“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน… ขบวน North Freedom Line จะหยุดพักที่สถานีเชียงใหม่ใหม่เป็นเวลา 22 นาที…”
เสียงประกาศเรียบกริบ เหมือนเด็กฝึกงานด้านประชาสัมพันธ์จากสถานทูตอเมริกา ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำประชดที่ฟังแล้วแทบจะเห็นคนอ่านยิ้มมุมปาก
Sponsored Ads
“กรุณาอย่าลงจากขบวนหากไม่จำเป็น… เว้นแต่ท่านต้องการกาแฟราคา 80 บาทตลอดชีวิต… ขอขอบคุณที่เลือกเดินทางกับระบบขนส่งร่วมไทย-สหรัฐ”
ฉันไม่ได้ขยับตัว ลาเต้ก็ไม่กระพริบตา
เขานอนขดอยู่ในกระเป๋าแคปซูลของเขา เงียบเฉื่อยใต้ช่องตาข่ายที่ฉันแง้มไว้ ขาหน้าห้อยพาดออกมาหนึ่งข้าง ท่าทางนั้นเหมือนจะพูดว่า สถานีนี้ไม่คู่ควรกับเราเลย
ด้านนอกหน้าต่าง อาคารสถานีดูเหมือนโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์มีชีวิต ไฟ LED วูบวาบ เสาเหล็กขัดเงา สโลแกนสองภาษาตั้งเรียงตรงจนชวนระแวง
ป้ายหลักเขียนไว้ว่า:
สถานีรถไฟเชียงใหม่ใหม่ เขต 4: ศูนย์เชื่อมโยงภาคเหนือ แค่ชื่อก็มากเกินพยางค์ไปแล้ว
ฉันเปิดซิปช่องหน้าของเป้ หวังหาของกินแก้เบื่อ แต่กลับหยิบไปโดนของที่หนักเกินคาด กล่องทัปเปอร์แวร์ ฝาเหลือง แปะเทปกาวพร้อมลายมือที่คุ้นเกิน
“ข้าวเงี้ยวแม่ + น้ำมันกระเทียมเจียว แกะก่อนเวฟ – จากแป้ง (แต่ห้ามบอกว่าแป้งให้)”
ฉันมองกล่อง ไม่ได้หิว ไม่ได้ไม่ซึ้ง แค่รู้ว่า… การกินของที่มีคนตั้งใจทำให้นั้น คือการยอมรับว่าตัวเอง… คิดถึงที่ที่จากมาแล้วจริง ๆ
เหนือถาดหน้าที่นั่ง มีแมกกาซีนพลาสติกบาง ๆ เสียบอยู่ ชื่อปกคือ เมืองกลางฝน – ฉบับเมษายน น่าจะไว้ให้คนเป็นโรคนอนไม่หลับหรือพวกบ้าวัฒนธรรมอ่านฆ่าเวลา
ฉันเปิดอ่านเล่น ๆ
“พิธีเสาเอกเมืองใหม่: การตั้งเสาไม่ใช่แค่เรื่องสัญลักษณ์”
สัมภาษณ์ผู้อาวุโสจากบ้านหลวงเหนือ
เนื้อหาเล่าถึงพิธีตั้งเสาเอก ไม่ใช่แค่สถาปัตย์ แต่เป็น “สัญญา” เป็นความเงียบชนิดที่ไม่มีใครกล้าขุด
“บางชื่อไม่อยู่ในทะเบียน บางเสียงไม่อยู่ในเพลง แต่ฝังอยู่ใต้พิธี…”
บรรทัดนั้นตีเข้าตรง ๆ
ฉันปิดหนังสือทันที
ที่ไหนสักแห่งใกล้ตู้เสบียง มีเสียงวิทยุ AM เก่ากระตุกขึ้นมา ซอล่องน้ำทำนองช้า ลอยบาง ๆ ในอากาศ เหมือนใครสักคนกำลังเดินเบา ๆ บนความทรงจำ
