You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com

    “一个青年网络作家的肖像” (A Portrait of a Young Internet Writer) by 远子 (หยวนจื่อ)

    1

    บนขบวนรถไฟขากลับจากปักกิ่งหลังตรุษจีนในปี 2010 ฉันเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งขมวดคิ้วแน่น สองตาของเขาที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่นหนาประมาณพันองศา กะพริบตาถี่ ๆ ขณะที่นิ้วมือทั้งสองข้างพิมพ์ลงบนแป้นคีย์บอร์ดของแล็ปท็อปอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารรอบข้างบางคนยื่นคอมองจอของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งอื่นต่อ

    สองชั่วโมงผ่านไป ดูเหมือนแบตเตอรี่ของเขาจะหมด เขาพับคอมพิวเตอร์ลง ลุกขึ้นเดินไปที่จุดเชื่อมระหว่างตู้รถไฟเพื่อสูบบุหรี่ พอกลับมาก็นั่งลง เปิดกระเป๋าหยิบแล็ปท็อปอีกเครื่องออกมา แล้วเริ่มพิมพ์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับนักพรตผู้เคร่งครัดที่นั่งสมาธิท่ามกลางความวุ่นวายของเมือง

    ผ่านไปอีกสองชั่วโมง ในที่สุดเขาก็พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า “ในที่สุดก็เขียนจบไปอีกตอน”

    “กำลังเขียนนิยายอยู่เหรอ?” ฉันถามพลางวางหนังสือที่กำลังอ่านลง

    “ใช่สิ ช่วงตรุษจีนฉันหยุดอัปเดตไปสามวันแล้ว ถ้าไม่รีบเขียนต่อตอนนี้ไม่ได้แน่ ๆ” เขาสอดประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วเริ่มบริหารนิ้วคลายเมื่อย

    “ถ้าไม่เขียนจะเป็นยังไง?” ฉันถามอย่างสนใจ เพราะอาชีพ ‘นักเขียนออนไลน์’ นั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่คุ้นเคยนัก

    “ก็คงไม่มีอะไร… นายไม่อ่านนิยายออนไลน์ใช่ไหม?” เขามองหนังสือที่ฉันถืออยู่ “สดับลมขับขาน (Hear the Wind Sing) ผลงานเล่มแรกของฮารูกิ มูราคามิ ฉันชอบมันมาก ในนั้นพูดถึงนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ ฮาร์ทฟิลด์ ฉันอ่านแล้วคิดว่ามีตัวตนจริง ๆ จนต้องไปค้นประวัติในอินเทอร์เน็ต แต่สุดท้ายก็พบว่าเขาเป็นแค่ตัวละครที่มูราคามิแต่งขึ้น”

    “ฉันเองก็เพิ่งอ่านถึงตรงนั้นพอดี ตอนแรกฉันก็คิดว่าเป็นคนจริง ๆ เหมือนกัน จนตั้งใจจะไปค้นข้อมูล” ฉันรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย ตั้งใจจะเปิดหนังสือแล้วชี้ให้เขาดูจุดที่ฉันทำเครื่องหมายไว้ แต่คิดไปคิดมาอาจจะดูจงใจเกินไป ฉันจึงเปลี่ยนคำถามแทน “แล้วนายเขียนแนวไหน?”

    “แฟนตาซีบำเพ็ญตน” เขายิ้ม “ฉันก็เคยอยากเขียนอะไรแบบ ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย (Norwegian Wood) อยู่เหมือนกัน แต่หนึ่ง ฉันไม่มีฝีมือขนาดนั้น สอง มันเขียนยากมาก งานที่ฉันเขียนตอนนี้ แม้มันจะเหนื่อย แต่ก็ไม่ได้ใช้สมองมากเท่าไหร่ แค่ตั้งโครงเรื่องกับตัวละครให้เรียบร้อย ที่เหลือเรื่องราวมันก็จัดเรียงเข้ากันเอง บางทีก็อยากใส่อารมณ์ลึกซึ้งลงไปบ้าง แต่พอทำทีไร โดนแฟน ๆ ในบอร์ดด่าว่าแค่ใส่ข้อความน้ำเยอะไปอ่านไม่รู้เรื่อง ทุกครั้งที่มีธุระจำเป็นต้องหยุดอัปเดต ก็โดนแฟน ๆ เรียกร้องให้เขียนต่อจนอยากกระโดดตึกเลยให้ตายสิ เฮ้อ… ปวดหัวชะมัด”

