076-วันที่ไม่มีเรื่องราว

บางวัน… ก็ไม่ได้เริ่ม มันแค่ “ต่อเนื่อง” ไปเฉย ๆ

ไม่มีนาฬิกาปลุก ไม่มีเสียงไก่ขัน ไม่มีหมาเห่า มีแค่เสียงแม่พับผ้าตรงปลายบันได กับกลิ่นข้าวเหนียวตากแดดที่ลอยผ่านโถงบ้านมาเบา ๆ

Sponsored Ads

14 เมษายน วันเนา

วันที่คุณ “ห้ามทะเลาะกัน”

ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีใครพูดเสียงเกิน 40 เดซิเบลมาตั้งแต่เช้า

พี่วัฒน์เช็ดราวระเบียงด้วยผ้าชุบน้ำ แป้งจัดชั้นยาใหม่ พ่อนั่งอยู่บนเสื่อ ทำความสะอาดเล็บด้วยมีดปลายทู่ ๆ เหมือนกาลเวลาไม่เคยมีผลกับเขา

ฉันเดินเข้าครัว ทำทีเหมือนจะช่วยอะไรได้บ้าง 

แม่ล้างจานเสร็จหมดแล้ว ฉันขยับแก้วไปทางขวาอีกครึ่งเซนติเมตร ไม่มีใครสังเกต

ลาเต้กระโดดขึ้นชั้นเหนืออ่างล้างจาน แล้วปัดขวดเครื่องเทศเปล่าให้ร่วงลงมา เสียงมันกระทบพื้นเหมือนกำลังหาเรื่อง

ทุกคนหันขวับ

แต่ไม่มีใครพูดอะไร แม่แค่กวาดใส่ที่โกยผง พี่วัฒน์มองแวบเดียว แป้งยังม้วนผ้าก๊อซต่อแบบไม่หยุดมือ

ฉันถือว่านั่นคือ “สัญญาณอนุญาตให้หายตัว”

เลยเดินขึ้นห้อง เปิดโน้ตบุ๊ก ไฟล์ *วันที่ครอบครัวกลับบ้าน* ยังอยู่ ยังเซฟไว้ ยังไม่มีใครอ่านนอกจากฉัน

เคอร์เซอร์กะพริบอยู่บรรทัดสุดท้าย เหมือนรอเสียงปรบมือ หรือพิธีเผา ฉันเลื่อนเมาส์ไปใกล้โฟลเดอร์ “เสียงระหว่างซอย – Submission Email”

แค่ลากไปวาง ก็ส่งได้แล้ว

แต่มือยังค้างอยู่

ที่ข้างล่างมีคนเปิดวิทยุ เพลงยุค 80 เบี้ยว ๆ เสียงแตก ๆ แต่เหมาะกับอากาศร้อนดี

ฉันปิดโน้ตบุ๊ก ไม่ใช่เพราะกลัว แค่รู้สึกว่าตอนนี้เรื่องนั้นมันยัง “เป็นของบ้านนี้” อยู่

พรุ่งนี้ค่อยให้มันไป หรืออาจจะไม่ก็ได้

บ่ายวันนั้น พวกเรานั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน แบบไม่ได้ทำอะไร

แม่เย็บอะไรบางอย่างด้วยด้ายแดง พ่อหลับบนม้านั่งไม้ไผ่ กอดอกเหมือนคนในภาพถ่ายเก่า พี่วัฒน์ตรวจสายยางรดน้ำ ว่ามีรั่วตรงไหนมั้ย ทั้งที่เพิ่งซ่อมไปอาทิตย์ก่อน แป้งนอนเหยียดยาว มองเพดาน  ริมฝีปากขยับเหมือนกำลังซ้อมเถียงในหัว แต่ก็ไม่พูดออกมา

ลาเต้นอนเหยียดยาวข้างขันน้ำดื่ม น้ำแข็งใสซ่อนอยู่บนขอบหน้าต่าง ขาหน้าข้างหนึ่งงอเก็บใต้ตัว  เหมือนราชินีที่ยังไม่เรียกประชุม

ไม่มีใครถามฉันว่า “โอเคมั้ย”

ซึ่งก็ดีที่สุดแล้วล่ะ เมื่อวานนี้บ้านได้ถามไปแล้ว

และฉันก็ตอบ ด้วยวิธีเดียวที่ฉันรู้จัก

คือ…อยู่ตรงนี้

Sponsored Ads

———————

หลังรถกระบะ ในวันปีใหม่

เราออกจากบ้านหลังเสียงไก่ตัวผู้ “ตัวที่สำคัญ” ตัวแรกขัน ไม่ใช่ไก่เมาที่ร้องตอนตีสามห้าสิบ แต่ตัวที่รอให้แดดเริ่มแรงก่อนถึงยอมส่งเสียงร้อง

