บทความเป็นฝ่ายหาเจอฉัน ไม่ใช่ฉันที่หาเจอมัน
ฉันแค่เปิดวิทยุเพื่อฟังว่า… เขายังเปิดเพลงของเธออยู่ไหม
คำตอบคือไม่
Sponsored Ads
มีแต่ Top 10 ชุดเดิม ทุกคอร์ดเหมือนถูกจดลิขสิทธิ์โดยคนใส่แว่นกันแดดในลิฟต์
อีเมล์เด้งเตือนแค่ครั้งเดียว จดหมายข่าวจาก มโนสังคีต
ฉันลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยสมัครไว้ คงตั้งแต่สมัยมหา’ลัย ตอนที่ยังเชื่อว่า “การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น” มีความหมายอยู่บ้าง
พาดหัวของบทความนั้นคมพอจะบาดเส้นเลือดได้
“เจ้าหญิงที่ไม่กล้าจริง”: บทเพลงหรือบทซ้อมพูดของเสียงหญิงในห่อกระดาษ
โดย ดร.ธำรงเกียรติ นวรัตน์พานิช
ยอดเยี่ยม
เขาไม่ได้ตะโกน ไม่ได้กล่าวหา แค่ทำในสิ่งที่นักวิชาการถนัดที่สุด ผ่าให้เป็นชิ้น อย่างมีเชิงอรรถรองรับ
เขาแยกวิเคราะห์คำว่า “เจ้าหญิง” ย้อนกลับไปเป็นร้อยปี เปรียบเทียบเนื้อเพลงของไอรีกับขนบราชสำนักญี่ปุ่น กับนิทานศตวรรษที่ 17 แล้วก็วางประโยคนี้กลางหน้าเหมือนกับดักล่องหน
“นี่ไม่ใช่เสียงใหม่ แต่มันคือเสียงที่อยากใหม่… แต่ยังกลัวคำถามเกินกว่าจะพูดจนสุดทาง”
ฉันหัวเราะ
ไม่ใช่เพราะมันผิด แต่เพราะนี่คือคำวิจารณ์แบบที่คุณไม่สามารถโต้กลับได้
มันใส่สูท ผูกเน็คไท และถือมีดผ่าตัด พูดสุภาพ… และเฉือนช้า ๆ
เขาพูดถึง “เจ้าหญิงคนต่อไป” ด้วยแน่นอน เปรียบเพลงนั้นเป็น “การเดิน” ส่วนเพลงของไอรีคือ “การพูด”
“เพลงแรกพูดน้อยแต่มีพลัง เพลงหลังพูดเยอะ แต่เหมือนพูดเพื่อกลบเงา”
เขาไม่พูดถึงใครเป็นคนแต่ง พูดแต่ถึง “ผู้หญิงที่ร้อง” หรือให้แม่นยำ ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นคนพูด
ฉันปิดแท็บนั้น แล้วเปิดกลับมาใหม่
เพราะย่อหน้าสุดท้ายนั่น…
“ใครได้พูด? และใครได้ยิน?”
มันไม่ใช่คำถาม มันคือคำตัดสิน ที่ปลอมตัวเป็นคำถาม
ลาเต้ที่นอนขดอยู่บนพื้น ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมา ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ลุก ยืดตัวเหมือนแมวที่ต้องเข้ากะล้างความเลอะเทอะของมนุษย์ แล้วเดินไปกระแทกแก้วใส่ดินสอฉันให้ล้ม
“ใช่” ฉันพูด
ฉันไม่ได้โกรธ
แค่…เบื่อจะรอให้คนอื่นเป็นคนตอบ
Sponsored Ads
———————
เมื่อสปอนเซอร์เริ่มหลบตา
ไฟแจ้งวอยซ์เมลบนโทรศัพท์กะพริบตั้งแต่สิบโมงเช้า
พอถึงบ่ายโมง มันกะพริบเร็วขึ้น
คุณโอกดฟังข้อความที่ห้า แล้วลบทิ้งกลางประโยค
“…เราก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงความสับสนนะคะ เข้าใจใช่ไหม เพลงมันออกจะ—จะว่าไงดี—สื่อความหมายสองแง่ในช่วงเวลานี้…”
เขาไม่ได้ขว้างโทรศัพท์ เขาแค่ยิ้มมุมปาก แบบที่ตาไม่ขยับ
เครื่องแฟกซ์ไอ้ครางอีกสองแผ่น
แผ่นหนึ่งจากวิทยุชุมชนที่เชียงราย อีกแผ่นจากผู้ดูแลเพลย์ลิสต์ของห้างในบางกะปิ
ไม่มีฉบับไหนพูดว่า “ถอดเพลงนี้ออกนะ” แต่เขียนว่า
“กำลังพิจารณาความสอดคล้องของโทนสำหรับ ไตรมาสที่ 2”
“ข้อกังวลเรื่องอัตลักษณ์ของแบรนด์”
“ความไม่ชัดเจนของเสียงเทียบกับพาร์ทเนอร์ที่มีอยู่”
ศัพท์สำหรับบริษัทพวกนี้แปลว่า:
“เพลงคุณเสียงดังเกินไป ผู้หญิงเกินไป และไม่ใช่เฟมินิสม์แบบที่เรารับได้”
โถงทางเดินหน้าห้องเงียบกว่าปกติ
พนักงานเด็กฝึก คนที่เคยเปิดเดโมเสียงดังขณะจัดกล่อง หายไป เพลย์ลิสต์ของไอรีถูกเบาลง ที่แย่กว่านั้นคือ มีคนเปลี่ยนไปเปิดแจ๊สบรรเลงแทน
คุณโอมองปฏิทินบนผนัง เมษายนใกล้หมดแล้ว
เขาคิดว่าเดือนที่เคยตั้งใจให้เป็นเดือนของ “แรงส่ง” ตอนนี้กลายเป็นเดือนของ “ตั้งรับ”
เขาเปิดแฟ้มประชาสัมพันธ์ของซิงเกิลไอรี
หมึกแดงสดจากเด็กฝึก:
“ต้องพิมพ์ใหม่พร้อมปรับเนื้อเพลงไหม? แจ้งสื่อเพิ่ม?”