    เขาพูดเร็วมากจนฉันต้องหยุดประมวลผลเป็นพัก ๆ เพื่อเรียบเรียงว่าเขาพูดอะไรไปบ้าง แต่ก็ช่วยให้การเดินทางในช่วงเทศกาลอันแสนวุ่นวายไม่น่าเบื่อเกินไป

    ตอนที่เราเดินออกจากสถานีรถไฟปักกิ่งตะวันตก เราแลกเบอร์โทรศัพท์กัน เขาบอกชื่อของตัวเองหลายรอบ แต่ฉันก็ยังฟังไม่ชัดเจน เสียงอึกทึกของฝูงชนที่แย่งกันเดินออกไปสัมผัสเมืองหลวงทำให้ฉันรำคาญใจ ฉันจึงบันทึกชื่อเขาลงในโทรศัพท์ด้วยคำว่า “นักเขียนนิยายออนไลน์” แทน

    Sponsored Ads

    2

    ตอนนั้นฉันทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่บริษัทขายส่งหนังสือ ทำงานวันละสี่ชั่วโมง งานแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือเช็คของตามใบส่งสินค้า หนังสือมาเกินหนึ่งเล่ม ก็บันทึก +1 ถ้าขาดไป ก็บันทึก -1 ถ้ายังไม่มีก็ใส่ +0 อีกส่วนคืองานแพ็คหนังสือใส่กล่องส่งให้ร้านค้า งานนี้ “ใช้แรงแต่ไม่ต้องใช้สมอง” โดยเฉพาะเวลาจัดหนังสือเข้ากล่อง ฉันมักจะปล่อยจินตนาการให้ล่องลอยไปตามชื่อหนังสือ ไอ้ค่อมแห่งโนเตรอดาม (The Hunchback of Notre-Dame) ทำให้ฉันจินตนาการว่าตัวเองซ่อนตัวอยู่บนหอระฆังมองลงไปที่แม่น้ำแซน หิมะบนยอดเขาคีลีมานจาโร (The Snows of Kilimanjaro) ทำให้ฉันสงสัยว่าการเห็นหิมะในแอฟริกาจะเป็นยังไง ส่วน การเดินทางอันเลวร้ายที่สุดในโลก (The Worst Journey in the World) ฉันก็อยากรู้ว่ามันจะแย่ขนาดไหนนะ? ถึงแม้ว่ามือเท้าจะแข็งเพราะความหนาว และต้องดูดฝุ่นในโกดังเหมือนเครื่องดูดฝุ่น แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อเลย

    วันหนึ่งหลังเลิกงาน จู่ ๆ “นักเขียนนิยายออนไลน์” ก็โทรมาหา พอเห็นชื่อนี้บนหน้าจอโทรศัพท์ฉันก็อดหัวเราะไม่ได้ พอรับสายก็หลุดขำออกมาอีก

    “ขำอะไรขนาดนั้น?”
    “ไม่มีอะไรหรอก”
    “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
    “ก็เหมือนเดิม ยังหางานประจำไม่ได้”
    “งั้นเหรอ… ว่างออกมากินข้าวกันหน่อยไหม?”

    ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของฉันนัก เราเลยนัดเจอกันที่ร้านอาหารใกล้ ๆ

    “จริง ๆ แค่อยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต นายก็เขียนนิยายได้แล้วนี่ ทำไมต้องมาถึงปักกิ่งด้วย?” ฉันจำไม่ได้ว่าเคยถามคำถามนี้กับเขาบนรถไฟแล้วหรือยัง

    “ฉันก็ไม่อยากมาหรอก ค่าครองชีพที่นี่สูงจะตาย… แต่แฟนฉันอยู่ปักกิ่งน่ะ” ดูเหมือนฉันยังไม่เคยถามจริง ๆ

    “โอ้โห รวยไม่เบานะ มีแฟนอยู่ในเมืองหลวงซะด้วย แล้วเธอทำอะไรอยู่?”