อากาศยามเช้ายังไม่ตัดสินใจว่าจะใจดีหรือใจร้าย ฉันนั่งอยู่ท้ายกระบะ บนผ้าห่มพับเก่า ๆ ระหว่างแป้งกับพี่วัฒน์ 

แม่กับพ่อนั่งหน้าในแค็บ  แม่วาง ขันดอกสีทอง ไว้ตรงเข่า ขันโลหะตื้น ๆ ลงรักปิดทอง ที่มีสวยดอกเล็ก ๆ เรียงอยู่เต็ม พร้อมดาวเรือง มะลิ และใบตองพับจีบ กลิ่นเหมือนสบู่กับความทรงจำผสมกัน

พี่วัฒน์หนุนหมอนใบเล็กไว้ตรงข้อศอกกับขอบกระบะ  ในมือมีสวยดอกใบตองม้วนแน่น ดอกไม้ขาวแซมเหลืองกับธูปปักตรงกลาง ไม่มีลาย ไม่มีโบ ไม่มีดอกไม้แปลกตา แต่กลีบพับตรงทุกชั้น เหมือนคนที่ไม่พูดเยอะ แต่ทำทุกอย่างแบบไม่ให้ใครตำหนิได้

แป้งถือ สวยกาบการเวกใบตองสองสี กลีบเขียวตัดเหลืองพับซ้อนกันเป็นจังหวะนิ่ง  กระทงเอนโคลงตามแรงกระแทกหลุม แต่มือเธอไม่สั่น

ส่วนฉันถือสวยดอกอีกอัน ใบตองพับธรรมดา แต่ยัดดอกไม้จนแทบล้น ดาวเรืองเหลืองสดเต็มกรวย ธูปกับเทียนเบียดกันแน่นเหมือนกลัวจะไม่พอใช้ เหมือนคนที่ไม่รู้จะอธิษฐานอะไร เลยยัดเผื่อไว้ก่อน

ไม่มีใครชมพี่วัฒน์ว่าเก่งเรื่องพับใบตอง แต่บ้านเราก็ไม่มีใครกล้าพับแข่งกับเขาเหมือนกัน 

…ฉันเลยไม่แข่ง แค่พับเองไม่ได้ ก็เลยยัดดอกไม้ให้เยอะเข้าไว้แทน

เราไม่ได้พูดอะไรกัน ไม่ใช่เพราะอึดอัด แต่เพราะมันคือ “ความเงียบของพิธี” เงียบแบบที่ใครเริ่มไว้ก่อน แล้วเราไม่อยากทำให้มันพัง

รถกระแทกหลุม  หัวแป้งโขกกับฝาหม้ออาหารเบา ๆ

“โอ๊ย…” เธอบ่น พร้อมลูบหัว 

พี่วัฒน์หัวเราะแผ่ว ๆ แล้วส่งหมอนไปให้

ไม่มีใครพูดอะไรอีก

เราผ่านเด็กถือถังน้ำอยู่สามสี่คน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกวาดหน้าร้าน พระรูปหนึ่งเดินเท้าเปล่าอยู่ข้างทาง ก้าวไม่ช้าไม่เร็ว แค่…มั่นคง

วัดอยู่ข้างหน้า หลังแนวต้นขนุน

ฉันได้ยินเสียงลำโพงก่อนเห็นซุ้มประตู ไม่ใช่เสียงเพลง แค่เสียงหึ่ง ๆ จากไมค์กับอาการไอกระแอมของใครบางคน

แม่ขยับขันดอกให้มั่น พ่อเปิดไฟเลี้ยว ทั้งที่ไม่มีรถสักคันอยู่ใกล้เลย

ส่วนลาเต้ไม่ได้ตามมา เขานั่งอยู่ตรงขั้นบันไดหน้าบ้าน 

มอง ไม่ร้อง ไม่กระโดดขึ้นรถ แค่กระพริบตาช้า ๆ หนึ่งครั้ง เหมือนเขารู้ว่าขอบเขตของเขาจบตรงหน้าประตูรั้ว

น้ำแข็งใสก็ไม่ขยับ ยืดตัวครั้งเดียวใต้ม้านั่ง แล้วนิ่งอยู่ในแดดอุ่น นี่ไม่ใช่โลกของพวกเขา และพวกเขาไม่พยายามแกล้งทำเป็นว่าใช่

