You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    乡村教师 (The Village Teacher) by 刘慈欣 (หลิว ฉือซิน)

    银河奖 (Galaxy Award) for Outstanding Short Story (2001)

    เขารู้ว่า บทเรียนสุดท้ายนี้ ต้องสอนให้เร็วกว่ากำหนด

    ความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นจากตับอีกระลอก รุนแรงจนแทบทำให้เขาสลบไป เขาไม่มีแรงจะลุกจากเตียงแล้ว จึงค่อย ๆ ขยับตัวอย่างยากลำบากเข้าใกล้หน้าต่างข้างเตียง
    แสงจันทร์ตกกระทบกระดาษขาวเป็นประกายสีเงินวาววับ ทำให้หน้าต่างบานเล็กนั้นดูราวกับประตูที่นำไปสู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นคงเป็นประกายเงินไปหมด เหมือนฉากจำลองที่สร้างขึ้นจากเงินแท้และหิมะซึ่งไม่ทำให้หนาว

    เขาเงยหน้าขึ้นอย่างสั่นเทา มองออกไปผ่านรูเล็ก ๆ ที่กระดาษหน้าต่างขาด ภาพฝันนั้นหายไปในทันที สายตาเขาพบกับหมู่บ้านอันห่างไกล หมู่บ้านที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาตลอดทั้งชีวิต


    หมู่บ้านนอนสงบอยู่ใต้แสงจันทร์ ราวกับไม่มีผู้คนมาอาศัยมานานเป็นร้อยปี บ้านหลังคาแบนบนที่ราบดินเหลือง รูปร่างไม่ต่างจากกองดินรอบ ๆ หมู่บ้าน สีสันก็เหมือนกันไปหมด ทั้งหมู่บ้านดูเหมือนจะละลายกลืนหายไปในเนินดินนั้นแล้ว
    มีเพียงต้นไหวเก่าหน้าหมู่บ้านที่ยังมองเห็นได้ชัด บนกิ่งแห้ง ๆ ของมันมีรังอีกาไม่กี่รัง ดำสนิท เหมือนหยดหมึกไม่กี่หยดที่ตกบนภาพสีเงินหม่น

    …แต่หมู่บ้านนี้ก็เคยมีฤดูกาลที่งดงามอบอุ่นอยู่เหมือนกัน
    เช่นตอนฤดูเก็บเกี่ยว ชายหญิงที่ออกไปทำงานต่างถิ่นกลับมากันแทบทุกคน เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยกลับมาสู่หมู่บ้าน
    หลังคาทุกหลังเต็มไปด้วยข้าวโพดสีทองระยับ เด็ก ๆ กลิ้งเล่นอยู่ในกองฟางที่ลานนวดข้าว
    หรืออย่างตอนปีใหม่ ลานนวดข้าวสว่างไสวด้วยแสงตะเกียงแก๊ส ทั้งหมู่บ้านคึกคักต่อเนื่องกันหลายวัน มีการหาม “เรือแห้ง” เดินขบวน และเชิดสิงโตเสียงดังกราว สิงโตพวกนั้นเหลือเพียงหัวไม้ที่ส่งเสียงก๊อกแก๊ก สีที่เคยทาไว้ก็ลอกหมดแล้ว
    หมู่บ้านไม่มีเงินจะซื้อหนังสิงโตใหม่ ก็เลยเอาผ้าปูที่นอนเก่ามาพันแทน ถึงอย่างนั้น — ก็ยังหัวเราะกันเสียงดัง สนุกกันอยู่ดี

    แต่พอพ้นวันที่สิบห้าไป ชายหนุ่มหญิงสาวในหมู่บ้านก็ออกไปทำงานไกลกันหมด หมู่บ้านกลับเงียบงัน ไร้ชีวิตอีกครั้ง
    มีเพียงตอนหัวค่ำของแต่ละวัน เมื่อควันไฟจากเตาสักสองสามสายลอยขึ้นอย่างเบาบาง ตรงปากหมู่บ้านอาจเห็นคนแก่หนึ่งหรือสองคน ใบหน้าหยาบกร้านเหมือนเปลือกวอลนัต เงยหน้ามองถนนที่ทอดออกไปนอกภูเขาด้วยความเฝ้ารอ จนแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่ติดอยู่บนกิ่งต้นไหวเก่าดับลง

    พอค่ำลง หมู่บ้านก็มืดสนิทตั้งแต่หัววัน เด็ก ๆ กับคนแก่ต่างเข้านอนเร็ว เพราะค่าไฟแพง ตอนนี้ขึ้นเป็น 1.8 หยวนต่อหน่วยแล้ว

    Sponsored Ads

    ขณะนั้นหมู่บ้านเงียบจนได้ยินเสียงหมาเห่าขึ้นเบา ๆ เสียงนั้นนุ่มนัก ราวกับหมาตัวนั้นกำลังละเมออยู่ในฝัน เขามองไปยังผืนดินเหลืองรอบหมู่บ้านที่อาบแสงจันทร์ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่ามันคล้ายผิวน้ำที่นิ่งไม่ไหวติง ถ้ามันเป็นน้ำจริง ๆ ก็คงดี ปีนี้แล้งติดต่อกันเป็นปีที่ห้าแล้ว หากอยากได้ผลผลิต ก็ต้องหาบน้ำขึ้นเขาไปให้ผืนนาอีก

    เมื่อคิดถึงนา เขาก็เหลือบสายตาไปไกลกว่าเดิม เห็นผืนนาเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่บนเนิน ในแสงจันทร์ มันดูราวกับรอยเท้าของยักษ์ที่เคยไต่ขึ้นภูเขา บนภูเขาที่เต็มไปด้วยหนามป่าและหญ้ารกเช่นนี้ ที่นาใหญ่ไม่อาจมีได้ สัตว์ลากเทียมยังแทบหันตัวไม่ได้ จะพึ่งพาเครื่องจักรยิ่งเป็นไปไม่ได้ ที่นี่ทุกอย่างต้องอาศัยแรงคนเพียงอย่างเดียว

    เมื่อปีก่อน มีโรงงานเครื่องจักรกลเกษตรจากที่ไหนสักแห่งมาที่นี่ พวกเขามาเสนอขายรถไถมือจับขนาดจิ๋ว ที่ว่ากันว่าสามารถทำงานในพื้นที่แคบอย่างผืนนาเหล่านี้ได้ เครื่องนั้นดูดีทีเดียว แต่ชาวบ้านกลับหัวเราะ บอกว่าพวกคนนอกนี่มันทำเรื่องตลกสิ้นดี

    พวกเขาคงไม่รู้สินะ ว่านาแค่ฝ่ามือพวกนี้จะให้ผลผลิตได้สักแค่ไหน ต่อให้ปลูกประณีตเหมือนเย็บปักถักร้อย ถ้าได้ข้าวกินครบปี ก็ถือว่าดีแล้ว ยิ่งปีแล้งแบบนี้ เมล็ดที่หว่านไปอาจไม่คืนทุนด้วยซ้ำ

    แล้วจะให้คนบนภูเขาเอาเงินตั้งสามพันหรือห้าพันหยวน ไปซื้อรถไถหนึ่งคัน แถมต้องจ่ายค่าน้ำมันอีกลิตรละสองหยวนกว่า ๆ นั่นหรือ? เฮ้อ… ความลำบากของคนภูเขา คนข้างนอกไม่มีวันเข้าใจได้เลย