    “เอ่อ… ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง… ศิลปะจัดวาง แล้วก็ทำพวกศิลปะแสดงสดด้วย”

    “ทำไมต้องอายล่ะ ฟังดูเจ๋งดีออก”

    หลังจากดื่มไปหลายแก้ว ในที่สุดเขาก็เปิดเผยความในใจ เขาบอกว่าเขามีรายได้เดือนละสองหมื่นหยวนจากการที่แฟนคลับให้ทิป (หาได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ!?) แต่เงินเกินครึ่ง หรือบางเดือนก็หมดไปกับ “งานศิลปะ” ของแฟนเขา สุดท้ายกลายเป็นว่าตัวเองแทบจะไม่มีเงินเหลือเลย

    “ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้น?”

    “ต้องซื้ออุปกรณ์ แถมยังต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมงานแสดงใหญ่เล็กต่าง ๆ แล้วก็ต้องจ้างนักวิจารณ์มาเขียนบทความเกี่ยวกับงานของเธอ…”

    “แล้วงานศิลปะพวกนั้นไม่มีรายได้บ้างเลยเหรอ?”

    “อย่างน้อยก็ยังไม่มีตอนนี้”

    พอเมาได้ที่ เราก็พูดให้กำลังใจกันไปมา แล้วแยกย้ายกันกลับ ฉันยืนรอรถเมล์อยู่ฝั่งนี้ ส่วนเขาเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินฝั่งตรงข้าม พอเห็นว่าเขาเดินไปถึงอีกฝั่งแล้ว จู่ ๆ เขาก็รีบวิ่งกลับมาหาฉัน

    “ช่วงนี้ฉันเงินตึงมือหน่อย แล้วก็อยากออกไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศ—ใช่แล้ว! ฉันอยากหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ถ้านายรู้ว่ามีงานพาร์ทไทม์ดี ๆ ที่ไหน บอกฉันด้วยนะ…”

    คนที่มีรายได้เดือนละสองหมื่นหยวนกลับมาขอให้คนที่ได้เงินไม่ถึงสามพันช่วยหางานให้ ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม? แต่ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ ฉันกลับตอบตกลงไปซะอย่างนั้น…

    Sponsored Ads

    3

    พอดีว่าคลังสินค้ากำลังขาดคน ฉันเลยแนะนำเขาให้หัวหน้าทีมรู้จัก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน

    เขาชอบหนังสือมาก ทุกครั้งที่เห็นเล่มที่ถูกใจ ก็มักจะอดใจไม่ไหวต้องเปิดดูสารบัญ อ่านคำนำ หรือปกหลัง บางครั้งถ้าเจอข้อความโฆษณาหน้าปกที่น่าสนใจ เขาก็จะอ่านออกเสียงดัง ๆ

    ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน (The Alchemist) หนังสือเล่มเดียวในโลกที่มีการแปลมากกว่าพระคัมภีร์ เคยเห็นโฆษณานี้บนปก เจ้าชายน้อย (The Little Prince) กับ เล่าจื๊อ มาแล้ว”
    “อันนี้สิสุดยอด ชีวิตพลิกผันของเคานต์มองเต กรีสโต (The Count of Monte Cristo) —เวอร์ชันฝรั่งเศสของ แผนลับแหกคุกนรก (Prison Break) แถมเป็นหนังสือลดความเครียดของหลิวเซียงด้วย ฮ่า ๆ ๆ”
    “นี่อีกเล่ม บทเรียนภาษาเยอรมัน—เป็นหนังสือที่หยูหัวยืมไปแล้วยังไม่ยอมคืน! แถมเป็นหนังสือคลาสสิกที่ S.H.E พกติดตัวไปไหนมาไหนตลอด”

    หัวหน้าทีมเห็นเข้า แน่นอนว่าไม่พอใจ เขาถูกตำหนิไปหลายครั้งจนต้องลดเสียงลง แต่ก็ยังแอบยื่นหนังสือให้ฉันดูอยู่ดี “ดูนี่เร็ว!”

    วันหนึ่งเขาบอกกับฉันว่า “พรุ่งนี้ฉันไม่มานะ มีธุระ” พร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนตาหายไป

    “ดูจากหน้าแล้ว น่าจะเป็นเรื่องดี?”