ฉันเลื่อนกล่องข้าวกลับเข้าเป้ ลาเต้ขยับตัวนิดหน่อย เหลือบตามองผ่านช่องตาข่าย ดวงตาสีทองข้างหนึ่งปรือครึ่ง ๆ ไม่ดุ ไม่ซึ้ง แค่รู้
ฉันเปิดโน้ตบุ๊ก Toshiba เชื่อม WIFI ฟรี ไม่มีจดหมายใหม่ ไม่มีข่าว
แค่หน้ากระดาษเปล่า
ฉันตั้งชื่อไฟล์ว่า: `pillar_draft1.doc`
แล้วเริ่มพิมพ์
📖 “เราทุกคนเดินลงไปใต้เสาเอก กลางลานที่เตรียมไว้สำหรับพิธีตั้งเมืองใหม่ แป้งข้าวเหนียวถูกหว่านลงพื้นเป็นวงกลม มือของจันถูกมัดไว้ด้วยด้ายดิบเส้นยาว ผูกเข้ากับเสาหลัก…”
และต่อด้วย
📖 “พ่อหลวงเอื้อมมือแตะไม้เท้า กวาดตามองผู้ร่วมพิธีที่ยืนล้อมอยู่ในความเงียบ “ได้เวลาแล้วลูกเอ้ย ไปยืนใต้เสาเสีย จะได้รู้ว่าตรงไหนจะเป็นเมือง”
ฉันหยุด ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรต่อ
แต่เพราะความเงียบหลังประโยคนั้น… ได้พูดไปแล้ว
Sponsored Ads
———————
น้ำหนักใต้เสา
ขบวนรถกระตุกตัวเบา ๆ เหมือนเหล็กเก่าแก่พยายามนึกว่าต้องเคลื่อนยังไง นอกหน้าต่าง ขอบโครเมียมของสถานีเชียงใหม่ใหม่ ถอยลับหลังไปแล้ว เหลือแต่เนินเขาสีเขียวที่ปลายใบไม้เริ่มไหม้กลายเป็นสีน้ำตาล
ฉันยังนั่งงอตัวอยู่หน้าแป้นพิมพ์ ไม่ใช่เพราะอิน หรือเพราะไอเดียกำลังไหล แต่เพราะความเงียบจากประโยคเมื่อกี้…ยังไม่ยอมปล่อยฉัน
📖 “แม่จันตามไปเงียบ ๆ ไม่มีใครบอก แต่ทุกคนรู้ว่าคนที่จะอยู่ด้วยจนสุดท้ายคือใคร ญาติพี่น้องตามไปเงียบ ๆ ด้วยเหมือนถูกสาป…”
ฉันพิมพ์ต่อ
📖 “…มีเสียงซอล่องน่านเบา ๆ จากปลายลาน ไม่ได้ตั้งวงใหญ่ มีเพียงนักดนตรีเฒ่าชราเพียงคนเดียว ที่ดีดซอ ช้า ๆ เหมือนเสียงฝนเก่า…”
ประโยคนั้นไม่ได้มาจากหัว แต่มาจากเสียงของพิธีที่เคยแอบได้ยินในวัดชนบทแห่งหนึ่ง จากน้ำเสียงของชายชราที่พูดถึงคนที่ “ถูกทิ้งไว้” โดยเมือง
ไม่ใช่เสียงด่า แต่เป็นเสียงแบบที่ชี้ไปที่เมฆ แล้วบอกว่า “ไม่ทันฝนหรอกเน้อ”
📖 “…พอเสาเอกถูกตั้งขึ้นในบ่ายวันนั้น เงาของมันพาดยาวผ่านกลางตัวของจันพอดี แม่ยื่นมือไปรองเงาเสา แล้วเอามือลูบแขนลูก…”
มันไม่ใช่นิยายจริง ๆ
แค่ความทรงจำที่เปลี่ยนชื่อ เพื่อไม่ให้ใครส่งจดหมายมาขอให้ “กรุณาเคารพครอบครัวผู้เสียชีวิต”
ยิ่งพิมพ์ ยิ่งรู้สึกเหมือนไม่ได้สร้างอะไร มากกว่าคือการ “ถอดเสียง” เสียงที่รออยู่ใต้โคลน ใต้คอนกรีต ใต้ส่วนหนึ่งของตัวฉันที่เคยคิดว่า ความรักต้องดัง
