เสียงมาก่อนแสง
มันไม่ใช่ไก่ขัน ไม่ใช่ฝีเท้า ไม่ใช่กลิ่นกาแฟ มันคือ ซอล่องน่าน ที่แทรกผ่านคลื่นวิทยุชุมชน เพลงผีที่ไม่แคร์ว่าใครจะตื่นหรือไม่ ขอแค่มีที่ให้มันไปก็พอ
Sponsored Ads
ลาเต้สะดุ้งหูตั้ง ขาบาน หางฟู หนึ่งวินาทีถัดมา ปัง! ปัง! ปังปังปัง!
“โอ๊ย แมวบ้า!” แป้งตะโกนจากในห้องน้ำ
เสียงกระเด้งของถังน้ำสะท้อนเต็มผนัง น้ำแข็งใสพุ่งออกมาจากใต้เก้าอี้ เหยียบพรมก่อนจะกระโจนเข้าตะกร้าผ้า
ฉันยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน มีแค่เสียงซอล่องน่านที่ยังเล่นอยู่ เหมือนไม่เคยสนใจว่าใครตื่น
แม่เปิดประตูครัว พูดแทรกเสียงเพลงทันที
“ล้างเอาเสนียดออกไปกับปู่สังขานต์ ย่าสังขานต์เน่อ!”
แน่นอน
วันนี้ไม่ใช่วันธรรมดา
มันคือ วันสังขารล่อง วันที่สิ่งไม่ดีถูกเชิญให้ออกไป ด้วยความดัง ด้วยความตั้งใจ ด้วยประทัด และน้ำ
ฉันลุกขึ้นนั่ง
อากาศมีกลิ่นถ่านยามเช้าผสมใบมะลิ กลิ่นแบบที่ไม่ได้พยายามหอม แค่จำเป็น
พ่ออยู่หน้าบ้าน กำลังสรงน้ำพระ ไม่พูด ไม่มอง ไม่ง่วง มือเขาขัดเบา ๆ แบบไม่เร่ง น้ำในขันเงินมีกลิ่นมะกรูดกับส้มป่อย ลอยฟุ้งแต่ไม่ฉุน
แป้งโผล่หน้ามาพร้อมผ้าเช็ดหัว
“แม่ให้หันหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือใช่มั้ย?”
“ปีไส้(มะเส็ง)เน่อ หันทิศตะวันออกเฉียงเหนือ” แม่ตอบ
“แล้วถ้าดอกไม้ประจำปีเกิดไม่เข้ากับหน้าอะ?”
แม่ไม่ตอบ แต่ทัดดอกให้ทันที ไม่เปิดโหวต
ฉันเดินออกมาทางโถงบ้าน
ทั้งบ้านเหมือนถูกพลิกกลับด้าน ไม่ใช่แบบวุ่นวาย แต่เป็นการเคลื่อนย้ายที่มีจังหวะ ผ้าม่านถูกรูด หน้าต่างเปิด ทุกอย่างพร้อมให้ใครสักคนมอง สำรวจ… และถ้าโชคดี ก็ปล่อยผ่านไป
ลาเต้เดินตามมาด้วยท่าทีระแวดระวัง เขาดมหัวพรมที่เพิ่งถูกพลิก แล้วหันกลับทันทีเหมือนจะบอกว่า ยังเช้าไปสำหรับการปัดเป่าทางจิตวิญญาณ
อีกมุมหนึ่ง น้ำแข็งใสยึดเก้าอี้สูงสุดของบ้านไว้แล้ว มองทุกคนด้วยสายตาสงบ เหมือนเคยคุมพิธีไล่ผีมาแล้วหลายครั้ง
ฉันไม่ได้พูดอะไร
แค่เดินไปล้างหน้าในอ่าง แล้วเงยหน้ามองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
เสียง ซอล่องน่าน ยังคงเล่นต่อ ไม่ใช่แค่จากวิทยุ แต่จากบ้านข้าง ๆ อีกสามหลัง และอีกหลังที่ไกลออกไป
นี่ไม่ใช่พิธี
แต่มันคือคลื่นความถี่ และไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่ ฉันก็อยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว
Sponsored Ads
———————
หลังเสียงระฆัง ก่อนไม้กวาดจะเริ่มงาน
มันมีช่วงเวลาหนึ่ง… หลังเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ แต่ก่อนไม้กวาดจะออกปฏิบัติการ จังหวะที่ความศักดิ์สิทธิ์ใส่รองเท้าแตะ แล้วเปิดฉากสงครามกับฝุ่นละออง
“แป้ง! เอาผ้าขาวไปตาก แล้วอย่าลืมสระผมด้วยเน่อ หันทิศตะวันออกเฉียงเหนือ!”
