079-คืนสุดท้าย

ห้องครัวมีกลิ่นควันไม้ หอมเจียว และอะไรบางอย่างที่ถูกแช่น้ำส้มสายชูนานเกินไป

ฉันพิงกรอบประตู แม่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เธอล้างขวดอยู่ ช้าและสม่ำเสมอ เหมือนเวลาจะไม่มีสิทธิมายุ่งกับเธอ

Sponsored Ads

“แม่จะล้างถึงพรุ่งนี้เหรอ?” ฉันถาม

“ลืมล้างตอนเย็น” แม่ตอบ ก่อนจะเติมว่า “ไม่งั้นมันจะขึ้นฝ้าข้างใน”

เสียงวิทยุแทรกเบา ๆ จากชั้นไม้ตรงมุมห้อง ทำนองบาง ๆ ลอยผ่านความเงียบ ซอล่องน่าน เพลงที่เคยได้ยินตอนงานวัดกับตอนนั่งท้ายกระบะดึก ๆ แต่ในครัวที่นิ่งแบบนี้ มันฟังดู… เหมือนกำลังหลบเสียงตัวเอง

แม่หันไปหยิบผ้าเช็ดจานแล้วตบมันเบา ๆ กับมือ 

“แป้งน่าจะเอาของเตรียมให้หมดแล้วมั้ง

“แป้งยัดข้าวเงี้ยวใส่กล่องให้แล้ว”

แม่พยักหน้า 

“อย่าลืมเอาช้อนด้วยละกัน”

เราไม่ได้พูดถึงรถไฟตอนเช้ามืด หรือคำถามว่า ฉันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่

แม่เช็ดฝาปิดกล่อง แล้วคว่ำมันลงบนเคาน์เตอร์อย่างตั้งใจ 

“แล้วโน้ตบุ๊กใหม่นั่น มันทนไหม?” 

“เทียบกับเครื่องคอมฯ เครื่องเก่าคือเหมือนขี่เครื่องบินแทนซาเล้งเลย”

เธอยิ้มนิดเดียว แต่ฉันเห็นนะ

จากหน้าต่างที่เปิดไว้ ฉันเห็นเงาเคลื่อนไหว หูของลาเต้โผล่ขึ้นมาก่อน ในแสงจันทร์จาง ๆ ตามด้วยร่างกลม ๆ ของเขาที่เดินออกไปด้านนอก

เขาไม่ได้ไปไกล แค่เดินไปถึงขอบบ่อปลา น้ำแข็งใสอยู่ตรงนั้นแล้ว ตรงฝาปิดบ่อคอนกรีต นอนขดตัวเหมือนเจ้าแม่ผู้มีความไว้วางใจแบบมีเงื่อนไข เธอไม่ขยับตอนลาเต้เดินเข้าไปใกล้ แต่ก็ไม่ขู่เหมือนเคย

แม่ไม่ได้หันไปมอง แต่มือเธอหยุดล้างกระป๋องไปครู่หนึ่ง 

“ถ้าแมวมันไม่กัดกัน ก็น่าจะเป็นลางดีนะ”

“หรือเป็นลางว่าฝนจะตกก็ได้” ฉันแย้ง

“แมวไม่ใช่นกนะ” 

“หรือแม่เป็นร่างทรงแมว?” 

“พูดมาก เดี๋ยวก็อดกินข้าวเงี้ยวที่ให้ไว้หรอก”

นั่นแหละ คือคำว่า “เดินทางดี ๆ นะ” ของแม่ 

ส่วนของฉันก็คงจะเป็น “ไว้เจอกัน ถ้ามีเหตุผลจะกลับมา”

ข้างหลังเรายังมีเสียง ซอล่องน่าน เล่นอยู่ ไม่ใช่เพื่อใครเป็นพิเศษ และข้างนอกนั้น แมวสองตัวก็นั่งเงียบ ๆ ข้างบ่อปลา บ่อที่ดูเหมือนจะจดจำอะไรมากกว่าที่มันสะท้อน