พอรถเลี้ยวเข้าลานวัด  ฉันเพิ่งรู้ว่ามือฉันเปียกเหงื่อ ไม่ใช่เพราะประหม่า

แค่…ถือสวยดอกไว้นานเกินไป กรวยใบตองอุ่นอยู่ในฝ่ามือ ดอกดาวเรืองยังไม่ร่วง ยังไม่เหี่ยว 

แต่…ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว

Sponsored Ads

———————

ไม่มีสาว ๆ ในลานวัด

แม่หยุดยืนตรงบันไดวัด ไม่ใช่เพื่อไหว้พระ ไม่ใช่เพื่อถ่ายรูป แต่เพื่อหมุนกระถางดาวเรืองที่มีคนวางไว้ผิดมุม ให้หันหน้าให้ตรง

แค่นั่นพอแล้วที่จะทำให้ทั้งครอบครัวหยุดเดิน

พ่อขยับปกเสื้อ  พี่วัฒน์ยืนหลบแดด แป้งเอาเท้าข้างหนึ่งถูข้อเท้าอีกข้างเบา ๆ  ฉันก้มมองสวยดอกในมือ คิดอยู่เงียบ ๆ ว่าดอกดาวเรืองในนั้นเริ่มเปลี่ยนสียัง

พอกระถางหันถูกทาง เราก็เดินต่อ ระเบียบคืนสู่ตำแหน่ง ประเพณีได้รับการยืนยัน

วัดคนแน่น แต่ไม่มีเสียงดัง นี่ไม่ใช่วัดกรุงเทพฯ หรือแม้แต่วัดเชียงใหม่ มันคือวัดที่แก่ไปพร้อม ๆ กับผู้คน

และผู้คน… ก็ดูบางตาลงเรื่อย ๆ

มีเด็กนักเรียน เด็กผู้หญิง ไม่น่าจะเกิน ม.ปลาย สองคนถือสวยดอกเล็ก ๆ เดินเร็ว ไม่สบตาใคร

มีผู้เฒ่าในชุดขาว พนมมือ ดวงตานุ่ม  มีผู้ชายเสื้อแขนสั้นจัดขันน้ำเรียงในถัง  มีแต่คนรุ่นแม่ ที่เงียบ ขยัน ไม่ต้องให้ใครสั่ง

แต่คนรุ่นอื่นหายไปไหน?

พวกอายุยี่สิบกว่า ๆ ผู้หญิงที่เคยหัวเราะเวลาอธิษฐาน  เด็กสาวที่เคยกลอกตาเวลาเทศน์ยืดยาวแต่ก็ยังมากอดแขนยาย

พวกเธอไม่อยู่ที่นี่ และมันไม่ใช่การหายไปแบบดราม่า แค่… ความว่างเปล่าตรงขอบภาพ เหมือนมีใครครอปภาพพวกเธอออกไปแล้ว

แป้งเอียงตัวเข้ามา 

“รู้สึกเหมือนเรามาช้าไปปีนึงเลยป่ะ?” เธอกระซิบ

ฉันยิ้ม แต่ไม่ตอบ

เพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกว่ามาสาย แต่มันคือ… จุดศูนย์ถ่วงที่เปลี่ยน โดยที่ไม่มีใครอยากพูดถึง

ที่มุมหนึ่งใกล้ศาลาธรรม มีถาดดอกไม้เก่าถูกวางทิ้งไว้  ถาดทองแดง ขอบด้าน ดอกดาวเรืองในนั้นยังสดอยู่ แต่เรียงไม่เท่ากัน เหมือนมือที่จัดมันอาศัยแค่ความเคยชิน

ใช้ซ้ำ วางซ้ำ แต่ยังถูกถวาย มันดูจริงใจ และบางทีนั่นแหละที่ทำให้มันรู้สึกเปราะบาง

ด้านหลังฉันมีหญิงชราสองคนนั่งพัดใส่ตัวเบา ๆ

แต่ก่อนนี่ สาว ๆ เต็มศาลา” 

เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในเมืองหมดแล้วแต๊” 

“สาว ๆ สวย ๆ น่ะ ไปทำงานใส่ชุดงาม ๆ หมดเน้อ…”

ไม่ใช่คำบ่น มีแค่คำเล่า และการยอมรับอย่างสงบ เหมือนยืนดูรถเมล์ออกตัว แล้วรู้ตัวว่าเราไม่ต้องวิ่งตามมันแล้ว