    “ก็ประมาณนั้น” เขาเริ่มบิดนิ้วทำท่าบริหารมือแบบที่ชอบทำ “พรุ่งนี้แฟนฉันมีงานแสดงที่ 798 Art Gallery ฉันต้องไปดู”

    “ฉันไปดูได้ไหม?” ฉันอยากเห็นงานศิลปะจัดวางของเธอ—แต่จริง ๆ แล้ว ฉันอยากเห็นเธอมากกว่า

    Sponsored Ads

    4

    ฉันเดินวนเวียนอยู่ในเขต 798 Art Gallery ถามคนไปทั่ว กว่าจะหาห้องแสดงงานของเธอเจอ แล้วฉันก็เห็นเขาอยู่ที่มุมห้อง กำลังเป่าลูกโป่งสีชมพู

    “นี่ทำอะไรอยู่?”

    “อ๋อ ธีมของงานนี้ชื่อว่า ‘ช้างในห้อง’ เป็นการสำรวจวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์ และความเป็นไปได้ของห้องในฐานะพื้นที่ทางศิลปะ” เขาถือลูกโป่งไว้ข้างหนึ่งและชี้ไปที่โครงไม้ที่ประกอบกันเป็นบ้านหลังหนึ่ง “นี่คือผลงานของแฟนฉัน ห้องที่เต็มไปด้วยลูกโป่ง เป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่และการครอบงำของที่อยู่อาศัยที่มีต่อมนุษย์…”

    “พอเถอะ! ขอฉันสัมผัสงานด้วยตัวเองเถอะ” ฉันหัวเราะ “ว่าแต่ แฟนนายอยู่ไหน?”

    “เฮ้! ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น รีบมาดูจอที มีปัญหาแล้ว”

    ก่อนที่เขาจะตอบ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมา เธอตัวสูงและดูสง่างาม น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนกำลังสั่งลูกน้อง เธอยืนอยู่ข้าง “ห้องลูกโป่ง” หน้าห้องมีจอแสดงผลสี่จอ กำลังเล่นวิดีโอจากมุมมองที่ต่างกัน ในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเปลือยกาย นอนคว่ำหน้า และค่อย ๆ เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในกองลูกโป่ง ป้ายคำอธิบายระบุว่าจอเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของงานศิลปะชิ้นนี้

    ระหว่างที่เขากำลังซ่อมจอ ฉันเดินไปดูงานชิ้นอื่น ๆ ในแกลเลอรี หน้าห้องหนึ่งก็มีจอตั้งอยู่เหมือนกัน ฉายภาพชายคนหนึ่งกำลังใช้จอบขุดพื้นบ้านของตัวเอง คำอธิบายบอกว่านี่เป็นการตั้งคำถามต่อความจริงทางประวัติศาสตร์ อีกห้องหนึ่งมีนาฬิกาตั้งอยู่ แต่เข็มเดินช้ากว่าปกติหนึ่งชั่วโมง ศิลปินต้องการสื่อถึงภาพลวงตาของเวลาที่เกิดขึ้นจากพื้นที่ ส่วนห้องสุดท้ายไม่มีอะไรเลยนอกจากป้ายที่เขียนว่า ‘ใครก็ตามที่ยังไม่มีบ้าน ตอนนี้ก็ไม่ต้องสร้างแล้ว’ งานชิ้นนี้ต้องการตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวคิดของ ‘บ้าน’ และกระตุ้นให้มนุษย์กลับคืนสู่ธรรมชาติ

    ฉันหันกลับไปมอง “นักเขียนนิยายออนไลน์” เขายืนอยู่ห่างจากแฟนของเขาสองเมตร ฟังเธอคุยกับกลุ่มศิลปินคนอื่น ๆ อย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้คิดจะแนะนำเขาให้พวกนั้นรู้จัก และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะแนะนำฉันให้เธอรู้จัก ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมายอะไรในที่นี้ จึงเดินออกมาเงียบ ๆ

    ท้องฉันร้องโครกคราก เพราะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ฉันเลยออกไปหาบะหมี่กิน หลังจากนั้นก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ เลยโทรบอกหัวหน้าทีมว่าไม่ขอลางานแล้ว เดี๋ยวบ่ายจะเข้าไปทำงานตามปกติ…

    Sponsored Ads

    5

    “นายคิดว่าเป็นยังไงบ้าง?”