    ขณะนั้น มีเงาร่างเล็ก ๆ สองสามร่างเดินผ่านหน้าต่างไป พวกเขาไปนั่งยอง ๆ เป็นวงอยู่บนคันนาไม่ไกลนัก เขาไม่ต้องมองก็รู้ เด็กพวกนั้นคือศิษย์ของเขาเอง

    เขาใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขามานานจนมีสัญชาตญาณ แค่รู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ เขาก็สามารถ “รู้สึกได้” ถึงการมีอยู่ของพวกเขา
    และในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ความรู้สึกนี้กลับยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

    แม้ในแสงจันทร์ เขายังจำได้ว่าเด็กที่นั่งอยู่มีใครบ้าง ต้องมีหลิวเป่าจู่ และกัวชุ่ยฮวาอยู่แน่ ๆ เด็กสองคนนั้นเป็นคนในหมู่บ้าน ตามจริงแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำที่โรงเรียน แต่เขาก็ให้พวกเขาอยู่ เพราะไม่มีที่อื่นจะไป

    พ่อของหลิวเป่าจู่ เมื่อสิบปีก่อน ซื้อหญิงสาวจากมณฑลเสฉวนมาแต่งงาน มีลูกด้วยกันชื่อเป่าจู่ ห้าปีต่อมา เด็กเริ่มโต ผู้เป็นพ่อก็เริ่มละเลย จนวันหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นหนีกลับเสฉวน และขโมยเงินทุกหยวนในบ้านติดมือไปด้วย

    หลังจากนั้น พ่อของเป่าจู่ก็ไม่เป็นผู้เป็นคนอีก เริ่มจากเล่นพนัน เหมือนชายโสดแก่ ๆ อีกหลายคนในหมู่บ้าน จนบ้านพังไม่เหลืออะไร นอกจากสี่ผนังกับเตียงเก่า ๆ แล้วก็เริ่มดื่ม ทุกคืนใช้เหล้ามันเทศราคากิโลละแปดเหมา กรอกใส่ปากจนเมามาย
    พอเมาก็ลงกับลูก วันไหนดีก็ตีเบา วันไหนร้ายก็ตีจนเลือดซิบ จนคืนหนึ่งเมื่อเดือนก่อน เขาใช้ท่อนไม้ในเตา หวดลูกแทบเอาชีวิตไม่รอด

    ส่วนกัวชุ่ยฮวา ยิ่งน่าสงสารกว่า แม่ของเธอเป็นภรรยาที่พ่อแต่งมาด้วยสินสอดจริง ๆ ในหมู่บ้านแบบนี้ นับว่าแปลกมาก
    พ่อของเธอเคยภาคภูมิใจนัก แต่ไม่นานหลังแต่ง ทุกคนก็รู้ว่าแม่ของเธอเป็นคนบ้า ที่ตอนแต่งเข้ามาไม่มีใครรู้ ก็คงเพราะกินยาอยู่ตอนนั้น

    ว่ากันตามจริง ผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนจะยอมมาอยู่ในที่กันดารขนาดนี้? แต่ถึงอย่างไร เธอก็คลอดลูกออกมา และเลี้ยงชุ่ยฮวาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก โรคของแม่กลับเลวร้ายลงทุกปี เวลาคลุ้มคลั่ง เธอถือมีดไล่ฟันคนตอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็พยายามเผาบ้าน ส่วนช่วงที่อาการสงบ… เธอก็แค่หัวเราะเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยียบ เสียงหัวเราะนั้นทำให้ขนลุกซู่ทุกครั้งที่ได้ยิน

    เด็กที่เหลือล้วนเป็นคนจากหมู่บ้านอื่น หมู่บ้านใกล้สุดยังอยู่ห่างออกไปสิบลี้ทางภูเขา พวกเขาจึงต้องอยู่ประจำ ในโรงเรียนชนบทเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแห่งนี้ เด็ก ๆ เหล่านั้นจะอยู่ที่นี่ตลอดทั้งภาคเรียน พอมาแต่ละคนก็หอบผ้าห่มของตนเอง พร้อมข้าวสารหรือแป้งสาลีหนึ่งถุง สิบกว่าชีวิตทำอาหารกินด้วยกันในเตาใหญ่ของโรงเรียน

    เมื่อยามค่ำฤดูหนาวมาเยือน พวกเขาจะนั่งล้อมเตา ดูน้ำซุปข้น ๆ เดือดพล่านในหม้อเหล็กใบใหญ่ เปลวไฟจากฟางสีส้มในเตา สะท้อนบนใบหน้าของเด็ก ๆ ทีละคน…

    ภาพนั้น คือภาพที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตของเขา และเขารู้… ว่าจะพาภาพนี้ติดตัวไปยังอีกโลกหนึ่งแน่นอน

    Sponsored Ads

    นอกหน้าต่าง บนคันนาในแสงจันทร์ ท่ามกลางวงกลมของเด็ก ๆ นั้น ปรากฏแสงสีแดงเล็ก ๆ สองสามดวง ดวงไฟเล็ก ๆ พวกนั้นโดดเด่นนักบนฉากหลังของคืนเดือนเพ็ญสีเงินหม่น

    เด็ก ๆ เหล่านั้นกำลังจุดธูป แล้วก็ตามด้วยการเผากระดาษ เปลวไฟสีส้มทำให้ร่างของพวกเขาเรืองขึ้นในความมืดของฤดูหนาว ภาพนั้นทำให้เขานึกถึงอีกภาพหนึ่ง ภาพของเด็ก ๆ ที่ล้อมเตาไฟในคืนอันยาวนาน

    และในหัวของเขา ก็ปรากฏอีกภาพหนึ่งที่คล้ายกัน ครั้งหนึ่งโรงเรียนดับไฟ (บางทีอาจเพราะสายไฟชำรุด แต่ส่วนใหญ่เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าไฟ) เขายังจำได้ว่า เขายกเทียนไว้ในมือ ขณะสอนเด็ก ๆ ในชั้นตอนกลางคืน

    “เห็นไหม?” เขาถาม
    “ไม่เห็นเลยครับ!” เด็ก ๆ ตอบกันเสียงดังเสมอ จริงอยู่ แสงเพียงนิดเดียวจากเทียนนั้น มองแทบไม่เห็นกระดานดำ
    แต่เพราะเด็ก ๆ ขาดเรียนบ่อย เขาจึงต้องสอนให้ครบทุกบท

    เขาจุดเทียนอีกเล่ม ถือไว้ในมือสองข้าง เปลวไฟสั่นไหวในอากาศหนาว
    “ยังไม่เห็นเลยครับ!” เด็ก ๆ ตะโกนขึ้นอีกครั้ง
    เขาจึงจุดเพิ่มอีกเล่ม แม้ยังมองไม่ชัด แต่เด็ก ๆ ก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะพวกเขารู้ ว่าครูจะไม่จุดเพิ่มอีกแล้ว
    เทียนนั้นมีน้อยเกินไป และแพงเกินกว่าจะสิ้นเปลือง

    ในแสงเทียนสลัว เขามองเห็นใบหน้าของเด็ก ๆ ลาง ๆ สลับกับเงา ราวกับกลุ่มแมลงตัวน้อย ๆ ที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิต
    พยายามดิ้นรนหนีออกจากความมืด

    เด็กกับแสงไฟ… เด็กกับแสงไฟ… มันมักเป็นเช่นนั้นเสมอ เด็ก ๆ และแสงไฟในค่ำคืน ภาพนั้นสลักอยู่ในสมองของเขาอย่างลึกซึ้ง แต่เขาไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันเลย

    เขารู้ ว่าเด็ก ๆ กำลังเผากระดาษและจุดธูปให้เขา พวกเขาเคยทำอย่างนี้หลายครั้งแล้ว เพียงแต่คราวนี้ เขาไม่มีแรงจะตำหนิเด็ก ๆ ว่า “อย่าทำสิ่งงมงาย” อีก ทั้งชีวิต เขาใช้แรงทั้งหมดเพื่อจุดประกายแห่งวิทยาศาสตร์ และแสงแห่งอารยธรรมในใจของเด็ก ๆ แต่เขาก็รู้ดี เมื่อเทียบกับความมืดของความงมงาย ที่ปกคลุมอยู่ทั่วหุบเขาแห่งนี้ เปลวไฟเล็ก ๆ เหล่านั้นช่างอ่อนแรงเหลือเกิน เหมือนแสงเทียนในคืนหนาวบนภูเขา ที่แทบสู้ลมหายใจไม่ได้

    ครึ่งปีก่อน ชาวบ้านบางคนมาที่โรงเรียน ต้องการรื้อไม้คานจากอาคารเรียนที่ผุพัง บอกว่าจะเอาไปซ่อมศาลเจ้าหัวหมู่บ้าน

    เขาถามว่า “ถ้ารื้อหลังคาออกหมด แล้วเด็ก ๆ จะไปอยู่ที่ไหน?”
    พวกนั้นตอบว่า “ก็นอนในห้องเรียนไง”
    เขาถามต่อ “ห้องเรียนนั้นลมโกรกทั้งสี่ด้าน จะอยู่ได้ยังไงในหน้าหนาว?”
    พวกนั้นหัวเราะ “ก็เด็กต่างหมู่บ้านทั้งนั้น ไม่ใช่ลูกเรา”

    เขาโกรธจนคว้าไม้คานเข้าต่อสู้ สุดท้ายถูกตีจนซี่โครงหักสองซี่ มีคนใจดีช่วยหามเขา เดินข้ามภูเขากว่า 30 ลี้ พาไปถึงโรงพยาบาลในอำเภอ

    ตอนนั่นเอง ที่เขาถูกตรวจพบโดยบังเอิญว่าเป็นมะเร็งหลอดอาหาร มันไม่ใช่เรื่องแปลก พื้นที่แถบนี้เป็นเขตที่มะเร็งหลอดอาหารระบาดหนัก หมอในโรงพยาบาลอำเภอบอกเขาด้วยน้ำเสียงยินดี ว่ามันเป็นโชคดีในโชคร้าย เพราะโรคของเขายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่ลุกลาม ถ้าผ่าตัดก็อาจหายขาดได้ มะเร็งหลอดอาหารเป็นชนิดที่รักษาได้ดีที่สุดชนิดหนึ่ง
    เขาถือว่า “รอดตาย” มาแล้วครึ่งหนึ่ง

    หลังจากนั้น เขาเดินทางไปยังเมืองหลวงของมณฑล ไปถึงโรงพยาบาลมะเร็ง
    เขาถามหมอว่า “การผ่าตัดแบบนี้ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ครับ?”

    หมอตอบอย่างอ่อนโยน “ถ้าเป็นกรณีของคุณ สามารถเข้าพักในหอผู้ป่วยช่วยเหลือคนยากจนได้ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็จะลดให้บ้าง รวมแล้วไม่มากนัก ราวสองหมื่นกว่าหยวนเท่านั้นเอง”

    หมอยังอธิบายขั้นตอนการยื่นเอกสารอย่างละเอียด แต่เขาฟังอยู่เงียบ ๆ แล้วถามขึ้นเบา ๆ ว่า “ถ้าไม่ผ่าตัด… ผมจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?”

    หมออึ้งไปนาน ก่อนตอบ “ประมาณครึ่งปี”

    แล้วหมอก็ประหลาดใจ เมื่อเห็นคนไข้ตรงหน้ายิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เหมือนได้ยินคำปลอบโยนที่ดีที่สุดในชีวิต อย่างน้อย… เขาก็จะอยู่ส่งเด็กนักเรียนรุ่นนี้ จนจบชั้นเรียนได้

    เขาไม่มีปัญญาจะหาเงินสองหมื่นกว่าหยวนได้จริง ๆ แม้ครูรับจ้างอย่างเขาจะได้เงินเดือนน้อย แต่ทำงานมาหลายปี ตัวคนเดียว ไม่มีภาระอะไร ก็น่าจะพอเก็บไว้ได้บ้าง แต่ความจริงคือ เขาใช้มันไปกับเด็ก ๆ หมดแล้ว

    เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยออกเงินค่าเล่าเรียนให้เด็กไปกี่คน ล่าสุดก็มีหลิวเป่าจู่กับกัวชุ่ยฮวา บ่อยครั้งที่เขาเห็นหม้ออาหารของพวกเด็ก ๆ มีแต่น้ำใส เขาก็จะใช้เงินเดือนของตนเอง ซื้อเนื้อกับน้ำมันหมูกลับมาเพิ่มให้พวกเขา จนถึงตอนนี้ เงินทั้งหมดที่เขามี ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของค่าผ่าตัดที่ต้องใช้เลยด้วยซ้ำ

    Sponsored Ads

    เขาเดินไปตามถนนใหญ่สายกว้างของเมืองหลวงประจำมณฑล มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แสงไฟนีออนของเมืองเริ่มส่องแสงระยิบระยับ แสงหลากสีเหล่านั้นช่างงดงามจนทำให้เขาเวียนหัว ส่วนตึกสูงทั้งหลาย พอถึงยามค่ำคืน
    ก็กลายเป็นโคมไฟยักษ์ที่ตั้งตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงดนตรีล่องลอยอยู่ในอากาศของเมืองยามราตรี บางแห่งบ้าคลั่ง บางแห่งอ่อนโยน — เดินไปแต่ละช่วง เสียงก็เปลี่ยนไป

    ในโลกที่ไม่ใช่ของเขาใบนี้ เขาเริ่มรำลึกถึงชีวิตสั้น ๆ ของตัวเองอย่างเงียบงัน เขายอมรับมันได้อย่างสงบ คนเราต่างก็มีโชคชะตาของตนเอง ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน ตอนเขาจบมัธยมและกลับมาที่โรงเรียนประถมบนภูเขาแห่งนี้ เขาก็เลือกชะตาของตัวเองแล้ว

    ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตของเขาครึ่งหนึ่ง ก็มาจาก “ครูบ้านนอกอีกคนหนึ่ง” เขาเคยเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้เอง
    พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเล็ก โรงเรียนประถมเล็ก ๆ ที่ทรุดโทรมแห่งนั้นคือบ้านของเขา ครูประจำชั้นในตอนนั้นเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกแท้ ๆ แม้ชีวิตยากจน แต่ในวัยเด็ก เขาไม่เคยขาดความรักเลย

    ปีนั้น พอถึงปิดเทอมฤดูหนาว ครูตั้งใจจะพาเขากลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน บ้านของครูอยู่ไกล พวกเขาเดินทางบนทางภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่นาน จนเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านของครูอยู่ลิบ ๆ ก็ล่วงเข้ามืดค่ำแล้ว

    ในเวลานั้นเอง พวกเขาเห็นจุดแสงสีเขียวสี่ดวงอยู่ไม่ไกลด้านหลัง นั่นคือดวงตาของหมาป่าสองตัว สมัยนั้น หมาป่าในภูเขามีอยู่มาก แม้รอบโรงเรียนก็ยังพบมูลของพวกมันเป็นกอง ๆ ครั้งหนึ่ง เขาเคยซุกซน นำของเทา ๆ นั้นไปจุดไฟ แล้วโยนเข้าห้องเรียนจนควันคลุ้ง เด็กทั้งห้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ทำให้ครูโกรธมาก