นั่นแหละ คือเสียงปลุกจริงของฉัน
ไม่ใช่เพลงผี ไม่ใช่ประทัด ไม่ใช่แม้แต่เสียงลาเต้ที่เดินไปมาด้วยวิกฤตตัวตนแต่เช้า
แต่เป็นเสียงแม่ ตะโกนจากหลังบ้าน เหมือนแม่ทัพบัญชาการสงครามชำระบ้านรับปีใหม่
แป้งเดินกระแทกเท้าผ่านหน้าห้อง ห่อตัวในผ้าขนหนู พึมพำอะไรสักอย่างเรื่อง “ผมแห้งไม่ทันพระอาทิตย์” กับ “สระผมก่อนกาแฟคือการกดขี่ที่โหดร้ายที่สุด”
ฉันยันตัวลุกขึ้น… แล้วก็เสียใจทันที
กลิ่นน้ำอบกับมะกรูดฝานลอยเต็มโถงบ้าน แรงจัด หอมจัด และศักดิ์สิทธิ์เกินจะเรียกว่าสบาย
ตอนที่ฉันเดินถึงห้องหน้า บ้านก็เปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว
หม้อหลายใบเริ่มมีไอน้ำ
เสื่อผืนเล็กปูเรียงอยู่กับพื้น
แม่วางเสื้อเชิ้ตขาวไว้เรียงราวกับแจกชุดนักเรียน
เธอยื่นตัวของฉันมาแบบไม่พูดมาก
“เอาอันนี้ใส่เน่อ”
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีพื้นที่เถียง มีแค่ประโยคเดียว เรียบง่าย และชัดเจน
ฉันรับมา
—
พ่อก็นั่งอยู่ตรงม้านั่งไม้แล้ว กำลังสรงน้ำพระพุทธรูปองค์เล็กด้วยขันเงินที่มีน้ำส้มป่อย ไม่พูด ไม่ถาม ไม่ง่วง มือเขาเช็ดเบา ๆ เป็นวงกลม ช้า ๆ ไม่เร่ง
พระพุทธรูปแต่ละองค์มีเอกลักษณ์ บางองค์ทองหลุด บางองค์ยังมีสายสิญจน์เก่า ๆ มัดอยู่ เขาไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเป็นของเก่า แต่เขาทำเหมือนรู้ว่า “สิ่งนี้เห็นอยู่”
พี่วัฒน์ช่วยเติมน้ำในขัน แป้งกลับมาพร้อมผมเปียก ๆ และดอกไม้ทัดหู
“แม่ให้ทัดดอกไม้ประจำปีเกิดอะ มันไม่แมตช์กับคิ้วเลย” เธอบ่น
ไม่มีใครแย้ง
—
ฉันยกตะกร้าสานไปวางกลางห้อง
– ผ้าขาวพับเรียบร้อย
– ข้าวเหนียวห่อใบตอง
– ขันน้ำหอม
– แจกันเล็กใส่หมากผู้–หมากเมีย
– ถุงพลาสติกใสใส่ผลไม้ มัดด้วยยางแดง
– เทียนไข กับไม้ขีดที่ห่อพลาสติกไว้อย่างดี
ลาเต้โผล่มาตรวจของกลางทาง ดมทุกอย่าง ยกเว้นกล้วย น้ำแข็งใสกระโจนเข้ากองผ้าข้าง ๆ เหมือนเพิ่งออกจากห้องควบคุมเบื้องหลัง
“พี่กรณ์” แป้งถาม “เราต้องปลูกฟักจริง ๆ มั้ย หรือมันแค่เชิงสัญลักษณ์?”
ฉันกระพริบตา
“เรายังไม่ได้ขุดหลุมเลย”
“แม่เอาเมล็ดใส่กะลามะพร้าววางไว้ข้างบ่อน้ำแล้วนะ”
“แล้วถ้ามันงอกล่ะ?”
“ก็แปลว่าเราฉลาดขึ้นปีนี้ไง”
ฉันเลิกคิ้ว “แล้วถ้าไม่?”