รถไฟเลี้ยวผ่านโค้ง เห็นศาลเล็กข้างทาง สีขาว ไม่เปื้อนฝุ่น มีพานใบตอง ธูป อาหารคาว-หวาน และขวดน้ำเปล่า ดูเหมือนแม้แต่พระภูมิ ก็ยังชอบความเรียบง่าย
📖 “…จันจำได้ตอนแม่ยื่นน้ำข้าวให้เธอ เธอชิม แล้วพยักหน้าเบา ๆ
“ขอบคุณจ๊ะแม่”…”
นิ้วฉันชะลอ
📖 “…เสียงซอเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงขุดดิน และไม้หลักที่ถูกยกขึ้นทีละต้น”
ฉันละสายตาจากหน้าจอ
ไม่ใช่เพราะเมื่อย แต่เพราะยังไม่แน่ใจว่าประโยคถัดไป… ควรถูกพิมพ์เพราะมัน “ใช่” หรือแค่เพราะมัน “สะเทือน”
มีความเงียบแบบหนึ่งที่ไม่ต้องการคำบรรยาย แค่การคงอยู่เท่านั้น
มีเด็กไอเบา ๆ อยู่ข้างหลัง มีคนเดินผ่านถือเครื่องดื่มใส่น้ำแข็งเกินครึ่งแก้ว มีเสียงหัวเราะกร้าว ๆ จากมือถือโนเกียรุ่นใหม่ดังจากโบกี้ข้าง ๆ
แต่ไม่มีเสียงไหน แตะได้ถึงพื้นที่ที่ฉันกำลังเขียนจากมัน
มันคือ “ใต้เสา”
คือที่ที่ไม่มีใครถ่ายรูปไว้
📖 “…เหนือพื้นดินรอบเสาเอก มีเสาอีกสามต้นตั้งล้อมเป็นรูปสี่ทิศ ใต้เสาเหล่านั้น ไม่มีใครพูดถึง แต่บางคนกระซิบกันว่า “อิน” อยู่ทิศเหนือ “มั่น” อยู่ทิศตะวันออก “คง” อยู่ทิศใต้…”
📖 “…และ “จัน” คือทิศตะวันตกที่เหลืออยู่ในปีนี้”
ฉันกดเซฟ
ตั้งชื่อไฟล์อีกครั้ง: `pillar_draft1.doc`
กันไว้ก่อน
แล้วเอนหลังพิงพนัก
หน้าจอสะท้อนเงาของตัวฉันเองเลือนราง หน้าเดิมที่อายุเกินยี่สิบห้าไปแล้ว และล้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น
Sponsored Ads
———————
คนที่เราไม่พูดถึง
ฉันเปิดไฟล์เดิมอีกครั้ง ตอนที่รถไฟแล่นผ่านไร่กล้วยด้านนอก
อากาศข้างนอกเริ่มแห้งกรอบ เป็นแบบร้อนเมษายนที่ทำให้ต้นไม้แต่ละต้น ดูเหมือนกำลังลังเลว่าจะเป็นต้นไม้ต่อดีไหม
ลาเต้ยังไม่ขยับ เขานอนขดอยู่ในกระเป๋าตาข่ายเหมือนเครื่องหมายจุลภาครูปแมว เป็นช่วงพักเล็ก ๆ ระหว่างสองประโยคที่ยังไม่เสร็จ
ฉันพิมพ์ช้า ๆ ไม่ใช่เพราะคิดไม่ออก แต่เพราะความเงียบในช่วงนี้ของเรื่อง…ไม่ใช่ของฉัน
📖 “…“คืนนั้นมีงานรำวงรอบเสาเอก ไม่มีใครพูดถึงจัน ไม่มีใครเอ่ยชื่อ แต่ทุกคนเดินเวียนรอบเสานั้น ช้า ๆ ”
เคอร์เซอร์กะพริบ
ฉันเติมอีกบรรทัด
📖 “…“ฉันจำไม่ได้ว่าเรากลับบ้านกันอย่างไร แค่รู้ว่าเราเดินออกมาจากตรงนั้น แล้วไม่เคยกลับไปมองตรงใต้เสาอีกเลย”
