เย็นย่ำที่เวียงป่าเป้า พับตัวเข้ามาไม่เหมือนกรุงเทพฯ ในเมืองหลวง กลางคืนพุ่งชนเหมือนรถสิบล้อ แต่ที่นี่ มันเข้ามาเหมือนแมว ไม่ได้รับเชิญ แต่ก็ไม่เคยถูกไล่
Sponsored Ads
แป้งหายเข้าไปในห้องพร้อมผลไม้แช่อิ่มหนึ่งถุง กับเสียงปิดประตูแบบครึ่งใจ แม่เปิดไฟในครัวแต่ยังไม่เริ่มทำกับข้าว วิทยุชุมชนคลื่นหนึ่งลอยมาเบา ๆ
ลาเต้เดินผ่านโถงบ้านเหมือนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความร้อนเฉพาะจุด ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานเก่าของฉัน
โน้ตบุ๊กระพริบไฟรออยู่จากอีกมุมห้อง ไม่ได้มองแบบกล่าวหา แค่…รอ เหมือนรู้ดีว่าฉันหมดข้ออ้างแล้ว
ฉันเดินไปนั่ง เปิดเครื่อง ไม่มีโฟลเดอร์ ไม่มีไฟล์ ไม่มีร่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่มีชื่อไฟล์ hopeful.doc ในโฟลเดอร์ `notes/`
มีแค่เคอร์เซอร์กะพริบ มีแค่โอกาสหนึ่งที่จะลองฟัง
ลาเต้ขยับตัวเล็กน้อย ขาพาดมาแตะแป้นพิมพ์เบา ๆ เหมือนเครื่องหมายวรรคตอน ฉันถือว่านั่นคืออนุญาต
ฉันเปิดเอกสารใหม่
แล้วรอ
พัดลมหันตัวดังเอี๊ยด แล้วหันกลับอีกด้าน แสงจากโถงสะท้อนขอบหน้าจอเป็นสีทองอ่อน ลาเต้หันหน้าไปมองหน้าต่าง เหมือนกำลังเฝ้าระวังการบุกรุกจากความกลัว
ฉันวางมือบนแป้นพิมพ์…แล้วชักกลับ แล้ววางใหม่ แล้วถอนหายใจ หน้าจอว่างเปล่า คืนที่ว่างเปล่า ลมหายใจที่ว่างเปล่า
ฉันเริ่มพิมพ์
📖 “กรี๊ง — ต้องใช้เสียงกรี๊งถึงหกครั้งจึงจะปลุกหญิงชราได้
หริ่งหริ่งแหลมสูงชำแรกโสตประสาทเสื่อมสภาพ กระดุกให้ตื่นจากการหลับไหล และใช้เวลาหลังจากนั้นราวสิบวินาทีก่อนที่หล่อนจะพาตัวเองลุกจากเก้าอี้โยกตัวโปรด ส่องกระจกติดฝาผนังอย่างลวก ๆ แล้วออกจากห้องนั่งเล่นโดยยังเปิดทีวีทิ้งไว้”
โอเค ไม่แย่
📖 “นั่นใคร?” หญิงชราตะโกนถามออกไป ความเหน็ดเหนื่อยเกาะเป็นตะกอนเล็ก ๆ อยู่ในน้ำเสียง
“คุณย่า!” ชายหนุ่มที่หน้าประตูตะโกนตอบกลับมา เสียงฟังดูคุ้นหูอย่างประหลาด
“อาจิ๋วเหรอ?” หล่อนถามต่อ บางสิ่งสว่างวาบขึ้นในความทรงจำขมุกขมัว ”
เสียงเรียกจากหน้าประตู ชื่อที่ไม่มีใครพูดมานาน ความสับสนที่ไม่ใช่ความเจ็บ แต่อยู่ไม่ห่าง