เราทำพิธี สรงน้ำพระ รดน้ำอบบนองค์พระ เช็ดฐานหินอ่อนด้วยผ้าผืนที่สะอาดที่สุด

ไม่มีใครเร่ง ไม่มีใครอธิบาย

แป้งช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรับถาดให้ตรง พี่วัฒน์ยื่นสวยดอกสุดท้ายให้พระรูปหนึ่งโดยไม่พูดอะไร

แม่ถ่ายรูป พร้อมกับแก้พวงมาลัยของคนอื่นให้หันหน้า พ่อหยอดเงินลงตู้บริจาคแบบพอดีเป๊ะ

ตอนขากลับ ฉันเห็นถาดทองแดงใบนั้นอีกครั้ง มันยังอยู่  มันยังไม่เท่ากัน มันไม่สวย

แต่…มันมีชีวิตชีวา และในความเงียบ ฉันได้ยินประโยคหนึ่งก่อตัวในความขึ้นมา 

“ของแท้ ดูกี่ครั้ง ก็ดูดี นะ ของแท้ มีชีวิต ชีวาดี นะ”

มันยังไม่ใช่เนื้อเพลง  แต่มันก็ไม่ไปไหน

เหมือนการเริ่มต้นของบางอย่างที่ฉันยังไม่พร้อมจะพูด

Sponsored Ads

———————

กองทรายกับหลานของใครสักคน

แดดช่วงบ่ายร้อนทะลุทรายตรงมุมต้นโพธิ์ 

เจดีย์ทรายสิบกอง ไม่มีร่มเงา มีไม้กวาดสองอัน และโต๊ะตุงสีสดทุกเฉดที่ไม่ควรมีในโทนพาสเทล

แม่กับพ่อหายไปตั้งแต่ก่อนเที่ยง ได้ข่าวว่าไปช่วยวัดเตรียมไม้ค้ำโพธิ์ 

แป้งบอกว่าแม่เป็นคนเลือกผ้าผูกหัวไม้ ส่วนพ่อ…ยืนขัดเงาไม้เนื้อแข็งจนสะท้อนแดด เหมือนจะอธิษฐานผ่านฝุ่นไม้ มากกว่าคำพูด

เราเหลือสามคนที่ลานทราย 

แป้งทำเจดีย์ได้เฉียบแบบไม่ดูพยายาม พี่วัฒน์ทำฐานทรายได้มั่นราวกับเทปูนมา

“ใครปั้นแบบนี้วะ มันจะถล่มอยู่แล้ว” เขาบ่นเบา ๆ ขณะเกลี่ยทรายใหม่อีกรอบ

ไม่มีใครเถียง 

ยังอยู่ในวันห้ามทะเลาะกัน

ข้าง ๆ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุน่าจะสักหกขวบ ใส่ชุดลายดอก ถุงเท้าคนละข้าง หน้าตาจริงจังผิดวัย

เธอสร้างเจดีย์ของตัวเองแล้วพังเองไปราวห้ารอบ ทุกครั้งมันเอนล้มแบบควายเหนื่อย

ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครช่วย

เธอแค่ขุด ตบ ประกอบ ถมใหม่ หน้าตาแน่วแน่แบบคนเริ่มฝึกใจพังตั้งแต่ประถม

“ลูกใครเนี่ย เก่งแต๊” 

“หลานนังน้อย อาศัยอยู่ฝั่งโน้น” 

“ใจนักสู้เหมือนแม่เปี๊ยบ”

เสียงขับกล่อมของบรรดาป้า ๆ ยาย ๆ เริ่มขึ้น

ฉันปั้นเจดีย์ได้หนึ่งกองแล้วเสียบตุงสีเขียว มันเอน แป้งยัดตุงของตัวเองลงแรงกว่า 

“ต้องให้มันแน่นแบบนี้” เธอบอก

ตุงหักทันที

แม่เดินกลับมาพร้อมกลิ่นน้ำอบ

พ่อเดินตามหลังเหมือนคนเพิ่งฝากชื่อไว้กับต้นไม้ใหญ่ เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินกลับมาพร้อมฝุ่นไม้ติดมือ เหมือนคนที่เพิ่งช่วยค้ำอะไรไว้ แล้วปล่อยให้มันยืนอยู่ของมันเอง

แม่ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง 

“ไม่เป็นไรลูก เอาของปีที่แล้วก็ได้ ยังอยู่ในถุงเดิม”

ฉันเกือบสำลักเสียงหัวเราะ

เราล้างมือด้วยน้ำอบใส่ใบส้มป่อยกับดอกมะลิ แม่คลี่ผ้าถาดของถวายช้า ๆ

ใกล้ศาลาการเปรียญมีเสียงหัวเราะเบา ๆ จากกลุ่มญาติอีกครอบครัว รดน้ำกันพร้อมตุงเจ็ดสีและพวงมาลัยขาว กลิ่นข้าวเหนียว ไก่ย่าง และกลิ่นลาบลอยมาตามลมปะปนกับเสียงคนเรียกชื่อหลาน