แล้วฉันก็หยุด
ไม่ใช่เพราะจบ แต่เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้…ตอนนี้…ไม่ได้ต้องการให้ฉันเขียนต่อ
ฉันยืดตัว หมุนไหล่
พยายามไม่ไปโดนหางของลาเต้ ที่กระดิกแบบ “ไม่สนใจ แต่ก็ไม่เชิง”
ด้วยความเคยชิน ฉันเหลือบมองเบราว์เซอร์ ไม่มีสัญญาณ แล้วก็มี แล้วก็มากเกินไป
กล่องจดหมาย (มี 1 ฉบับใหม่):
“Iree – เพลงเปิดตัว”
ฉันไม่ได้เปิดอ่าน ไม่จำเป็น
แค่หัวเรื่องก็ชัดพอแล้ว และแถบแสดงตัวอย่างอัตโนมัติก็ไม่ช่วยให้ใจเบาขึ้นเลย
“เธอเลือก ‘เจ้าหญิง’ นะ เธอบอกว่ามันซื่อ แต่ไม่อ่อน”
ฉันถอนหายใจออกทางจมูก ไม่ใช่ถอนใจ แค่ลมหายใจที่หาที่ออก
“เจ้าหญิง”
เพลงที่ถูกเขียนใหม่ ถูกกลบ ถูกแก้ ก่อนจะมีใครสักคนถามฉันจริง ๆ ว่า “เพลงนี้ หมายถึงอะไร?”
แล้วตอนนี้…มันเป็นของเธอ
ฉันมองออกนอกหน้าต่าง
ต้นไม้พุ่งผ่านไปหนึ่งต้น ตามด้วยกระท่อม แล้วก็ช่วงทางยาว ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากฝุ่น และแสงแดดที่เหลืออยู่
ฉันไม่ได้โกรธ ก็ไม่ภูมิใจ แค่…สงสัย
เสียงของเธอ จะทำให้เพลงนี้เป็นยังไง?
เธอจะร้องมันเหมือนกำลังทวงบัลลังก์คืน?
หรือเหมือนแค่คนที่เพิ่งรู้ว่า ไม่ต้องมีบัลลังก์ ก็อยู่ได้?
ฉันไม่รู้
แต่ตอนนี้ฉันก็ยังไม่ปิดไฟล์ ตรงกันข้าม ฉันเติมอีกสองบรรทัดท้ายไว้
📖 “…บางชื่อถูกลืมไปแล้ว บางชื่อถูกจารไว้ในเพลงซอล่องน่านแต่บางชื่อ… ถูกเปลี่ยนเป็นเพียงคำหนึ่งในแบบฝึกหัดวิชาสังคม…”
แล้วฉันก็กดเซฟอีกครั้ง
เพราะบางที… การรู้ว่าอะไรถูกฝังไว้ คือวิธีเดียว ที่จะพามันกลับออกมา
Sponsored Ads
———————
การมาถึงที่ไม่มีเสียงประกาศ
รถไฟเริ่มชะลอความเร็ว หลังเลยสนามบินพลเรือนดอนเมืองมาได้สักพัก ไม่ใช่การหยุดสนิท แค่จังหวะช้าลงของบางสิ่งที่ใหญ่เกินจะเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม
เส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ อภิวัฒน์ ปรากฏเหมือนทุกครั้ง
แบบที่ไม่เต็มใจ เหมือนเมืองเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอยากให้เรากลับมาหรือเปล่า
ป้ายโฆษณาเริ่มกระพริบ โลโก้เดิม ๆ ผุดขึ้นมาทีละอัน แมคฟรีดอมอยู่เหนือศาลพระภูมิ แบนเนอร์มหาวิทยาลัยปลิวครึ่งผืนจากแรงลม