เขาเขียนทับลงไป
“ไม่”
แล้วขีดเส้นใต้ สองครั้ง
เสียงเคาะประตูไม่ใช่เสียงแบบที่ลังเล นั่นแปลว่า… ฝ่ายการตลาด
“คุณโอ มีเวลาสักห้านาทีไหมคะ?”
เขาไม่มี แต่พยักหน้ารับอยู่ดี
ทีมการตลาดเข้ามาพร้อมเอกสาร คำถาม และความกังวลอย่างสุภาพ แบบที่มาพร้อมลมหายใจกลิ่นกาแฟ และวาระที่ซ่อนไว้ในกระดาษเรียบร้อย
มีคนใช้คำว่า “ขัดแย้ง” อีกคนบอกว่า “เหมือนกระจกสะท้อนแคมเปญผิดฝั่ง”
ไม่มีใครพูดคำว่า “ศิลปิน”
มีแต่คำว่า “แบรนด์”
เขาฟัง ไม่โต้แย้ง
เขารอจนทุกคนพูดจบ เรื่อง “ความเสี่ยงด้านแนวทาง” และ “ความสับสนในสาธารณะ”
จากนั้นเขาจึงพูด
“เราปล่อยเพลงนี้ เพราะไม่มีใครกล้าปล่อยมัน เราจะไม่ถอดมัน เพียงเพราะวันนี้มีคนเริ่มหันมามอง”
ไม่มีใครสบตาเขาหลังจากนั้น
และการประชุมจบลงก่อนเวลาที่ขอไว้ห้านาที
Sponsored Ads
———————
ห้องซ้อมที่ไม่มีคำสั่ง
ประตูไม่ได้ล็อก แค่นั้นก็ทำให้เธอแปลกใจแล้ว
ห้องซ้อม B ปกติจะถูกจองเต็ม ปกติแล้วไม่ใช่สำหรับเธอ แต่ก็ไม่มีใครจองไว้วันนี้เหมือนกัน
ไม่มีผู้จัดการ
ไม่มีครูสอนร้อง
ไม่มีปฏิทินติดผนังที่มีชื่อย่อเธอวงด้วยปากกาสีน้ำเงิน
ไอรีก้าวเข้าไป นั่งลงที่เปียโนตั้งตรงมุมห้อง
ไม่ได้เล่น ไม่ได้วอร์มเสียง
แค่นั่งฟัง
ผนังบุด้วยฟองน้ำสีเบจ กลิ่นในห้องเหมือนซากของการฝึกซ้อม ลูกอมแก้เจ็บคอ, ฟองนมกาแฟ, กลิ่นยางรองเท้าจากนักเต้นเมื่ออาทิตย์ก่อน
เธอหยิบขวดน้ำที่ไม่ใช่ของตัวเองขึ้นมา แล้วดื่มไปเฉย ๆ
ถ้าพวกเขาอยากให้เธอออกไป ก็คงส่งโน้ตมาบอกแล้ว
แต่จนตอนนี้ ยังไม่มีใครทำ
เสียงเบา ๆ ลอยมาจากทางเดิน ไม่ใช่การทะเลาะ แค่เสียงคนในออฟฟิศ ผ่านไป ผ่านมา
“…เธอไม่น่ารอดนะ เพลงมันเฉพาะกลุ่มเกิน แล้วเธอก็—เอ่อ—ไม่แมสพอ”
“เราว่ากล้านะ แค่ไม่แน่ใจว่าเธอ…รับมือกับไฟขนาดนี้ได้ไหม”
“เขาว่าเป็นเสียงของเธอ แต่ฟังแล้วก็เหมือนกำลังพูดแทนใครอยู่เลย หรือว่าเป็นคนแต่งเพลงคนนั้นน่ะ?”