    วันถัดมา เราเจอกันที่คลังสินค้า เขาถามฉันด้วยสีหน้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

    “ค่อนข้างลึกซึ้งไปหน่อย ฉันดูไม่ค่อยเข้าใจ” ฉันนึกว่าอย่างน้อยเขาจะถามฉันก่อนว่าฉันออกจากงานแสดงไปตอนไหน

    “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนิทรรศการ ฉันถามว่านายคิดว่าแฟนฉันเป็นยังไง?”

    “พูดตรง ๆ เลยนะ?”

    “ตรง ๆ เลย”

    “รูปร่างก็ดี หน้าตาก็… ธรรมดานะ”

    “แต่นายไม่คิดว่าเธอมีเสน่ห์เหรอ?”

    “อืม… เสน่ห์ก็มีแหละ”

    เขาพยักหน้าอย่างพอใจ ราวกับเด็กนักเรียนที่เพิ่งได้รับคำชมจากครูประจำชั้น

    “แต่นายจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจริงเหรอ? ฉันหมายถึง… เธอเอาเงินของนายไปใช้หมดเลยนะ”

    “เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง เธอกำลังวางแผนจะเข้าร่วมนิทรรศการศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ (Venice Biennale) ปีนี้ ถ้าไปได้ล่ะก็ บางทีเธออาจจะโด่งดังขึ้นมาเลยก็ได้”

    “แต่ต้องใช้เงินเยอะเลยไม่ใช่เหรอ?”

    “เรากำลังเก็บเงินกันอยู่”

    ฉันมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเขา แล้วก็อดใจไม่พูดอะไรต่อไม่ได้ จริง ๆ แล้ว ฉันก็ไม่เข้าใจศิลปะจัดวางสักเท่าไหร่ บางทีอาชีพนี้อาจจะมีอนาคตกว่างานที่ฉันทำอยู่ก็ได้… ฉันคิดแบบนั้น

    Sponsored Ads

    6

    หัวหน้าทีมเพิ่งได้ลูกชาย อีกทั้งยังโชคดีถูกล็อตโต้ทะเบียนรถ จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เลยพาพวกเราไปเลี้ยงข้าว แถมยังนัดกันไปร้องเพลงที่ KTV ต่ออีกด้วย ปกติแล้วทุกคนดูเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดจา แต่พอถึงเวลาไมโครโฟนอยู่ในมือ แต่ละคนก็กลายเป็นนักร้องเสียงทอง ตะโกนร้องเพลงกันเต็มที่ มีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งเงียบ ๆ มุมโซฟา จิบเบียร์ขวดแล้วขวดเล่า

    “ไม่ร้องสักเพลงเหรอ?”

    “ฉันเสียงเพี้ยนหมด เลยไม่อยากขายหน้า”

    “ดูท่าทางมีเรื่องในใจนะ”

    “ก็มีเรื่องนิดหน่อย”

    “เรื่องอะไร?”

    “เฮ้อ… ไม่มีอะไรหรอก” เขาเปิดเบียร์อีกขวด เสียง ป๊อก ดังขึ้นเหมือนเสียงถอนหายใจหนัก ๆ

    พอร้องเพลงเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว รถเมล์เที่ยวสุดท้ายหมดไปแล้ว ฉันไม่อยากเสียเงินค่ารถแท็กซี่ ก็เลยพยายามส่งสัญญาณให้เขาเข้าใจว่าอยากไปนอนที่ห้องของเขาคืนนี้

    “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้นายไปนอนที่ห้องฉันก็ได้นะ” ในที่สุดเขาก็เข้าใจ

    “จะดีเหรอ? แฟนนายไม่อยู่ใช่ไหม?” ฉันไม่อยากให้ดูเหมือนฉันหน้าด้านเกินไป เลยรีบพูดเสริม “แต่ว่าฉันนอนบนโซฟาก็ได้นะ”

    “เราไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก… แต่ฉันว่าห้องฉันรกไปหน่อย แล้วก็ไม่มีโซฟาด้วย” เขาพูดเสียงอ้อมแอ้ม

    “ไม่เป็นไรหรอก… ว่าแต่ว่า แล้วแฟนนายล่ะ เธอไปนอนที่ไหน?”