ลาเต้ขยับตัว หาวเบา ๆ แบบไม่มีเสียง ก่อนจะเอนตัวพิงตาข่ายของกระเป๋าเหมือนกำลัง เฝ้ามองเมืองที่ติดค้างอะไรบางอย่างกับเขา
ฉันยังไม่ปิดโน้ตบุ๊ก ยังไม่ใช่ตอนนี้
ไฟล์เดิมยังเปิดอยู่
เหลืออีกแค่บรรทัดเดียว หรือสอง
ฉันแตะคีย์บอร์ดเบา ๆ ไม่ใช่เพื่อเน้นจังหวะ แค่เพื่อรักษาจังหวะของบางอย่างในตัวเอง
📖 “…ไม่มีใครพูดคำลา แต่ฉันรู้ว่า ทุกคนได้ยินอยู่…”
แล้วฉันก็พิมพ์ตอนจบ
แบบเงียบ ๆ ไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่องหลักด้วยซ้ำ
แค่หมายเหตุ แค่เสียงเล็ก ๆ ที่พิมพ์ด้วยฟอนต์ขนาดย่อมกว่า
📖 “…คนเฒ่าคนแก่เคยเล่าว่า ใต้ประตูพระนครแต่ละบาน มีร่างหญิงท้องสี่คนถูกฝังไว้ เพื่อให้เสา “มั่นคง” และ “เจริญรุ่งเรือง”
บางชื่อถูกลืมไปแล้ว บางชื่อถูกจารไว้ในเพลงล่องน่าน
แต่บางชื่อ… ถูกเปลี่ยนเป็นเพียงคำหนึ่งในแบบฝึกหัดวิชาสังคม
“อิน จัน มั่น คง” อาจไม่ใช่แค่ชื่อจำง่าย แต่คือเสียงสุดท้ายที่ยังจมอยู่ใต้เสา…”
ฉันมองมันนาน ไม่ขยับตัว
ในที่สุดรถไฟก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ชานชาลา แบบนิ่ง แบบแน่นอน
สถานีกรุงเทพฯ อภิวัฒน์ เสียงประกาศสองภาษาดังขึ้นด้วยโทนสดใสตามบท
“Welcome to Krung Thep Aphiwat New Bangkok Civic Region. This is the final stop for all passengers.”
“ขอต้อนรับสู่กรุงเทพฯ อภิวัฒน์ สถานีปลายทางของขบวนนี้…”
ฉันกดเซฟไฟล์
`under_the_pillar_v1.doc`
แล้วปิดฝาโน้ตบุค
ลาเต้กระพริบตาใส่ฉันแบบไม่ประทับใจ ซึ่งแปลว่า ก็พอใช้ได้ สำหรับตอนนี้
ฉันสะพายเป้ มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าผ้า และมืออีกข้างหนึ่งจับหูหิ้วกระเป๋าแคปซูลแมว เราก้าวลงจากขบวนรถไฟด้วยกัน ไม่มีใครมารอ ไม่มีป้ายชื่อ ไม่มีคำยินดี ไม่มีเสียงปรบมือ มีแค่กลิ่นป๊อปคอร์น และเสียงส้นรองเท้าบนพื้นกระเบื้อง
แต่คราวนี้ ฉันไม่ได้กลับเข้ามาในเมืองมือเปล่า และฉันก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องนั้นไว้ข้างหลังอีกแล้ว
ลาเต้ไม่ส่งเสียงใด ๆ จนถึงบันไดเลื่อนลงชานชาลา แล้วเขาก็เปล่งเสียงบางอย่าง เหมือนบานพับประตูที่ไม่พอใจโลกใบนี้เท่าไหร่
ฉันถือว่านั่นคือ เห็นด้วย
Sponsored Ads
เค้าโครงเรื่องจาก “Singing My Sister Down” (2004)
Margo Lanagan