📖 “ “คุณย่า จิวเอง! เปิดประตูให้หน่อยครับ”
หยักยิ้มค่อย ๆ ปรากฏบนหน้าหญิงชรา
“อ้า อาจิว อาจิว” หล่อนโซเซเขยิบร่างกายอายุ 78 ปีที่ไม่ค่อยสมประกอบไปที่ประตูอย่างช้า ๆ พลางร้องเรียกหลานชายพร้อมเขยิบเข้าใกล้ภาพพร่ามัวนั้นทีละน้อย จนถึงประตูบานเล็กที่พิงอยู่ในประตูรั้ว หล่อนเปิดมันออก”
ประโยคไหลมาอย่างช้า ๆ เหมือนคนตักน้ำแกง ทีละคำ อุ่น และเต็ม
ฉันไม่รู้ว่ามันจะไปจบตรงไหน แต่ก็หยุดไม่ได้แล้ว
📖 “โดยไม่ทันพูดอะไร ชายหนุ่มตรงหน้าโผเข้ากอดหล่อน
“คิดถึงคุณย่าจังเลย”
คำพูดเมื่อครู่เป็นเสียงที่หล่อนได้ยินอย่างชัดเจนกว่าเสียงใด ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
ลาเต้ขยับตัวอีกครั้ง หางม้วนงอพาดขอบพับของหน้าจอ น้ำแข็งใสปรากฏตัวตรงขอบหน้าต่างโดยไม่ส่งเสียง ดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ได้ตัดสิน แค่รอดูว่าฉันจะเขียนจนจบรึเปล่า
📖 “ถึงตรงนี้หญิงชราจึงนึกขึ้นมาได้ ว่าตอนคุยกับลูกชายครั้งล่าสุด เขาบอกกับหล่อนว่าหลานชายเรียนจบแล้ว แต่ที่ไม่ได้เชิญหล่อนไปงานรับปริญญา ก็ด้วยร่างกายและความชราภาพของหล่อน จะไปที่ร้อนๆ คนเยอะ ๆ คงไม่ดี เดี๋ยววันไหนจะมาหาที่บ้าน ให้หลานใส่ชุดครุยมาถ่ายรูปด้วยกัน
แต่วันนั้นก็ยังไม่เคยมาถึง พวกเขาคงจะยุ่ง พวกเขายุ่งเกินไปเสมอ”
ฉันหยุดมอง
แม่เดินผ่านหน้าห้อง ไม่พูดอะไร แต่ฉันได้ยินเสียงตะหลิวขูดก้นกระทะ เสียงน้ำแกงถูกตักลงชาม เสียงที่เหมือนกวีบทเก่า ที่ไม่ต้องแปล
ลาเต้กระพริบตาหนึ่งที ฉันพิมพ์ต่อ
📖 “ความหม่นหมองซึมแทรกเข้ามาในความคิด เหมือนเทียนดับวูบที่เปิดท่ามให้ความมืด หล่อนสลัดมันทิ้ง ยังไงหลานก็มาหาแล้ว
“แล้วตอนนี้ทำงานอะไร?”
“ทำกราฟิกฯ คุณย่า”
“มันคืออะไรล่ะ” คำที่คล้บคล้ายจะมาจากภาษาฝรั่งเป็นสิ่งแปลกปลอมเหลือเกินสำหรับหล่อน ”
แสงจากหน้าจอเริ่มนุ่มลง เหมือนมันหาจังหวะของตัวเองเจอแล้ว
ฉันไม่ได้พิมพ์เร็ว แค่พิมพ์อย่างต่อเนื่องเท่านั้น เหมือนปล่อยให้น้ำไหลกลับเข้าสู่ทุ่งแห้ง
📖 “ “เอ้อ แล้วพ่อกับแม่ล่ะ?”
“พ่อกับแม่กำลังมาคุณย่า”
“ปีนี้อาเจนมามั้ย?”