    แต่คราวนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น หมาป่าสองตัวค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ครูหักกิ่งไม้ใหญ่ข้างทางขึ้นมาแกว่งไว้ ขวางหน้าพวกหมาป่า พร้อมตะโกนให้เขาวิ่งเข้าหาหมู่บ้าน

    ตอนนั้นเขากลัวจนสติหลุด วิ่งอย่างเดียว ไม่กล้ามองกลับหลัง คิดแต่ว่า หมาป่าจะวิ่งอ้อมมาทางเขาหรือเปล่า
    หรือจะเจอฝูงอื่นระหว่างทางไหม เขาวิ่งกระหืดกระหอบจนถึงหมู่บ้าน จากนั้นจึงรีบพาคนในหมู่บ้านที่ถือปืนล่าสัตว์ออกไปตามหา เมื่อพบครู… ร่างของเขานอนอยู่บนพื้นหิมะที่กลายเป็นเลือดแข็งข้น ขาถูกกัดไปครึ่งข้าง แขนข้างหนึ่งถูกฉีกจนขาดทั้งท่อน

    ครูสิ้นใจระหว่างทางไปโรงพยาบาลอำเภอ ภายใต้แสงคบไฟสลัว ๆ เขาเห็นดวงตาของครู แก้มด้านหนึ่งถูกกัดหายไปจนพูดไม่ได้ แต่สายตานั้น… เต็มไปด้วยความห่วงใยร้อนรน และเขาเข้าใจมันในทันที เขาจำแววตานั้นได้จนถึงวันนี้

    หลังจากเรียนจบมัธยม เขาปฏิเสธงานดี ๆ ในที่ว่าการอำเภอ เลือกกลับมาที่หมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ กลับมาที่โรงเรียนเล็ก ๆ ซึ่งครูของเขาเคยอยู่ โรงเรียนที่ร้างไปหลายปี เพราะไม่มีครูคนใดเหลืออยู่แล้ว

    ไม่นานมานี้ ทางการออกนโยบายใหม่ ยกเลิกตำแหน่งครูเอกชนทั่วประเทศ แต่เปิดสอบคัดเลือกให้บางคนได้บรรจุเป็นข้าราชการครู วันที่เขาได้รับใบประกาศครูจากรัฐ เขาดีใจมาก แต่ก็เพียงเท่านั้น ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ดีใจจนน้ำตาไหล

    เขาไม่สนหรอกว่าเป็น “ครูรัฐ” หรือ “ครูเอกชน” สิ่งที่เขาใส่ใจ มีเพียงเด็ก ๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่เรียนจบจากโรงเรียนของเขา
    แล้วออกไปเผชิญชีวิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่เดินออกไปสู่โลกกว้าง หรือคนที่ยังคงอยู่ในภูเขา ชีวิตของพวกเขาก็ย่อมแตกต่าง จากเด็กที่ไม่เคยได้เรียนหนังสือเลยสักวัน

    พื้นที่ภูเขาที่เขาอยู่ คือหนึ่งในเขตที่ยากจนที่สุดของประเทศ แต่ “ความจน” ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น
    คือ “ความเคยชินกับความจน”

    เขาจำได้ว่า เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่รัฐบาลเริ่มนโยบาย “แบ่งที่นาให้แต่ละครัวเรือนดูแลเอง” หมู่บ้านเริ่มแบ่งนา แล้วก็แบ่งของอย่างอื่นตามมาอีก ในหมู่บ้านมีรถไถเพียงคันเดียว แต่ทุกคนเถียงกันไม่รู้จบ ว่าจะออกค่าน้ำมันกันอย่างไร จะใช้งานกันคนละกี่ชั่วโมงถึงจะยุติธรรม

    สุดท้าย วิธีเดียวที่ทุกคนยอมรับได้ ก็คือ “แบ่งมันซะเลย”
    ใช่ พวกเขาแบ่งจริง ๆ บ้านนี้ได้ล้อหนึ่ง บ้านนั้นได้เพลาอีกอัน… รถไถที่เคยเป็นของทั้งหมู่บ้าน ก็กลายเป็นเศษเหล็กกองหนึ่งในวันเดียว

    แล้วเมื่อสองเดือนก่อน มีโรงงานแห่งหนึ่งเดินทางมาช่วยเหลือหมู่บ้านในโครงการพัฒนา ติดตั้งเครื่องสูบน้ำใต้ดินให้ใหม่ทั้งชุด เพราะรู้ว่าค่าไฟแพง พวกเขายังให้เครื่องยนต์ดีเซลเล็ก ๆ มาพร้อมถังน้ำมันเต็มถัง เป็นเรื่องดีจริง ๆ ดีจนเขาเองยังรู้สึกซึ้งใจแทนหมู่บ้าน

    แต่ยังไม่ทันที่รถของคนจากโรงงานจะพ้นปากหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านก็จัดการขายของทั้งหมด ทั้งเครื่องสูบน้ำ ทั้งเครื่องยนต์ พร้อมน้ำมันที่ได้มาขายรวมกันได้เงินมา 1,500 หยวน เมื่อได้เงินมาแล้ว พวกเขาก็พากันจัดงานเลี้ยงใหญ่ กินกันสองมื้อเต็ม ๆ
    หัวเราะกันสนุก ราวกับเป็นงานปีใหม่ ใคร ๆ ก็พูดว่า “คราวนี้หมู่บ้านเราได้ของดีจริง ๆ เสียที”

    ต่อมา โรงงานฟอกหนังมาขอซื้อที่ดินสร้างโรงงาน ไม่มีใครเข้าใจอะไรทั้งนั้น ก็ขายให้เลย พอสร้างเสร็จ น้ำเสียจากการฟอกหนัง ไหลลงแม่น้ำและซึมเข้าบ่อน้ำ คนที่ดื่มน้ำเริ่มมีผื่นแดงขึ้นทั้งตัว แต่ไม่มีใครใส่ใจ กลับภูมิใจเสียอีก ที่ขายที่ได้ “ราคาดี

    เขามองดูพวกผู้ชายในหมู่บ้านที่ไม่มีเมียสักคน ทุกวันไม่ทำอะไรเลย นอกจากเล่นการพนันกับดื่มเหล้า แต่ไม่เคยลงมือทำนา พวกเขาคิดเลขเก่ง คำนวณได้อย่างแม่นว่า “ถ้าจนสุดขีดจริง ๆ รัฐก็ต้องมีเงินช่วยเหลือจากอำเภอปีละครั้ง” พอรวมแล้ว เงินช่วยเหลือนั่น ยังมากกว่าที่จะได้จากการก้มหน้าขุดดินอยู่บนที่นาขนาดเท่าฝ่ามือทั้งปีเสียอีก…

    เมื่อไม่มีการศึกษา คนก็เริ่มกลายเป็นคนที่เสื่อมลง ภูเขาที่กันดารและน้ำที่ขมฝาดนั้น ยังไม่ทำให้สิ้นหวังเท่ากับสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางที่สุด คือสายตาที่นิ่งเฉยและว่างเปล่าของผู้คนบนภูเขาเหล่านั้น สายตาที่ไม่มีทั้งความหวังและความคิดเหลืออยู่เลย