“ก็รดด้วยน้ำสมองแทนมั้ง”
ฉันไม่ตอบ เพราะสีหน้าเธอดูจริงจังเกินจะเล่นมุกต่อได้
—
แม่เดินผ่านอีกครั้ง คราวนี้ถือขันเงินอีกใบ ในนั้นมีน้ำมนต์กับดอกดาวเรือง
เธอวางมันไว้ตรงขั้นบันไดหน้าชาน แสงเช้าสะท้อนขอบขันเป็นประกายพอดี แวบนั้นเหมือนเส้นแบ่งระหว่างวันนี้กับเมื่อวาน
“ไปตากหมอนก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะพาสวดมนต์” เธอว่า
ไม่มีใครตอบ แต่เราทุกคนก็ขยับ
ช้า ๆ
เหมือนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิ์ แค่ต้องพร้อมจะวางอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง
แสงแดดค่อย ๆ เคลื่อนพ้นชายคา ขันเงินสะท้อนแสงวิบวับ เสียงกระดิ่งบ้านใครสักหลังดังแว่ว
ลาเต้นั่งใต้เก้าอี้ระเบียง หูแนบลู่ แต่ยังมองทุกอย่าง
เราไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง แค่หันหน้าไปทางนั้น พร้อมกัน
Sponsored Ads
———————
หันหน้าไปทางที่ควรหัน
เวลาพ่อจะเรียกพวกเรา เขาไม่เคยตะโกน แค่เดินออกมาที่ชาน มองรอบบ้านเหมือนกำลังนับว่าเหลือใครยังไม่ได้โผล่ แล้วพูดว่า
“ออกมานั่งหันทิศตะวันออกเฉียงเหนือกันเน่อ”
เท่านั้นก็พอ
แป้งโผล่มาพร้อมเสื้อเชิ้ตที่ไหล่ยังเปียก ถือเสื่อม้วนหนึ่งกับเทียนหอมที่ตกแต่งเกินความจำเป็น
“แม่บอกให้ใช้เทียนขาว” พี่วัฒน์พูด
“อันนี้ก็ขาวในใจ” เธอพึมพำกลับ
ฉันถือขันน้ำส้มป่อยใบสุดท้ายมานั่งข้างลาเต้ เขาจัดตัวนอนพิงรองเท้าสองข้างราวกับกำลังเลือกข้างในศึกครอบครัวเงียบ ๆ
เราทุกคนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ไม่ใช่เพราะเชื่อโชคลาง แต่เพราะบ้านมันรู้สึกเหมือนอยากให้เราหันไปทางนั้น และบางครั้ง แค่นั้นก็พอแล้ว
พ่อคุกเข่า หยิบขันขึ้น เสียงเขาเบา แต่ชัดพอจะตัดผ่านอากาศยามเช้าได้
“สัพเคราะห์ สัพพะภัย สัพพะอุบาทว์ สัพพะพายาธิ แลกังวลอนตรายทังหลาย ขอหื้อตกไปพร้อมกับสังขานต์ เคราะห์ทางหลังอย่ามาถ้า เคราะห์ทางหน้าอย่ามาหา พุทธังถอด ธัมมังถอด สังฆังถอด หูรู หูรู สวาหาย”
พ่อเอาน้ำแตะหน้าผากตัวเอง แล้วแม่ พี่วัฒน์ แล้วก็ของฉัน
มันไม่ใช่พิธีใหญ่ ไม่ใช่อะไรที่ดราม่า แค่น้ำเย็น… เย็นพอให้รู้สึกว่า เริ่มใหม่ได้
พอถึงแป้ง เธอสะดุ้งเล็กน้อย
“เย็น! พ่อแช่น้ำแข็งไว้เหรอ?”
พ่อไม่ตอบ ซึ่งยิ่งทำให้เธอเขินหนักกว่าเดิม
—
หลังจากนั้น พ่อยื่นกะลามะพร้าวให้พวกเราคนละใบ ใส่ดินกับเมล็ดพันธุ์ ของพี่วัฒน์ฟักทอง ของแป้ง ฟักเขียว ส่วนของฉัน หน้าตาเหมือนเศษเมล็ดรวมรอบสุดท้ายในซอง
“ฝังมันไว้ข้างโอ่ง แล้วรดด้วยน้ำสะอาดเน่อ”
พ่อส่งช้อนตักขี้ควายแห้ง ห่อใบตองมาให้ฉันด้วย
กรณ์ อายุ 25 นักแต่งเพลง ตอนนี้ได้รับใบรับรองแล้วว่า “ถือขี้ควายแห้งได้”
—
เราทั้งหมดเดินไปหลังบ้าน แป้งเอาไม้แหย่ดินแบบไม่ค่อยตั้งใจ
“ถ้าของฉันโตเร็วของพี่ล่ะ?” เธอถาม
“ของเธอก็จะได้สืบทอดภูมิปัญญาครอบครัว” ฉันตอบ
“แล้วถ้าของพี่ตาย?”