“เจนมานะ เดี๋ยวจิ๋วโทรตามแป๊บนึง” จิวหยิบมือถือแล้วเดินออกจากห้องไป ”
พัดลมหันตัวอีกรอบ เสียงถอนหายใจเดิมจากฝุ่นเก่าและปีเก่า
นิ้วฉันลอยเหนือแป้นพิมพ์
ลาเต้หายใจช้าลง น้ำแข็งใสยังไม่ขยับเลย
และฉัน ฉันยังพิมพ์ต่อ ไม่ใช่เพื่อคนอ่าน ไม่ใช่เพื่อชดใช้
แค่อยากรู้ว่า บ้านหลังนี้ยังจำฉันได้ไหม และฉันจะตอบกลับมันได้หรือเปล่า
Sponsored Ads
———————
สิ่งที่เงียบอยู่เสมอ
เคอร์เซอร์กระพริบเหมือนมันกำลังหายใจแทนฉัน
ฉันไม่แน่ใจว่าพิมพ์ไปนานแค่ไหนแล้ว เรื่องค่อย ๆ ขยับไปตามจังหวะของมันเอง มื้อเย็นในครอบครัวที่จริงพอจะรู้สึกถึงรส หญิงชราที่นั่งยิ้ม แต่ไม่เคยไว้ใจช่วงเวลานั้นจนหมดใจ ใบปลิวสีชมพูพับซ่อนอยู่ใต้แผ่นรองจาน
ที่นอกหน้าจอ เวียงป่าเป้าเคลื่อนจากพลบค่ำเข้าสู่บางสิ่งที่ช้ากว่า
ท้องฟ้าเป็นสีถ่านเปียก ยังไม่ดำ ยังไม่เสร็จ
จากในครัว มีเสียงเคาะเบา ๆ ของมื้อเย็น ขิงถูกทุบดังแปะ ข้าวสวยเทลงหม้อ กลิ่นน้ำมันงาค่อย ๆ จางไป กลายเป็นกลิ่นข่าหั่น น้ำจากก๊อกหลังบ้านไหลเอื่อย ไม่มีใครเรียกฉันไปช่วย ไม่มีใครรบกวน
แป้งเดินผ่านหน้าห้อง เหลือบมองเข้ามาครู่หนึ่ง เหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็แค่ปล่อยให้สายตาเจอกัน แล้วเดินต่อไป
📖 “หล่อนนั่งลงพร้อมจานและอุปกรณ์ที่ถูกแจกจ่ายให้ทุกคน มองไปรอบโต๊ะ ลูกชาย ลูกสะใภ้ หลานชาย และหลานสาวนั่งอยู่ตรงหน้าหล่อน แม้จะขาดสามีไป แต่ก็พร้อมหน้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว ทั้งสี่คนมองมาที่หล่อนราวกับกำลังรอสัญญาณบางอย่าง
“เอ้า กิน ๆ อาฮก อาหมิง อาเจน อาจิว กินเยอะ ๆ””
ลาเต้กระโดดลงจากโต๊ะ ด้วยท่าทีสง่างามแบบคนที่กำลังหลบเลี่ยงการประชุม เขาลงพื้นอย่างไร้เสียง แล้วหายไปใต้พัดลมตั้งพื้น หางงอเป็นวง เหมือนเครื่องหมายปิดท้ายประโยค
ฉันพิมพ์ต่อ
📖 “บทสนทนาและเสียงหัวเราะไหลเวียนวนอยู่ในห้องกินข้าว หลาน ๆ เล่าเรื่องชีวิตให้ฟัง จิ๋วมีแฟนแล้ว คบกันมาสองปี เจนยังไม่มีแฟน แต่ทำงานเป็นพนักงานการตลาดอยู่บริษัทอะไรสักแห่งที่หล่อนไม่เคยได้ยินชื่อผ่านหูมาบ้าง แปลว่าก็น่าจะมีชื่อเสียง”
กลิ่นอาหารเย็นลอยมาผสมกับลมแห้งจากช่องหน้าต่างไม้ ผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง กระแทกมุ้งลวด เหมือนลืมไปว่ากำแพงมีอยู่จริง บางอย่างไม่เคาะประตูก่อนจากไป หรือก่อนจะกลับมา
Sponsored Ads
———————
ประโยคที่รออยู่