Sponsored Ads

———————

หลังสวนและหลังคน

หลอดไฟหลอดเดียวเหนือโรงเก็บของกระพริบราวกับไม่แน่ใจว่าควรสว่างต่อดีไหม

พ่อกำลังก้มตัวอยู่กับสายยางม้วนหนึ่ง ตรวจหัวบีบกับตัวล็อกแบบที่ไม่ต้องมีป้ายบอก เขาจัดการของในกล่องเครื่องมืออย่างคนที่ไม่ต้องใช้หมวดหมู่ แค่ใช้ความเคยชิน

ฉันรอจนเขาหยุดมือลง แล้วเดินเข้าไปใกล้

“หัวฉีดตรงแปลงข้างบ้านน่าจะต้องเปลี่ยนด้วยนะ” ฉันว่า มันฟังดูเหมือนข้อเสนอมากกว่าคำสั่ง

เขาไม่เงยหน้า แค่พึมพำว่า “เห็นแล้ว”

เสียงจักจั่นคืนนี้เงียบลงกว่าทุกวัน อาจเพราะมันร้องหมดแรงไปแล้วในอาทิตย์นี้ หรือบางทีมันอาจรู้… ว่ามีใครบางคนกำลังจะไป

“พรุ่งนี้ไม่ต้องเดินมาส่งก็ได้นะ” ฉันพูด

“แล้วใครจะเปิดรั้วให้ล่ะ”

“ลาเต้เปิดเองได้”

นั่นทำให้เขายิ้มมุมปาก น้อยมาก แต่พอเห็น

เขาลองบีบปลายสายดูเพื่อทดสอบแรงดัน แล้วจ้องมันบิดตัวอยู่ครู่ ก่อนจะเช็ดมือลงบนผ้าขี้ริ้วที่มีรูมากกว่าผืน

ฉันนั่งลงบนขอบม้านั่งไม้

“พ่อ”
“หือ?”
“ถ้าระบบมันรั่วอีก…ให้วัตน์จัดการเถอะ”

เขาหยุดมือลงทันที

“ไม่ต้องรอให้ป่วยก่อน ไม่ต้องดื้อคนเดียว วัตน์เขาทำได้อยู่แล้ว”

ความเงียบที่ตามมาไม่ใช่ความอึดอัด มันเป็นความเงียบแบบที่เกิดขึ้นระหว่างภูเขาสองลูกที่เคยตะโกนข้ามหุบเขาหากันมานาน… และตอนนี้ ไม่มีอะไรจะตะโกนอีกแล้ว

พ่อวางสายยางลงข้างตัว “แล้วถ้ามันบ่นล่ะ”

“ก็ให้มันบ่น แต่มันก็ทำ”

เขาพยักหน้าช้า ๆ ตายังมองอยู่ที่พื้นกรวด ไม่ได้ตอบตกลง ไม่ได้ปฏิเสธ แค่ยอมรับ ว่าฟังอยู่

เงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “ไอ้โน้ตบุ๊กที่ซื้อมา…มันต่อหัวฉีดน้ำได้ไหม”

ฉันกระพริบตา ก่อนจะหัวเราะออกมา “พ่อจะเอามาคุมระบบรดน้ำสวนเหรอ?”

เขายักไหล่ “เห็นบอกว่าทำได้หลายอย่าง”

ฉันยิ้มออก แม้ไม่อยากให้หลุด “ถ้าเอาลาเต้ช่วยดูอัตราการไหลของน้ำก็น่าจะไหวนะ”

พ่อไม่หัวเราะ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาเอื้อมไปกดไฟฉายข้างตัว ปิดมันลง ความมืดโรยตัวลงช้า ๆ หนาแน่นแต่ไม่กดทับ

“อย่าลืมใส่หมวกตอนอยู่กรุงเทพฯ” เขาพูดพลางลุกขึ้น

“ใส่แมวแทนได้ไหม”