    Sponsored Ads

    เขาเดินจนเหนื่อย แล้วก็นั่งลงริมทางเท้า เบื้องหน้าเขา คือภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ผนังด้านที่หันออกสู่ถนนเป็นกระจกใสทั้งแผง แชนเดอเลียร์ระย้าส่งแสงระยิบระยับออกมาถึงภายนอก ทั้งร้านดูเหมือนตู้ปลาขนาดมหึมา ส่วนแขกในชุดหรูที่นั่งอยู่ข้างใน ก็ดูเหมือนฝูงปลาสวยงามหลากสีที่ว่ายวนอยู่ในนั้น

    เขาเห็นชายอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะติดกระจกริมถนน ทั้งผมทั้งหน้าดูมันเยิ้ม ราวกับคนที่ทำจากขี้ผึ้งชิ้นใหญ่ทาเคลือบไว้ด้วยน้ำมัน สองข้างของเขานั่งหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวในชุดเปิดเผย ชายอ้วนนั้นพูดบางอย่างกับหญิงคนหนึ่ง จนเธอหัวเราะลั่นขึ้นมา เขาหัวเราะตามไปด้วย อีกคนก็ทำเสียงออดอ้อน ใช้กำปั้นเล็ก ๆ ตีแขนเขาเบา ๆ

    เขามองภาพนั้นแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ… ไม่อยากจะเชื่อว่าโลกนี้ยังมีผู้หญิงตัวสูงขนาดนั้น”
    แล้วเขาก็นึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมา ซิ่วซิ่ว

    ซิ่วซิ่ว เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน ที่ไม่แต่งออกไปอยู่ข้างนอก บางทีอาจเพราะเธอไม่เคยออกจากภูเขาเลย กลัวโลกภายนอก หรือบางทีอาจเพราะเหตุผลอื่นก็ได้ เขากับซิ่วซิ่วคบกันมาสองปีกว่า ตอนนั้นเหมือนจะตกลงแต่งกันแล้วด้วยซ้ำ
    บ้านของซิ่วซิ่วก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก ขอเพียง “ค่าท้องเจ็บ” 1,500 หยวน (หมายเหตุ: ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ คำนี้หมายถึงค่าสินสอดตอบแทนความเจ็บของแม่ตอนคลอดลูกสาว)

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน คนในหมู่บ้านที่ออกไปทำงานต่างถิ่นก็เริ่มมีเงินกลับมา มีคนหนึ่งชื่อเอ้อร์ตั้น อายุรุ่นเดียวกับเขา แม้ไม่รู้หนังสือ แต่หัวไว ออกไปทำงานล้างเครื่องดูดควันตามบ้านในเมือง ปีหนึ่งก็ได้เงินประมาณ 10,000 หยวน ปีนั้นพอกลับมาบ้าน ซิ่วซิ่วก็ไม่รู้ทำไมถึงไปคบกับเอ้อร์ตั้นเข้า

    บ้านของซิ่วซิ่วมีแต่คน “ตาบอดที่ลืมตา” หมายถึงอ่านไม่ออกแต่ก็ยังจ้องดูเหมือนเข้าใจ กำแพงบ้านเป็นดินแห้งหยาบ ๆ
    นอกจากจะติดเมล็ดฟักทองที่คลุกโคลนไว้เป็นกลุ่ม ๆ แล้ว ก็มีรอยขีดสั้นยาวเต็มไปหมด นั่นคือบัญชีหนี้ที่พ่อของเธอจดไว้หลายปียนได้ นั่นแหละเหตุผลที่เธอเาคาถูกหนึ่งขวด กับสร้อยชุบทองเส้นเดียวของเอ้อร์ตั้น ก็ลบความรู้สึกนั้นหมดสิ้น

    “อ่านออกเขียนได้ก็ไม่ได้ทำให้กินอิ่มนี่นา” ซิ่วซิ่วพูดกับเขา

    เขารู้ดีว่าการรู้หนังสือมันเลี้ยงชีพได้ แต่ในกรณีของเขา มันเลี้ยงได้ยากกว่าของเอ้อร์ตั้นจริง ๆ เขาจึงพูดไม่ออก ซิ่วซิ่วมองหน้าเขา แล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมฉุน ๆ ที่ทำให้เขาขมวดคิ้ว หนึ่งปีหลังแต่งกับเอ้อร์ตั้น ซิ่วซิ่วก็ตายตอนคลอดลูก

    เขายังจำภาพนั้นได้ดี หมอตำแยใช้มีดและคีมขึ้นสนิม เอาไปลนไฟแค่พอแดง ๆ แล้วก็สอดเข้าไป เลือดไหลออกมาจนเต็มกะละมังทองเหลือง ซิ่วซิ่วตายระหว่างทางไปโรงพยาบาลอำเภอ

    ตอนจัดงานแต่ง เอ้อร์ตั้นใช้เงินไป 30,000 หยวน งานใหญ่จนทั้งหมู่บ้านอิจฉา แต่พอถึงตอนคลอด เขากลับไม่ยอมพาเมียไปโรงพยาบาล เพียงเพราะอยากประหยัดเงินแค่ 200 – 300 หยวนเท่านั้น

    เขาได้ยินมาทีหลังว่า ค่าทำคลอดในโรงพยาบาลจริง ๆ ก็แค่ 200 หรือ 300 หยวนเอง แต่ในหมู่บ้าน ไม่มีใครไปคลอดที่โรงพยาบาลหรอก เพราะ “มันไม่จำเป็น”

    ไม่มีใครตำหนิเอ้อร์ตั้น ทุกคนพูดเพียงว่า “ซิ่วซิ่วก็ชะตาเป็นแบบนั้น”

    ทีหลังเขาได้ยินอีกว่า เมื่อเทียบกับแม่ของเอ้อร์ตั้นแล้ว ซิ่วซิ่วยังนับว่าโชคดี

    ตอนแม่เอ้อร์ตั้นคลอดลูก เกิดการคลอดยาก พ่อของเอ้อร์ตั้นได้ยินจากหมอตำแยว่าเป็นลูกชาย จึงตัดสินใจจะเอาแต่ลูก ไม่สนแม่ พวกเขามัดแม่ไว้บนหลังลา แล้วปล่อยให้ลาวนรอบลานบ้าน จนในที่สุดเด็กก็ถูกบีบออกมา คนที่เห็นเล่าว่า เลือดไหลรอบลานบ้านเป็นวง…

    เขาก็ถอนหายใจยาวเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความโง่เขลาและสิ้นหวังที่ปกคลุมบ้านเกิดของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก แต่เด็ก ๆ ยังมีความหวังอยู่ เด็กพวกนั้น ที่ในคืนหนาวจัดของฤดูหนาว จ้องดูแสงเทียนส่องบนกระดานดำในห้องเรียนเล็ก ๆ

    เขา คือเทียนเล่มนั้นเอง ไม่ว่าจะส่องแสงได้นานแค่ไหน สว่างมากเพียงใด อย่างน้อย… เขาก็ได้จุดมันจากต้นจนถึงปลาย

    เขาลุกขึ้นยืน เดินต่อไป เดินได้ไม่นานก็เลี้ยวเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง

    เมืองหลวงนี่ดีจริง ๆ มีแม้แต่ร้านหนังสือที่เปิดถึงดึก เขาใช้เงินทั้งหมดที่เหลืออยู่ ยกเว้นค่าโดยสารกลับบ้าน ซื้อหนังสือใส่ถุงสองมัดใหญ่ เพื่อเอาไปเติมเต็มห้องสมุดเล็ก ๆ ของโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ตอนเที่ยงคืน เขาหิ้วหนังสือสองมัดหนักอึ้งนั้น ขึ้นรถไฟขบวนกลับบ้าน