ย่อหน้าถัดไปไม่ได้มาถึงอย่างรวดเร็ว มันค่อย ๆ ย่องเข้ามา เหมือนไอน้ำที่เล็ดลอดใต้ประตู เหมือนบางอย่างที่อยู่ในห้องมาตลอด แต่เพิ่งยอมให้มองเห็น
ฉันนั่งนิ่ง
เรื่องสั้นไม่ได้ขอให้เขียนจนจบ มันแค่ขอไม่ให้ถูกลืม
📖 ““ไหว้ลาคุณปู่ก่อนไปนะ อาฮก อาหมิง มาลาพ่อด้วย” หญิงชราบอกกับทุกคน พวกเขาทั้งสี่หันพนมมือเป็นหน้ากระดาน ดูตั้งใจทำความเคารพสามีหล่อนกันมาก หล่อนเห็นแล้วยิ้มไม่ได้ ไม่มีใครพูดกับรูปของสามีหล่อนว่าปีหน้าหรือปีต่อ ๆ ไปจะกลับมาหาอีก หญิงชราเข้าใจได้ พวกเขาคงไม่อยากให้คำสัญญา ด้วยไม่แน่ใจว่าจะรักษามันไว้ได้หรือไม่
เพราะมันมีราคาที่ต้องจ่าย หล่อนรู้ดี”
กลิ่นในครัวเปลี่ยนจากน้ำมัน เป็นขิง เป็นข้าวคั่ว แม่อาจกำลังชิมน้ำแกงอยู่ หรือแค่ยืนมองหม้อเดือดอย่างที่เคย เสียงกาน้ำเดือดเริ่มช้าลง เหมือนรู้จังหวะ
น้ำแข็งใสกระโดดขึ้นไปบนฝาตู้ปลาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ด้วยความสง่างาม แต่ด้วยท่าทีของเจ้าของอาณาเขตที่กลับมาทวงที่ของตัวเอง เธอมองลาเต้ ซึ่งยังคงนอนอยู่ใต้พัดลม ไม่ขยับ เหมือนคำพูดที่ไม่จำเป็นต้องพูด
📖 ““อาจิว อาเจน ย่าลืมให้ซองปีใหม่” หล่อนเอ่ยขึ้น “รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวย่าไปเอามาให้” หญิงชรารีบเดินขึ้นไปยังห้องนอนขอตัวเองที่อยู่ชั้นสอง หยิบซองสีแดงสดที่อยู่ในลิ้นชักหัวเตียง ก่อนจะรีบลงบันไดมาจนหอบเล็กน้อยตอนกลับมาที่ห้องนั่งเล่น หล่อนยื่นซองให้หลานทั้งสองด้วยมือคนละข้าง”
ฉันพิมพ์ช้าลง
พัดลมยังฮัมเสียงเดิม ตุ๊กแกตัวหนึ่งร้องแค่ครั้งเดียว แล้วหยุด เหมือนเปลี่ยนใจไม่พูด ทั้งบ้านเหมือนกลั้นหายใจ
📖 “หลานทั้งสองยกมือไหว้และรับซองจากหล่อน เมื่อทั้งสองแง้มซองสีแดงสดในมือดู สีหน้าจุ้งงงที่ปรากฏขึ้นทำให้หล่อนอดถามไม่ได้
“มีอะไรเหรอ” ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนเจนจะหันมาหาหล่อน สีหน้าดูลำบากใจ”
ฉันเงยหน้าขึ้นชั่วครู่ หน้าต่างกลายเป็นสีเงิน แสงจันทร์หักเหผ่านมุ้งลวด เหมือนมีใครพยายามสรุปตอนจบ แต่เขียนไม่เสร็จ ไหล่ฉันลั่นเบา ๆ ขณะเหยียดแขน
ลาเต้ไม่ขยับ น้ำแข็งใสหลับตาลง ราวกับอ่านต้นฉบับแล้วไม่พบจุดพิมพ์ผิด
📖 ““มันไม่ครบน่ะค่ะคุณย่า” เจนพูดออกมาด้วยเสียงเบาเกือบจะเหมือนกระซิบ แต่ก็ยังดังพอที่หล่อนจะได้ยิน หล่อนยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่หลานสาวพูดนัก”