“เธอก็จะเป็นคนฉลาดแทนโดยอัตโนมัติ”
เธอยิ้มแบบรู้ทัน
ฉันฝังเมล็ด รดน้ำ ไม่พูดอะไรพิธีรีตอง
ลาเต้มองจากชาน น้ำแข็งใสนั่งบนฝาโอ่ง เหมือนผู้พิทักษ์ประจำศาลเฉพาะกิจ
ลมยามเช้าอุ่นแต่ไม่เร่ง และปีนี้ ปีแปลก ๆ หนัก ๆ ที่เหมือนไม่ยอมเดินไปไหนสักที ก็เหมือนเพิ่งขยับถอยหลังหนึ่งก้าว
ไม่ใช่เพราะพ่ายแพ้ แต่เพราะมัน “อนุญาต”
Sponsored Ads
———————
เมื่อบ้านได้หายใจ
เมื่อถึงช่วงสายๆ แดดก็เหยียดตัวคลุมทุกพื้นผิวของบ้าน
ชานหน้าบ้านเต็มไปด้วยของตากแดด เสื่อ เสื้อเชิ้ต ผ้าขาวที่พับเรียบร้อย หมอนที่ไม่ได้เจอแสงอาทิตย์มาหลายปี
แม่เดินไปมาเงียบ ๆ เหมือนกำลังไล่เงาเสนียดที่อาจซุกอยู่ตามซอกไม้เก่า
แป้งเอาเสื้อเปียกไปแขวนบนไม้แขวนรูปหมีการ์ตูน พี่วัฒน์ล้างมือตัวเองด้วยน้ำอบเป็นรอบที่สาม อาจเพราะนี่คือพิธีเดียวที่กลิ่นหอม
พ่อ?
หายไปหลังบ้าน น่าจะไปดูแปลงปัญญาปุ๋ยขี้ควายของพวกเรา
ฉันนั่งอยู่ตรงชาน
ลาเต้นั่งเฝ้าตะกร้าผ้าเหมือนเป็นยามกิตติมศักดิ์ น้ำแข็งใสขดตัวอยู่ใต้ม้านั่ง ไม่ให้แสงส่องถึงตัว แต่ก็อยู่ใกล้พอจะจ้องฉันได้
ฉันไม่ได้รู้สึก “เบา” ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ถูกอากาศกดทับเหมือนเมื่อวาน
บางที แค่นั้นก็พอแล้ว
—
ฉันเดินขึ้นไปชั้นบน เพื่อหยิบหนังสือ ไม่ได้มีเล่มไหนในใจเป็นพิเศษ แค่ทำทีว่า “ตั้งใจมาเอา”
ฉันผ่านตู้ผ้าขาวม้า เห็นผืนลายตารางที่ไม่เจอมานาน ไม่ได้หยิบ ไม่ได้แตะ แค่เดินต่อ แล้วลงมาข้างล่าง ก้าวข้ามสายไฟ จัดผ้าอีกผืนบนราวตากให้เข้าที่
จากนั้นก็นั่งลง
หายใจ
ตั้งใจฟัง
ไก่ขันบ้านข้าง ๆ เพิ่งร้อง ช้าไปประมาณสามชั่วโมง เสียงลำโพงจากอีกฟากถนนเพิ่งเงียบลง
และบ้าน… ก็ยังเงียบอยู่
ไม่ใช่ความเงียบแบบเกร็ง ไม่ใช่ความเงียบที่ต้องกลั้นใจ
แค่เงียบ แบบที่เหมือนเพิ่งถอนหายใจของบางสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บไว้เลย
—
ฉันไม่ได้เปิดโน๊ตบุ๊ค ไม่ได้เขียนอะไร ไม่ได้เปิดไฟล์เมื่อคืน เรื่องราวนั้น…จบไปแล้ว เช้านี้มันพาอะไรบางอย่างออกไปด้วยแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่ตรงนี้ อาจอยู่ได้อีกสักหน่อย
ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ น้ำแข็งใสไม่ขยับ
และปีนี้ ที่แก่ขึ้นและหนักเท่าเดิม มันก็เหมือนเพิ่งยอมให้แสงสว่างกลับเข้ามาในที่สุด
Sponsored Ads