เสียงหัวเราะ เสียงเก้าอี้ครูด เสียงฝีเท้าเดินจากไป
ไอรียังนั่งอยู่
ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้อัดคลิป ไม่ได้ซ้อมคำตอบโต้
เธอแค่มองเปียโน คีย์กลาง C ดูเหมือนกำลังเยาะเย้ย
เธอกดโน้ตเดียว
ไม่ใช่เพลง ไม่ใช่สเกล แค่ G กลางตัวเดียว ที่ลอยอยู่ในอากาศ เหมือนคำถามที่ไม่ใช่ของเธอ
เธอกดค้างไว้
ปล่อย
กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
เธอไม่ได้รอคำสั่ง ไม่ได้รอให้ใครมาฟัง
เธอแค่อยู่ตรงนั้น เพราะบางครั้ง การไม่ถูกไล่
คือพื้นที่สุดท้ายที่ระบบยังยอมให้คุณมี
Sponsored Ads
———————
แค่ไม่อยากให้เธอเงียบอยู่คนเดียว
“มึงว่างเปล่า?”
พี่ต้นไม่อ้อมค้อม ไม่มีคำทักทาย ไม่ถามเวลา ถ้าผู้ชายอย่างเขาโทรมาหลังฟ้ามืด เวลาแบบนี้ วันแบบนี้ แปลว่ามีเรื่อง
คุณควรรับสาย
“ครับ”
เสียงกรณ์ฟังเหมือนคนที่เพิ่งถูกเรียกออกจากห้องเงียบ
ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้คือข่าวดีหรือข่าวร้าย
“กูเพิ่งเดินผ่านห้องซ้อม B” พี่ต้นพูด
บุหรี่คาอยู่ในมือ ยังไม่จุด
“ไฟเปิด แต่ไม่มีใครอยู่ข้างใน ยกเว้นเธอ”
เธอ = ไอรี
กรณ์รู้ แต่ไม่พูด ความเงียบแบบที่พูดว่า ได้ยินอยู่ บอกต่อไปเถอะ
“ไม่มีใครบอกให้เธอมา ไม่มีตาราง ไม่มีโปรดิวเซอร์ ไม่มีเทร็ควอร์มเสียง ไม่มีใคร”
“แต่ไฟเปิดอยู่ เธอเป็นคนเปิดเอง” พี่ต้นเสริม
เขาเอนหลังพิงกำแพงอิฐ ดูรถเมล์เก่าคันหนึ่งคลานผ่านไป เหมือนอุปมาเหนื่อย ๆ จากวรรณกรรมที่ไม่มีใครจำ
“เธอนั่งอยู่ที่เปียโน” เขาพูดต่อ
“ไม่ได้เล่น ไม่ได้รอ แค่อยู่ตรงนั้น มันเหมือนคนที่ยังอยู่เฉย ๆ เพราะไม่มีใครบอกให้ออกไป กูไม่รู้จะเรียกอะไรแบบนี้ดีว่ะ มันไม่ใช่ความพยายาม มันไม่ใช่สู้ด้วยซ้ำ”
เสียงกรณ์ตอบมาเบา ๆ
“…ผมคิดว่าเธอคงได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเธอเชื่อไหม”
พี่ต้นหัวเราะในลำคอ ไม่ใช่เพราะตลก แต่เพราะเขาก็เคยโดนอะไรคล้าย ๆ กัน
“ไม่สำคัญ” พี่ต้นตอบ “เธอยังมาอยู่ดี”
สัญญาณโทรศัพท์ขึ้นเสียงซ่าเบา ๆ
“กูไม่ได้โทรมาเพื่อบอกให้มึงทำอะไร” พี่ต้นว่า หลังเงียบไปครู่หนึ่ง
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอะไร แต่กูไม่อยากเป็นคนเดียว ที่เห็นแล้วไม่พูดอะไรเลย”
“เธอเหมือนคนที่กำลังรอรถไฟ ที่ไม่มีในตารางอีกต่อไป” เขาพึมพำ
“แล้วกูก็คิดว่า… มึงเป็นคนเดียว ที่เคยเขียนอะไรบางอย่าง ที่ทำให้การรอแบบนั้นมีความหมาย”
กรณ์ถอนหายใจผ่านจมูก ไม่ใช่ถอนใจ เป็นลมหายใจเบาๆ ไม่ใช่การต่อต้าน ไม่ใช่ความสับสน แค่รับรู้อย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่กำลังพูด และสิ่งที่ไม่ได้พูด
“ผมยังไม่แน่ใจว่าจะเขียนอะไรดี” กรณ์ตอบ “แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอเงียบอยู่คนเดียวครับ”
พี่ต้นยิ้มมุมปาก ยิ้มที่ไม่มีใครเห็น
“แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับวันนี้” เขาว่า “พรุ่งนี้… มึงคงคิดออกเองแหละ”
เขาวางสายก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดขอบคุณ ไม่ใช่เพราะหยิ่ง แค่เคยชิน ไฟถนนเหนือหัวดังหึ่งเบา ๆ และที่อ่อนนุช สมุดเล่มหนึ่ง ถูกเปิดออก เหมือนจะเตรียมเขียนอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่คำแก้ตัว
Sponsored Ads