    Sponsored Ads

    ห่างจากโลกห้าหมื่นปีแสง ที่ศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือก สงครามระหว่างดวงดาวที่ดำเนินมายาวนานถึงสองหมื่นปี
    กำลังใกล้ถึงจุดจบ

    ในห้วงอวกาศแห่งนั้น ค่อย ๆ ปรากฏเงาลาง ๆ ของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ราวกับผืนฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพราวถูกตัดออกเป็นช่องสี่เหลี่ยมหนึ่งช่อง ขอบของมันยาวราวหนึ่งแสนกิโลเมตร ภายในพื้นที่นั้นมีความมืดมิด มืดดำเสียยิ่งกว่าความมืดรอบข้าง มืดราวกับ “ความว่างเปล่าในท่ามกลางความว่างเปล่า” จากสี่เหลี่ยมสีดำสนิทนั้น สิ่งของบางอย่างเริ่มค่อย ๆ ปรากฏขึ้น รูปร่างไม่เหมือนกันเลยสักชิ้น แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากับดวงจันทร์ และส่องแสงเงินสว่างจ้า จำนวนของมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
    ก่อนจะจัดเรียงตัวเป็นขบวนระเบียบสมบูรณ์แบบในรูปทรงลูกบาศก์ เหล่าก้อนเงินโลหะเหล่านี้ลอยออกมาจากช่องดำสนิทอย่างสง่างาม ภาพนั้น เหมือนภาพฝังประดับขนาดมหึมาบนผนังนิรันดร์ของจักรวาล พื้นหลังคือกำมะหยี่ดำของวัตถุดำสมบูรณ์ ส่วนลวดลายคือกลุ่มชิ้นส่วนเล็ก ๆ สีเงินบริสุทธิ์ เรียงกันอย่างสมมาตรส่องประกายระยับ ราวกับ “ซิมโฟนีแห่งจักรวาล” ที่ถูกทำให้กลายเป็นรูปทรงของเสียงดนตรีอันนิรันดร์ ไม่นาน สี่เหลี่ยมสีดำก็ละลายหายไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว แสงของหมู่ดาวไหลกลับเข้ามาแทนที่ และขบวนลูกบาศก์สีเงินยังคงลอยเด่น อยู่ท่ามกลางหมู่ดาวอย่างสงบนิ่ง

    กองยานอวกาศของ “สหพันธรัฐคาร์บอนเบส” แห่งทางช้างเผือก ได้เสร็จสิ้นการกระโดดข้ามกาล อวกาศครั้งแรกของการลาดตระเวนรอบนี้

    บนเรือธงของกองทัพ ผู้นำสูงสุดของสหพันธรัฐมองออกไปยัง “พื้นโลหะสีเงิน” เบื้องหน้า พื้นผิวเรียบกว้างสุดสายตา ที่เต็มไปด้วยลายเส้นซับซ้อนราวกับแผ่นวงจรขนาดมหึมา บางครั้งมี “ยานลูก” รูปร่างคล้ายหยดน้ำแวววาวโผล่ขึ้นมาจากพื้น วิ่งไปตามเส้นทางแสงด้วยความเร็วราวสายฟ้าเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะหายวับลงในหลุมลึกที่เปิดขึ้นกะทันหัน ฝุ่นอวกาศที่ติดมากับการกระโดดผ่านกาลอวกาศ ถูกทำให้แตกตัวเป็นประจุไฟฟ้า กลายเป็นกลุ่มเมฆเรืองแสงสีแดงคล้ำ ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นโลหะสีเงินนั้น

    ผู้นำสูงสุด ผู้เป็นที่รู้จักในนาม “บุรุษผู้เยือกเย็น” รอบกายของเขามีสนามพลังอัจฉริยะสีฟ้าอ่อน เรียบสงบไร้คลื่นไหว สัญลักษณ์ของจิตใจอันมั่นคงของเขา แต่ตอนนี้ สนามนั้นกลับสั่นระริกเป็นสีเหลืองจาง ๆ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ รอบตัว

    “ในที่สุด… มันก็จบลงแล้ว” สนามพลังของเขาสั่นสะเทือน ส่งต่อข้อความนี้ไปยังสมาชิกวุฒิสภาและผู้บัญชาการกองเรือที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างของเขา

    “ใช่แล้ว… จบลงเสียที สงครามนี้ยาวนานเหลือเกิน จนเราลืมแม้กระทั่งว่ามันเริ่มขึ้นอย่างไร” สมาชิกวุฒิสภาตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วราวกับถอนหายใจ

    ทันใดนั้น กองเรือทั้งหมดเริ่มเคลื่อนเข้าสู่โหมดความเร็วต่ำกว่าความเร็วแสง เครื่องขับดันสีน้ำเงินนับหมื่นจุดติดสว่างพร้อมกัน รอบเรือธงเกิดดวงอาทิตย์สีน้ำเงินนับพันดวงลุกโชติช่วง พื้นโลหะสีเงินเบื้องล่างสะท้อนภาพดวงอาทิตย์เหล่านั้น เพิ่มจำนวนของมันขึ้นเป็นสองเท่า ราวกับมหาสมุทรแห่งแสงสะท้อนที่ไร้ขอบเขต

    ความทรงจำโบราณดูเหมือนจะถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ใครกันเล่าจะลืมจุดเริ่มต้นของสงครามได้จริง ๆ ?

    แม้เวลาผ่านไปกว่าหลายร้อยชั่วอายุคน แต่ในสมองของประชากรนับล้านล้านของสหพันธรัฐคาร์บอนเบส ภาพนั้นยังคงชัดเจน ฝังแน่นไม่อาจลืมเลือน

    สองหมื่นปีก่อน คือช่วงเวลาที่ “จักรวรรดิซิลิคอนเบส” เปิดฉากบุกเต็มกำลังจากชานกาแล็กซี แนวรบทอดยาวกว่าหนึ่งหมื่นปีแสง เรือรบขนาดมหึมากว่าห้าล้านลำ เริ่ม “การกระโดดข้ามดวงดาว” พร้อมกัน แต่ละลำใช้พลังของดวงอาทิตย์หนึ่งดวง เพื่อเปิด “รูหนอนแห่งกาล-อวกาศ” กระโดดจากดาวดวงหนึ่งไปสู่อีกดวงหนึ่ง ใช้พลังของดวงถัดไปเปิดรูหนอนใหม่ และเดินทางต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด ทุกครั้งที่รูหนอนเปิดออก พลังมหาศาลของดวงอาทิตย์นั้นถูกดูดไปจนเกือบหมด ทำให้แสงของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงชั่วคราว เมื่อยานรบกระโดดออกไป แสงของดาวก็จะค่อย ๆ กลับคืนเป็นปกติ แต่เมื่อเรือรบหลายล้านลำ ทำเช่นนั้นพร้อมกัน ภาพที่เกิดขึ้นน่าพรั่นพรึง

    ริมขอบของกาแล็กซี ปรากฏ “สายแสงสีแดง” ยาวหนึ่งหมื่นปีแสง เคลื่อนตัวเข้าหาศูนย์กลางอย่างเชื่องช้าแต่ไม่หยุดยั้ง ในมุมมองของมนุษย์ที่จำกัดด้วยความเร็วแสง ภาพนั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ในจอมอนิเตอร์ของอวกาศมิติสูง มันชัดเจนดั่งเลือดหลั่งริน สายแสงแดงที่ประกอบด้วยหมู่ดาวนับไม่ถ้วน กลายเป็น “คลื่นเลือดแห่งจักรวาล” กำลังหลั่งไหลเข้ามายังเขตแดนของสหพันธรัฐคาร์บอนเบส