เขาไม่ตอบ แค่เดินจากไปด้วยจังหวะของคนที่ไม่เคยต้องรีบเพื่อจะสื่อสารอะไร

ข้างหลัง ฉันได้ยินเสียงม้านั่งลั่นเอี๊ยดเบา ๆ กล่องเครื่องมือยังเปิดอยู่ และสายยางม้วนเดิมนั้น ก็ยังนิ่ง เหมือนคำถามที่ยังไม่มีใครตอบ

Sponsored Ads

———————

เสียงรถกับคำที่ไม่ได้พูด

กระบะตอนเดียวมันคับแคบพอ ๆ กับความทรงจำ แน่น ฝุ่นเกาะ และไม่มีที่วางศอกแบบที่ไม่ชนกัน

พี่วัตน์โยนกระเป๋าฉันไปหลังกระบะ แล้วรอให้ฉันปีนขึ้นไปนั่ง ลาเต้อยู่ในกระเป๋าแคปซูลเรียบร้อย วางบนตักฉันราวกับเจ้าราชาในโดมพลาสติก

“อย่าทำรถกูเหม็นแมวนะ” 

“เขาใส่น้ำหอมกลิ่นลำไยมาแล้ว” 

“ยิ่งแย่”

เราขับออกจากบ้าน เสียงล้อบดหินกรวดดังเหมือนซีเรียลในปากคนที่เหนื่อยเกินจะเคี้ยวให้ละเอียด ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ความมืดเริ่มคลายมือ

“แม่ตื่นยัง?” 

“น่าจะยัง รอเสียงมอเตอร์น้ำก่อนค่อยลุก” 

“ก็เลยตั้งใจขับออกมาแบบหลบหน้า?”

พี่วัตน์ไม่ตอบ แปลว่า ใช่

ลาเต้ขยับตัวเล็กน้อยในกระเป๋า ไม่ใช่เพราะอึดอัด แต่เพราะเขารับรู้

“กล่องทัปเปอร์แวร์ที่แป้งให้ นายจะกินตอนสายหรือเก็บไว้ตอนบ่าย?” 

“ขึ้นกับว่าอาหารชุดบนรถไฟมันน่ากลัวแค่ไหน” 

“ก็อย่ากินอะไรแปลก ๆ แล้วกัน” 

“นอกจากเนื้อเพลงเก่า ๆ ที่ฉันเขียนใช่ไหม”

เขามองค้อน ฉันยิ้มมุมปาก

เราขับผ่านป้ายไม้ของสหกรณ์หมู่บ้าน ยังสะกดผิดเหมือนเมื่อสิบปีก่อน

“เออ พี่วัตน์” 

“หือ” 

“องุ่นที่เคยพูดไว้กับพ่อ ลองคุยดูอีกทีนะ มันต้องมีวิธีทำให้รอด แบบไม่ต้องพึ่งปุ๋ยเยอะ”

เขาครางในลำคอ 

“ถ้าพ่อยอมฟัง”

“นายก็อย่าเงียบใส่เหมือนตอน ม.ปลาย” 

“แล้วนายล่ะ ไม่เคยเงียบใส่ใครเลย?” 

“…โอเค มันยุติธรรม

ฉันขยับกระเป๋าลาเต้ให้อยู่ตรงกลาง เขากะพริบตาช้า ๆ ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสิน หรือให้อภัย

“แล้วระบบน้ำหมอกที่เห็นในแปลงทดลองล่ะ?” ฉันเสริม 

“พ่อไม่ชอบอะไรที่พ่นเอง” 

“แต่นายชอบของที่ควบคุมได้ชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ”

เขาเงียบไปอีก ก่อนพูดว่า “ไว้จะดู”

ถนนเริ่มสะเทือนขึ้นเมื่อเราใกล้สถานีรถไฟ โค้งสุดท้ายผ่านหมอกเบา ๆ ลานจอดยังเงียบ มีแสงไฟไม่กี่ดวง