ฉันหยุดพิมพ์ ไม่ใช่เพราะเมื่อย แต่เพราะอยากฟัง ฟังจริง ๆ
เสียงบางอย่างขยับ ไม่ใช่พัดลม ไม่ใช่แป้นพิมพ์ แต่เป็นเสียงของบางอย่างในห้อง ที่กำลังเปลี่ยนท่าทาง เหมือนเก้าอี้ที่ขยับเพราะน้ำหนักของความทรงจำ
📖 ““คือ…ก็…ชั่วโมงละพันน่ะค่ะคุณย่า นี่ก็” เจนพูดแล้วก้มลงมองหน้าจอมือถือ “ห้าชั่วโมงก็ห้าพัน นี่มีพันเดียวค่ะคุณย่า” ”
ที่ไหนสักแห่งด้านหลังฉัน มีเสียงช้อนขูดก้นหม้อเบา ๆ แป้งเปิดประตูห้อง แล้วปิดอย่างระวัง ทุกเสียงเหมือนตั้งใจจะไม่รบกวนอะไรเลย รวมถึงฉัน
📖 ““ตาย ๆ ย่าลืมไปเลย ซอร์รี่ ซอร์รี่ ย่าแก่แล้ว เดี๋ยวไปเอามาให้เพิ่ม” หล่อนพูดแล้วเดินกลับขึ้นไปยังห้องนอน ดีที่มีเงินสดเก็บไว้ หล่อนคิด ก่อนเปิดลิ้นชักล่างสุด หยิบเงินสดหนึ่งหมื่นแปดพันออกมา ของจิวกับเจนอีกคนละสี่พัน เมื่อครู่หล่อนลืมของลูกชายกับลูกสะใภ้ด้วย อาฮกห้าพัน อาหมิงห้าพัน หล่อนหยิบซองสีแดงขึ้นมาอีกสองซอง”
ฉันอ่านบรรทัดท้ายอีกครั้ง ยังไม่แน่ใจว่ามันคือความจริง หรือแค่สิ่งที่จำเป็น
ไม่ว่าอย่างไหน…ฉันยังเขียนไม่จบ
Sponsored Ads
———————
ห้องที่ฟังอยู่
เคอร์เซอร์กระพริบ แล้วฉันพิมพ์ต่อ
📖 “หล่อนกดรับ แล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“แม่” หล่อนสัมผัสได้ถึงความโล่งใจของลูกชายจากปลายสาย
“กว่าจะรับสาย ฮกกลัวแม่เป็นไร” ลูกชายหล่อนพูดต่อ
“แม่ดูทีวีอยู่” หล่อนตอบกลับไปเท่านั้น
“แม่กินข้าวยัง?”
“กินแล้ว ฮกกินหรือยัง?”
“ยังเลยแม่ นี่ยังอยู่ออฟฟิศอยู่เลย ช่วงนี้งานยุ่งมาก””
ฉันก็ยังเขียนต่อ ไม่ใช่เพื่องาน ไม่ใช่เพื่อเดดไลน์ แค่เขียนให้บางอย่างในบ้านหลังนี้ได้พูด ก่อนที่มันจะลืมวิธีพูดออกมา
📖 “ลูกชายของหล่อนวางสายไปก่อน เสียงสัญญาณที่ขาดหายดังขึ้นแทนที่บทสนทนา หญิงชราถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น รวบกับรอให้เสียงที่ดัง ๆ หาย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นข้อความบางอย่าง”
แล้วประโยคสุดท้ายมาอย่างเงียบ ๆ
📖 “หล่อนหยิบมันขึ้นมา คลี่กางออก มันเป็นใบประกาศขนาดราว ๆ กระดาษเอสี่สีชมพูสด เหมือนกระดาษที่พิมพ์คำทำนายเซียมซีตามศาลเจ้า บนสีชมพูสดนั้น มีตัวอักษรสีดำขนาดเล็กใหญ่เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่
บริษัท จัดหาครอบครัว จำกัด
เหงาเหรอ? ลูกหลานไม่ดูดำดูดี เซ็งเม้ง ตรุษจีน บอกว่าไม่ว่างทุกที
เราช่วยคุณได้!!!