    ดาว “หลวี่หยาง” (Lǜyáng – ดาวทะเลเขียว) คือดาวเคราะห์ดวงแรกที่เผชิญหน้ากับแนวรุกของจักรวรรดิซิลิคอนเบส ดาวเคราะห์สวยงามที่โคจรรอบดาวคู่ พื้นผิวทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยมหาสมุทร

    ในทะเลสีมรกตนั้น มี “ป่าลอยน้ำ” ที่เกิดจากพืชเถาวัลย์ยาวนุ่มนวล สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่คือ “ชาวหลวี่หยาง” ผู้มีร่างโปร่งใส สง่างาม และอ่อนโยน พวกเขาได้สร้างอารยธรรมที่งดงาม ราวกับ “สวนอีเดนแห่งทะเลสีเขียว”

    แต่แล้ว ลำแสงนับหมื่นพุ่งลงมาจากท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน กองทัพซิลิคอนเบสเริ่มการโจมตี ด้วยเลเซอร์พลังสูงที่ระเหยมหาสมุทรให้เดือด ในเวลาอันสั้น ดาวหลวี่หยางทั้งดวง กลายเป็นหม้อเดือดขนาดมหึมา

    สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกว่า “ห้าพันล้านชีวิต” ถูกต้มหยดตายท่ามกลางทะเลเดือด โปรตีนของพวกเขา กลายเป็นตะกอนสีเขียวเข้ม
    ทำให้น้ำทั้งดาวกลายเป็น “ซุปแห่งความตาย” ในที่สุด มหาสมุทรทั้งหมดก็ระเหยหายไป ดาวที่เคยงดงามดั่งอัญมณีแห่งทางช้างเผือก กลายเป็นดาวเคราะห์สีเทาหม่น ห่อหุ้มด้วยชั้นไอร้อนหนาทึบ ดั่งนรกที่ไม่มีวันดับ

    Sponsored Ads

    นี่คือสงครามระหว่างดวงดาวที่แทบจะกวาดล้างไปทั่วทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือก สงครามแห่งการเอาชีวิตรอดระหว่างอารยธรรมสองสายพันธุ์ อารยธรรมคาร์บอนเบส และอารยธรรมซิลิคอนเบส ไม่มีฝ่ายใดคาดคิดเลยว่า สงครามจะยืดเยื้อไปได้ถึง สองหมื่นปีแห่งกาแล็กซี

    ตอนนี้… ยกเว้นนักประวัติศาสตร์ ไม่มีใครในจักรวาลนี้จำได้แล้วว่า มีมหาสงครามที่มีเรือรบเข้าร่วมมากกว่าล้านลำ เกิดขึ้นทั้งหมดกี่ครั้ง ารรบที่ใหญ่ที่สุด ที่ถูกเรียกขานในตำนานว่า “ศึกแขนงที่สอง” เกิดขึ้นกลางส่วนโค้งที่สองของกาแล็กซีทางช้างเผือก ทั้งสองฝ่ายระดมเรือรบขนาดมหึมากว่าสิบล้านลำเข้าสู่สนามรบ

    ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ในสมรภูมิอันกว้างใหญ่เกินจินตนาการนั้น มีการระเบิดของ “ซูเปอร์โนวา” มากกว่าสองพันดวง พวกมันระเบิดราวกับดอกไม้ไฟกลางความมืดในแขนงที่สอง เปลี่ยนพื้นที่นั้นให้กลายเป็นมหาสมุทรแห่งรังสีรุนแรง และมีเพียงเหล่าหลุมดำเร่ร่อนคล้ายภูตผี ที่ยังลอยอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งการทำลายล้างนั้น ตอนจบของศึก กองเรือของทั้งสองฝ่ายแทบจะถูกทำลายจนหมดสิ้น

    เวลาผ่านไปหนึ่งหมื่นห้าพันปี ศึกแขนงที่สองได้กลายเป็นเรื่องเล่าขจรไกล เหมือนตำนานเลือนรางของยุคดึกดำบรรพ์
    แต่สมรภูมิเก่าก็ยังอยู่ที่เดิม เป็นหลักฐานเดียวที่บอกว่า “มันเคยเกิดขึ้นจริง”

    ถึงอย่างนั้น ก็แทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะที่นั่น คือหนึ่งในพื้นที่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของทางช้างเผือก และไม่ใช่เพียงเพราะรังสีหรือหลุมดำเท่านั้น

    ในเวลานั้น กองเรือรบจำนวนมหาศาลของทั้งสองฝ่าย ต้องเคลื่อนที่ทางยุทธศาสตร์อย่างซับซ้อน จึงใช้ “การกระโดดระยะสั้น” จำนวนมหาศาล จนโครงสร้างของกาล–อวกาศในบริเวณนั้น ถูกฉีกทึ้งเป็นรูพรุนราวกับเนยแข็งยักษ์ที่ถูกหนูกัดจนพรุน มีรายงานว่า เครื่องบินรบอวกาศบางลำกระโดดระยะใกล้ จนเหลือเพียง “ไม่กี่พันเมตร” ในขณะต่อสู้กันกลางสนามรบ!

    ตั้งแต่นั้นมา สมรภูมิแห่งนั้นก็กลายเป็นเขาวงกตแห่งหายนะ ยานอวกาศที่เผลอหลงเข้าไป อาจถูกแรงบิดของกาลอวกาศ ดึงให้บิดเป็นเส้นโลหะยาวเหมือนด้ายในชั่วพริบตา หรือถูกบีบอัดจนแผ่กว้างหลายร้อยล้านตารางกิโลเมตร แต่มีความหนาเพียงไม่กี่อะตอม ก่อนจะถูกพายุรังสีฉีกกระชากจนแหลกละเอียด หรือบ่อยกว่านั้น ยานทั้งลำกลับเสื่อมสภาพ กลายเป็นเศษเหล็กเก่าในชั่ววินาที ภายในกลวงเปล่า มีเพียงฝุ่นผงโบราณที่เคยเป็นมนุษย์ บางครั้ง “คน” ในยาน อาจกลับสู่สภาพตัวอ่อนในครรภ์ หรือไม่ก็กลายเป็นเพียงโครงกระดูกขาวโพลน…

    แต่ “ศึกสุดท้าย” ไม่ใช่ตำนาน มันเกิดขึ้นจริง เพียงหนึ่งปีก่อนหน้านี้เอง ระหว่างแขนงแรกและแขนงที่สองของทางช้างเผือก
    ในอวกาศรกร้างอันเงียบงัน จักรวรรดิซิลิคอนเบสได้รวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ กองเรือจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนลำ สร้าง “ม่านเมฆปฏิสสาร” ขนาดรัศมีหนึ่งพันปีแสง ล้อมรอบตัวเองไว้แน่นหนา

    กองเรือชุดแรกของสหพันธรัฐคาร์บอนเบส เพิ่งกระโดดผ่านกาล–อวกาศเข้ามา ก็ถูกกลืนหายไปในม่านปฏิสสารนั้นทันที แม้เมฆปฏิสสารจะเบาบาง แต่มันสามารถฆ่าเรือรบได้ในพริบตา เรือแต่ละลำระเบิดกลายเป็นลูกไฟสว่างจ้า แต่แม้จะถูกเผา พวกมันยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า เรือแต่ละลำลากหางเพลิงยาวไว้ข้างหลัง รวมกันเป็น “กระแสอุกกาบาตไฟ” กว่า สามแสนสาย
    ส่องสว่างไปทั่วอวกาศมืดมิด ภาพนั้นกลายเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และโหดร้ายที่สุดในสงครามคาร์บอน–ซิลิคอน