    “เธอมีเตียงอยู่ที่สตูดิโอของเธอ”

    ถึงแม้ว่าฉันจะพอเดาได้อยู่แล้วว่าสภาพห้องของเขาไม่น่าจะดีเท่าไหร่ แต่เมื่อไปถึงของจริง มันก็ยังเหนือความคาดหมายไปมาก

    เขาอาศัยอยู่ในห้องแคบ ๆ ขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตร อากาศชื้นเสียจนรู้สึกได้ว่าถ้าบีบกำแพง ก็คงมีน้ำหยดออกมา หลอดไฟนีออนบนเพดานกะพริบติด ๆ ดับ ๆ เหมือนจะขาดอยู่ตลอดเวลา

    เขามีโต๊ะสองตัว คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสองเครื่อง บนโต๊ะตัวหนึ่งวางโน้ตบุ๊กที่จอแตกเป็นสามส่วน ขอบรอยแตกเผยให้เห็นของเหลวสีรุ้งไหลซึมออกมา

    “จอนี้พังตอนย้ายบ้าน” เขาอธิบาย “ฉันใช้มันเขียนนิยายลงเว็บ อีกเครื่องฉันเอาไว้เขียนเรื่องที่อยากเขียนจริง ๆ”

    “เรื่องแบบไหน?”

    “ก็แค่…” เขาดูอาย ๆ “นิยายที่จริงจังกว่านี้หน่อย”

    Sponsored Ads

    7

    หลังจากนั้น ฉันก็ได้งานใหม่ เป็นงานเขียนคอนเทนต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้เงินเดือนจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็มีสวัสดิการและความมั่นคงมากขึ้น เขาเองก็ลาออกจากงานพาร์ทไทม์ แล้วหันมาเขียนนิยายเต็มเวลา เพื่อเก็บเงินให้แฟนไปเวนิส เขาจึงเพิ่มนิยายอีกสองเรื่อง ซึ่งหมายความว่าเขาต้องอัปเดตอย่างน้อยวันละ 30,000 คำ

    ไม่นานนัก เขาโทรมาบอกฉันว่าเขาเลิกกับแฟนแล้ว สำหรับฉัน เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเลย แต่สำหรับเขา มันคือฟ้าถล่มดินทลาย

    เขานัดฉันออกไปดื่ม แต่ตอนนั้นฉันอยู่ในช่วงที่งานกำลังไปได้ดี ฉันต้องเขียนแผนงานหลายชิ้นต่อวัน แถมวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักจะต้องทำโอที ฉันจึงผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ จนสุดท้าย เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงสิ้นปี

    ก่อนวันหยุดตรุษจีน เขาส่งข้อความมาบอกว่าเขาออกจากปักกิ่งแล้ว กลับไปอู่ฮั่น และบอกว่าจะส่งเบอร์ใหม่มาให้ แต่สุดท้าย เขาก็ไม่เคยส่งมา และเราก็ขาดการติดต่อกันไปโดยปริยาย

    ฉันมักจะย้อนคิดถึงคืนนั้น ภาพที่ฉันยืนรอรถเมล์ มองเขาค่อย ๆ เดินค้อมหลังลงบันไดไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน

    ภาพนั้นทำให้ฉันนึกถึงนิยาย The Wells of Mars ของฮาร์ทฟิลด์ ว่ากันว่า บนดาวอังคารมีหลุมลึกกระจายอยู่มากมาย เป็นสิ่งที่ชาวอังคารเมื่อหลายหมื่นปีก่อนขุดทิ้งไว้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำไปเพื่ออะไร

    พระเอกของเรื่อง—ชายหนุ่มที่เดินทางอย่างโดดเดี่ยวในจักรวาล—สุดท้ายก็เหนื่อยหน่ายกับความเวิ้งว้างอันไร้ขอบเขตของอวกาศ และเลือกที่จะปีนลงไปในหลุมลึก เพื่อรอให้ตัวเองค่อย ๆ หายไปอย่างเงียบงัน…

    Sponsored Ads

    Cite: 一个青年网络作家的肖像 (wufazhuce.com) Photo: 一个青年艺术家的画像 (sobooks.cc)

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note