“ถ้ามีอะไรเกิดกับพ่อ บอกฉันก่อนคนอื่นนะ” 

“นายก็เหมือนกัน”

เงียบไปชั่วครู่ แล้วเขาเสริมว่า “ถ้ามีอะไรเกิดกับนาย แม่คงรู้ก่อนอยู่ดี” 

“แม่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์” 

“แต่แม่ใช้วิธีอื่น”

เรามองไปข้างหน้า

ลาเต้หาวในกระเป๋า และเป็นครั้งแรก… ที่พี่วัตน์ไม่ได้บอกให้เขาเงียบ

Sponsored Ads

———————

ขึ้นรถไฟไม่ใช่พระเอก (แต่ก็ไม่ได้เป็นคนร้าย)

ที่ชานชาลาคนไม่ได้แน่น แต่คนเยอะกว่าที่เขาคิด ครอบครัวที่ถือถุงพลาสติก พระสงฆ์ที่มีกระเป๋าเดินทางใบเก่าแบบที่พอมีเสียงล้อกระเป๋าลากดังอยู่เป็นระยะ ทหารคนหนึ่งถือพัด

วัตน์เดินตามห่าง ๆ ไม่เกินสองก้าว ไม่ได้อยากเงียบ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร

กรณ์นั่งเงียบ ๆ ตรงม้านั่ง สะพายเป้ ถือกระเป๋าผ้าในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งจับหูหิ้วกระเป๋าแคปซูลแมวเหมือนกำลังเตรียมตัวเจอหลุมอากาศ ลาเต้ขดตัวอยู่ข้างใน ไม่ขยับ แค่กระพริบตา เหมือนรู้ดีว่าเคยเล่นฉากนี้มาก่อน

เขานั่งข้างกัน ใกล้ชานชาลาหมายเลข 2 ไม่มีใครพูดอะไร

“แฟ้มพวกเพลงที่นายแต่ง… backup ไว้ยัง?” วัฒน์ถาม 

กรณ์ไม่หัน แค่พูด “ฝากไว้กับลาเต้แล้ว”

06.49 น. เป็นเรื่องปกติ รถไฟมาช้าไปห้านาที พอให้ลังเล แต่ไม่พอจะเปลี่ยนใจจริง ๆ

ตอนที่กรณ์ลุกขึ้น วัฒน์ช่วยยกกระเป๋าผ้าใบหนัก ไม่มีใครพูดขอบคุณ พวกเขาเดินไปด้วยกันถึงหน้าประตูตู้โดยสาร กรณ์หันมองรอบสถานี ไม่ใช่เพื่อพูดอะไร แค่กวาดตามองขอบฟ้า เหมือนจะเก็บไว้ในความจำ

ลาเต้มองออกมาจากหน้าต่างพลาสติกนิ่ง ๆ ไม่กระพริบ 

“ดูเขาไว้ดี ๆ” วัฒน์พูดเบา ๆ ไม่ใช่คำสั่ง แค่คำขอที่ปฏิเสธไม่ได้

กรณ์พยักหน้า ไม่ใช่ให้เขา แต่ให้ลมรอบตัว แล้วก็เดินเข้าไปในตู้โดยสาร

ประตูปิดลง ไม่มีเสียงสะท้อนใด ๆ แค่… ปิด

วัฒน์ยืนอยู่ตรงนั้น จนตู้สุดท้ายหายลับไปหลังแนวต้นมะขาม มือของเขายังอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ไม่มีโบก ไม่มีถอนหายใจ ยังไม่ถึงเวลา

เขายืนนิ่งอีกพัก แล้วหันหลังกลับ ไม่ได้ช้า ไม่ได้เร่ง แค่เดินแบบคนที่รู้ว่ายังมีงานรออยู่ และแดดไม่เคยแคร์ว่าใครจากไป

Sponsored Ads