    เมื่อพวกมันค่อย ๆ มอดลงภายในเมฆปฏิสสาร เส้นทางแห่งเพลิงเหล่านั้นก็เปิดออก กลายเป็น “ช่องทางแห่งการเสียสละ”
    ให้กองเรือที่ตามมาสามารถรุกต่อไปได้ และในที่สุด กองเรือสุดท้ายของจักรวรรดิซิลิคอนเบส ก็ถูกผลักไสถอยหนี ไปยังขอบสุดของกาแล็กซี สู่จุดปลายสุดของแขนงที่หนึ่ง

    ที่นั่นเอง คือสมรภูมิสุดท้ายของสงครามที่กินเวลาสองหมื่นปี ในประวัติศาสตร์แห่งจักรวาล

    Sponsored Ads

    ตอนนี้ กองเรือของสหพันธรัฐคาร์บอนเบส กำลังจะทำภารกิจสุดท้ายของสงครามคาร์บอน–ซิลิคอนให้เสร็จสิ้น

    พวกเขาจะสร้าง “แนวกันชน” กว้างห้าร้อยปีแสง อยู่บริเวณกึ่งกลางของแขนงที่หนึ่งของทางช้างเผือก ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในแนวนี้จะถูกทำลาย เพื่อหยุดยั้ง “การกระโดดข้ามดาวฤกษ์” ของจักรวรรดิซิลิคอนเบส การกระโดดข้ามดาวฤกษ์ เป็นหนทางเดียว ที่เรือรบขนาดใหญ่สามารถโจมตีทางไกลได้อย่างรวดเร็ว และระยะสูงสุดของการกระโดดแต่ละครั้งคือสองร้อยปีแสง
    ดังนั้น เมื่อแนวกันชนถูกสร้างขึ้น เรือรบหนักของซิลิคอนเบสจะไม่สามารถเข้าสู่เขตศูนย์กลางของกาแล็กซีได้อีก พวกมันจะต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำกว่าความเร็วแสง เพื่อข้ามพื้นที่ห้าร้อยปีแสงนั้น ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ จักรวรรดิซิลิคอนเบสจึงถูก “ขังไว้” ที่ปลายแขนงที่หนึ่ง ไม่อาจคุกคามอารยธรรมคาร์บอนเบสได้อีกต่อไป

    “ข้าพเจ้ามาพร้อมกับเจตจำนงของสภาสหพันธรัฐ” เสียงของสมาชิกวุฒิสภาส่งผ่านสนามอัจฉริยะที่สั่นสะเทือนเบา ๆ
    “พวกเขายังคงแนะนำอย่างหนักแน่น ก่อนจะทำลายดาวฤกษ์ในแนวกันชน ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่”

    “ข้าเข้าใจสภา” ผู้นำสูงสุดสุดตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
    “ในสงครามอันยาวนานนี้ เลือดของชีวิตนับไม่ถ้วน เพียงพอจะสร้างเป็นมหาสมุทรได้พันดาว สิ่งที่จักรวาลต้องการมากที่สุดหลังสงคราม คือ ‘การฟื้นฟูความเคารพต่อชีวิต’ ความเคารพนี้ ไม่ได้จำกัดแค่ต่อสิ่งมีชีวิตคาร์บอน แต่รวมถึงสิ่งมีชีวิตซิลิคอนด้วย ด้วยเหตุนี้เอง สหพันธรัฐคาร์บอนเบสจึงไม่ล้างเผ่าพันธุ์ซิลิคอนเบสจนหมดสิ้น แต่… จักรวรรดิซิลิคอนเบสไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับพวกมัน ‘สงครามและการพิชิต’ เคยเป็นเพียงสัญชาตญาณ ความเพลิดเพลิน ทว่าบัดนี้… มันได้ฝังลงในทุกเซลล์ ทุกบรรทัดของโค้ดแล้ว กลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำรงอยู่ของพวกมันเอง และเพราะสิ่งมีชีวิตซิลิคอนมีความสามารถในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลเหนือกว่าเราหลายเท่า เราจึงสามารถคาดได้ว่า การฟื้นตัวและพัฒนาของจักรวรรดิซิลิคอนเบส ในปลายแขนงที่หนึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่ากลัว
    ดังนั้น… เราจำเป็นต้องสร้างแนวกั้นกว้างพอระหว่างเรา แต่ในสภาพนี้ การตรวจคัดกรองดาวฤกษ์นับพันล้านดวง เพื่อป้องกันการทำลายชีวิตระดับต่ำ เป็นสิ่งที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ แม้แขนงที่หนึ่งจะเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดของทางช้างเผือก แต่ดาวฤกษ์ที่มีดาวเคราะห์ซึ่งอาจมีสิ่งมีชีวิตนั้น ยังมีความหนาแน่นสูงพอสำหรับการกระโดดข้ามดาว แม้เพียงเรือรบระดับกลางของจักรวรรดิซิลิคอนเบสลำเดียว หากหลุดรอดเข้ามาในอาณาเขตสหพันธรัฐคาร์บอนเบส ก็อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงได้
    เพราะฉะนั้น… ในแนวกันชน เราสามารถตรวจสอบได้เพียงระดับ ‘อารยธรรม’ เท่านั้น เราจำต้องเสียสละชีวิตเล็กน้อยบางส่วนในแนวกันชน เพื่อปกป้องชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่านับไม่ถ้วนในจักรวาลนี้ ข้าได้อธิบายเรื่องนี้แก่สภาแล้ว”

    สมาชิกวุฒิสภาพยักหน้า “สภาเข้าใจท่านและคณะกรรมการกลาโหมสหพันธรัฐดี ดังนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้ามาแจ้งวันนี้ เป็นเพียงคำแนะนำ ไม่ใช่กฎหมาย แต่สำหรับดาวฤกษ์ที่มีอารยธรรมระดับ 3C ขึ้นไป จะต้องได้รับการปกป้องโดยเด็ดขาด”

    “ข้อนั้นไม่ต้องสงสัย” สนามอัจฉริยะของผู้นำสูงสุดเปล่งประกายสีแดงมั่นคง “เราจะทำการตรวจสอบอารยธรรมของดาวทุกดวงที่มีดาวเคราะห์ อย่างเข้มงวดที่สุด!”

    ผู้บัญชาการกองเรือส่งสัญญาณเป็นครั้งแรก “ข้าคิดว่าพวกท่านกังวลเกินไป แขนงที่หนึ่งนั้นรกร้างยิ่งกว่าทะเลทรายในกาแล็กซี ไม่มีทางที่จะมีอารยธรรมระดับ 3C อยู่ได้หรอก”

    “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด…” ผู้นำสูงสุดและสมาชิกวุฒิส่งสัญญาณพร้อมกัน สนามอัจฉริยะของพวกเขาสั่นสะท้อนเข้าหากัน จนเกิดคลื่นพลาสม่ารูปโค้งแผ่กระจายขึ้นสู่ฟ้าเหนือพื้นโลหะสีเงิน

    กองเรือเริ่มการกระโดดข้ามกาล–อวกาศครั้งที่สอง พุ่งออกไปด้วยความเร็วเกือบไร้ขีดจำกัด มุ่งหน้าไปยังแขนงที่หนึ่งของทางช้างเผือก

    Cite: 刘慈欣的《乡村教师》全文 - 阅微堂 (zhiqiang.org)
    Photo: 乡村教师(刘慈欣)(zhuanlan.zhihu.com)

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note