคิ้วซ้ายเธอ
“จะพยายามให้หนักขึ้นก็ได้” ฉันพูด
“ท่านผู้พิพากษาบทเพลงข้างถนนแห่งเวียงป่าเป้า”
“ดี” เธอว่า
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่ได้อยู่บ้านเดียวกับแรงบันดาลใจ”
เธอชี้ตัวเองด้วยนิ้วโป้ง จากนั้นก็เปิดถั่วลิสงคั่ว กินอย่างกับเพิ่งโยนไมค์จบประโยค
พวกเราผ่านป้าย “ซื้อ 1 แถมมุ้งกันยุงฟรี” เข้าสู่เขตตลาด ซึ่งกลิ่นคือปลาดิบ ดอกดาวเรือง และความทะเยอทะยาน
แป้งเอนตัวไปทางหน้าต่าง
“ถ้าพี่หายตัวไป… ขอรถคันนี้ได้นะ?”
รถมันก็ไม่ใช่ของฉันด้วยซ้ำ แต่เธอพูดเหมือนรู้ว่าแหย่ได้
“ถ้าพี่หายไป เธอต้องขับพาแม่ไปงานศพที่วัดอีกเป็นสิบปีเลยนะ”
“…ก็สมเหตุสมผลดี”
เธอยิ้มมุมปาก ฉันเหลือบมองกระจกหลัง รถมันก็ไม่ใหม่หรอก แต่น้องฉันน่ะ…เลือกเก่ง วิทยุโฆษณาเลขเด็ดเสียงดัง ฉันปิดมัน ความจริงเยอะไปหน่อยสำหรับทริปนี้
เราจอดรถ เธอลงก่อน หันกลับมาแล้วพูดว่า
“แต่พูดจริงนะ… ใครแต่งเพลงนั้นน่ะ เขาโคตรเก่งเลย”
แล้วเดินจากไป
ส่วนฉัน เงาเลือน ๆ ของคนเขียนเพลงนั้น เดินตามเธอเข้าตลาด แบกความลับของตัวเอง เหมือนหิ้วถุงหัวหอม
Sponsored Ads