โต๊ะของเราอยู่ใต้ต้นมะขามหลังโบสถ์ ไม่มีป้ายชื่อไม่มีขันเงินหลายใบ แค่ถาดผ้าธรรมดา กับน้ำอบที่แม่เตรียมเองตั้งแต่เช้า

พ่อปัดใบไม้รอบม้านั่งไม้ไผ่ตั้งแต่ก่อนแดดส่องถึง เหมือนตั้งใจจะทำแค่ของเรา เงียบ ๆ แบบที่ไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง

ถึงเวลารดน้ำดำหัว

พ่อนั่งตัวตรงบนม้านั่งไผ่ 

แม่นั่งข้าง ๆ มือประสานตัก ท่าทางเหมือนครูใหญ่รอเด็กนักเรียนมาแก้ตัว

พี่วัฒน์รดก่อน มือมั่นคง 

แป้งตามด้วยสีหน้าครึ่งจริงครึ่งเล่น

ฉันเป็นคนสุดท้าย

น้ำไม่เย็นจากอากาศ แต่มาจากความคุ้นเคยของมือที่ถือมันต่อ ๆ กัน

ขอให้พ่อแม่สุขภาพแข็งแรง ปีนี้ได้ฮู้สึกอุ่นใจหลายแล้วเน่อ” 

พูดออกไปแบบตรง ๆ ไม่ต้องอ้อม

แม่ยิ้ม พ่อพยักหน้าเบา ๆ ไม่มีพิธี แต่ก็รู้สึกเหมือนให้อภัยโดยไม่ต้องขอ

ช่วงเย็นหน้าโต๊ะอาหาร มีใครบางคนเอาลาบดิบไปวางข้างไก่ย่าง 

“กินเต๊อะ ลาบวันปีใหม่ เป๋นสิริมงคล!”

ฉันไม่ค่อยมั่นใจ

“พ่อทำเองเน้อ” 

คราวนี้ยิ่งกังวล

ฉันตักมาพอดีคำ รสชาติคือเครื่องเทศ ผสมความเคารพ กับความเสี่ยงต่อระบบย่อยอาหาร

ฉันมองหา ลาบคั่ว

ลุงข้าง ๆ หัวเราะ “ของกิ๋นลำอยู่ตี้คนมัก ของฮักอยู่ตี้คนเปิงใจ๋ เน้อหนุ่ม”

ฉันพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่แอบอธิษฐานเงียบ ๆ

พี่วัฒน์กินหมดสองชาม  แป้งให้เขาเซ็นพินัยกรรมล่วงหน้า

เย็นย่ำ พระเริ่มสวดมนต์ผ่านลำโพงวัด เสียงแตกพร่า

มีเสียงไอ มีเสียงกระดิ่ง แล้วก็เสียงไออีก

บทสวดทำวัตรเย็นเจริญจิตภาวนาค่อย ๆ เริ่ม เหมือนกำลังหาตำแหน่งตัวเองในอากาศ

ฉันนั่งตรงขอบลานวัด มองออกไปที่ลานทราย เจดีย์หลายกองเริ่มทรุด แสงเงาแทะฐานจนเบี้ยว

ยกเว้นอยู่กองเดียว กองของเด็กหญิงคนนั้นยังตั้งอยู่ เอนเล็กน้อย ปะด้วยหญ้าเปียก ตุงเหลืองหนึ่งต้นเสียบไว้เฉียง ๆ คล้ายธงโจรสลัด

ไม่มีใครตบมือ ไม่มีใครช่วยเธอซ่อม

เธอแค่นั่งข้าง ๆ แขนเปื้อนทราย ตามองลมเหมือนจะถามว่ามันจะพังอีกไหม

ฉันยังไม่เขียนอะไร  ยังไม่ใช่ตอนนี้

แต่ระหว่างเจดีย์ที่เอนไปแล้ว  ตุงที่หัก และเด็กที่ไม่มีใครช่วย ก็มีประโยคหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

“ถ้ามันพังง่ายนัก คราวหน้าก็ลองก่อให้ใหญ่เท่าเจดีย์ในวัดดูสิ ถึงจะพัง…แต่ก็พังแบบที่มีใครจำได้”

มันยังไม่ใช่เรื่องสั้น แต่ก็ใกล้มากแล้ว

Sponsored Ads