ให้บริการลูก/หลาน/ลูกเขย/ลูกสะใภ้
อยากได้ใครในครอบครัว ขอแค่คุณบอกมา
ใช้บริการก่อน จ่ายทีหลัง ไม่พอใจยินดีคืนเงิน!
แล้วปีนี้ หรือปีไหน ๆ คุณก็จะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป! ”
ฉันไม่ได้พิมพ์อะไรเพิ่ม ไม่ได้แก้ ไม่ได้จัดหน้า แม้แต่เลื่อนหน้าจอก็ไม่ทำ มันรู้สึก…พอดี เหมือนบางอย่างที่รออยู่นานมาก แล้วในที่สุดก็ยอมปล่อยมือ
พัดลมหันซ้าย แล้วหยุด หันขวา แล้วหยุดอีก เหมือนกำลังคิดว่าจะพยักดีไหม
ฉันกดบันทึก
โฟลเดอร์: `ready_to_send/`
ชื่อไฟล์: `family_draft_final.doc`
เสียงคลิกตอนไฟล์ถูกเขียนลงดิสก์เบากว่าที่คิด อาจเป็นเพราะหูฉัน หรือเพราะห้องนี้เงียบลงเพื่อจะได้ฟัง
ลาเต้โผล่มาโดยไม่ให้สัญญาณ เขากระโดดขึ้นโต๊ะอย่างเบา เดินผ่านแป้นพิมพ์โดยไม่เหยียบสักปุ่ม แล้วนั่งลง เขาไม่ได้มองฉัน น้ำแข็งใสตามมาติด ๆ ไม่มีดราม่า เธอโดดขึ้นมาข้างเขา ระวังไม่ให้หางโดนสายไฟ กระพริบตาช้า ๆ แล้วหันหน้าไปทางหน้าต่าง เหมือนกำลังเฝ้าสิ่งที่มองไม่เห็น
ไม่มีใครส่งเสียง แม้แต่ฉันก็เงียบ บ้านทั้งหลังเงียบแบบที่ไม่รู้สึกว่างเปล่า มันแค่…สมบูรณ์แล้ว
แม่เดินผ่านหน้าห้อง ไม่ได้เรียก ไม่ได้เคาะประตู ไม่ได้พูดว่า “กินข้าวได้แล้ว”
แต่ก่อนที่เธอจะเดินเลยไป เธอเอื้อมมือมาเปิดไฟตรงบันไดไว้ให้ หลอดเล็กสีขาวใต้ราวไม้เก่าเปล่งแสงพอประมาณ เหมือนจะบอกว่า “ยังมีที่ว่างตรงนี้นะ”
ฉันปิดฝาโน๊ตบุคลง ไม่ได้ออกแรง แค่ดันเบา ๆ เพียงพอแล้วสำหรับคืนนี้ น้ำแข็งใสกระพริบตาอีกครั้ง ลาเต้หลับตาอยู่ พัดลมดังคลิกสองที แล้วก็ถอนหายใจ ฉันเอนหลัง ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะบ้านหลังนี้ ห้องนี้ จำฉันได้นานพอแล้ว
ฝูงจิ้งหรีดกลับมาร้องประสานอีกครั้ง มีรถวิ่งผ่านหน้าบ้านช้า ๆ จนได้ยินเสียงกรวดใต้ล้อ ที่ไหนสักแห่ง มีคนจุดพลุเร็วเกินเทศกาล เสียงไม่ดังนัก แต่ทิ้งกลิ่นบางอย่างไว้ในอากาศ
ฉันแค่นั่งอยู่ตรงนี้ กับพวกเขา กับเรื่องเล่า กับห้องที่รอคอยให้ได้ยินมานาน และในความเงียบนั้น ทุกอย่างอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถูกต้อง
Sponsored Ads
เค้าโครงเรื่องจาก “วันที่ครอบครัวกลับบ้าน” (2564)
นริศพงศ์ รักวัฒนานนท์