You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    ฉันไม่เคยตั้งใจจะกลายเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง: แต่งเพลงในตอนกลางวัน เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อในตอนกลางคืน และเป็นลูกหนี้ทุกวินาทีที่ลืมตา

    Sponsored Ads

    แต่ชีวิตนี่แหละ—มันชอบเล่นตลกแปลก ๆ เสมอ

    เวลา 02:37 น. ของคืนเดือนกรกฎาคมที่อบอ้าว ฉันยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ของร้าน 7-Twelve มองดูไฟนีออนที่กะพริบอยู่อย่างเหนื่อยล้า เหมือนพยายามส่งข้อความด้วยรหัสมอร์สแห่งความสิ้นหวังเข้ามาในสมองฉันโดยตรง

    ผ้ากันเปื้อนของฉันรู้สึกหนักกว่าทุกวัน—อาจเพราะน้ำหนักของความฝันที่ยังไม่เป็นจริง และโลโก้บริษัทที่ติดอยู่ตรงอก

    หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ใส่ชุดนอนตัวโคร่งลายกระต่ายถือร่ม เธอเดินไปที่ชั้นขนมด้วยท่าทางเหมือนซอมบี้ แล้วเลือกเอามันฝรั่งทอดมาหนึ่งถุงด้วยความแน่วแน่แบบไร้วิญญาณ

    เสียงดีเจจากวิทยุเหนือหัวประกาศอย่างร่าเริง “และตอนนี้ กับอีกหนึ่งเพลงฮิตที่กำลังเขย่ากรุงเทพฯ — ‘กอดฉันไว้’ โดยธีรัตน์ มณีสุข!”

    ฉันสะดุ้งเล็กน้อย มันยังเจ็บอยู่…เวลาที่ได้ยินเพลงของตัวเอง แต่ร้องโดยคนอื่น แม้ว่าฉันจะเป็นคนตัดสินใจขายมันไปเอง แต่การรู้ว่าตัวเองแทบจะยกของล้ำค่าให้คนอื่นฟรี ๆ นั้น รู้สึกเหมือนรอยฟกช้ำที่ไม่มีวันหาย

    “ฉันยังมีเพลงที่ดีกว่านี้อีกนะ” ฉันพึมพำเบา ๆ พูดกับตัวเองซะมากกว่า

    อาร์ม เพื่อนร่วมงานจอมเผือกของฉัน ที่ชอบโผล่มาเวลาฉันพูดอะไรลอย ๆ ได้ยินเข้าแล้วก็หันมามองแบบระแวง “จริงดิ? อีกแล้วเหรอ เพลงอกหักเหงา ๆ น่ะ?”

    “ร้อยเปอร์เซ็นต์” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพลงเศร้า ขายได้เสมอ”

    เขาหัวเราะในลำคอ “งั้นก็แล้วแต่ละกัน”

    ลูกค้าที่ใส่ชุดนอนวางถุงขนมลงบนเคาน์เตอร์ จ้องฉันตาเขม็ง “อันนี้…ลดราคามั้ย?”

    ฉันยิ้มแบบพนักงานบริการ “ความสุขไม่เคยลดราคา แต่ขนมคุณลดครึ่งหนึ่งครับ”

    เธอมองฉันอย่างไม่ไว้ใจ จ่ายเงิน แล้วเดินออกจากร้านไปเงียบ ๆ

    อาร์มส่ายหัว “ไม่แปลกใจเลยที่นายแต่งแต่เพลงเศร้า”

    Sponsored Ads

    ———————

    การเป็นคนถูกกฎหมาย (หรือวิธีลงทะเบียนเป็นนักแต่งเพลง ‘จริงจริง’ ในประเทศไทย)

    เช้าวันถัดมา ภายใต้ฤทธิ์กาแฟและความรับผิดชอบแบบงง ๆ ฉันมุ่งหน้าไปยังกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป้าหมายคือการจดลิขสิทธิ์เพลง “คนไม่มีสิทธิ์” ที่ฉันแต่งให้พี่ต้นและวงของเขา

    ค่าจดลิขสิทธิ์ 500 บาท—เท่ากับมาม่าสองสัปดาห์ หรือมื้ออาหารระดับหรูสำหรับทูน่าของท่านผู้สูงศักดิ์ “ลาเต้”

    ฉันยื่นเงินไปทั้งที่ใจแอบสะดุ้ง ตอนเห็นแบงค์หล่นหายเข้าไปในหลุมดำของระบบราชการ เจ้าหน้าที่สาวหลังกระจกมองฉันเหมือนเธอเพิ่งดูดวิญญาณออกจากกระเป๋าตังค์ฉันไปหมาด ๆ

    “ชื่อ?” เธอถามเสียงเรียบ

    “ธนากร สิริพงษ์ชัย”

    “อาชีพ?”

    “พนักงานร้านสะดวกซื้อ” ฉันตอบ แล้วหยุดนิดหนึ่งเพื่อสร้างดราม่า “และโปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลง”

    เธอเลิกคิ้ว “โปรดิวเซอร์?”

    ฉันยิ้มแหย ๆ “ฟังดูเท่กว่ารายได้จริงนิดนึง”

    เธอไหล่ตก ประทับตราบนเอกสารด้วยพลังแห่งระบบ แล้วส่งใบรับรองมาให้ฉัน

    “ขอแสดงความยินดี คุณลงทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ”

    ฉันมองกระดาษแผ่นนั้นในมือ มันคมชัด เรียบหรู…และให้ความรู้สึกว่างเปล่าอย่างประหลาด

    Sponsored Ads

    ———————

    แกะเพลงออกเป็นส่วน ๆ (หรือ กายวิภาคของเพลงอกหัก)

    กลับมาที่ห้องเช่าเล็ก ๆ ของฉัน ฉันเปิดสมุดโน้ตบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยข้าวของ แล้วค่อย ๆ ลงมือรื้อเพลง “คนไม่มีสิทธิ์” ออกเป็นองค์ประกอบหลัก ๆ โครงสร้างมีความสำคัญ มันเปลี่ยนความวุ่นวายของเสียงดนตรีให้กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้

    อินโทร: กีตาร์อาร์เปจิโอเบา ๆ พร้อมเสียงเครื่องสายเศร้าในพื้นหลัง (เน้นคำว่า “เบา” และ “เศร้า” — เสาหลักของเพลงอกหักที่ดี)

    ท่อนแรก: วางธีมของเพลง — อยู่อย่างคนไม่มีสิทธิ์ ก็ผิดตั้งแต่วันที่เราเกิด ยอมรับความเจ็บปวด ยอมจำนนอย่างเงียบงัน

    ท่อนสอง: สะสมอารมณ์ — อยู่อย่างดินต้องเจียมตน จะอดจะทนเพราะเข้าใจ ยอมรับโชคชะตาเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

    ท่อนสาม: การยอมแพ้แบบปวดร้าว — เมื่อเธอไม่รักก็ช่างเถิด มันถูกอยู่แล้วที่เธอไป เสียงหัวใจแตกสลายผ่านเสียงเพลง

    ท่อนสี่: เน้นย้ำถึงถึงสถานะที่ต่ำต้อย — คนอย่างเราต้องยอมอดทน ได้เกิดเป็นคนก็บุญนักหนา…

    ท่อนห้า: แสดงอารมณ์ที่เจ็บปวดที่ฝังอยู่ในจิตใจ — คนจะไปก็คือต้องไป ดีแค่ไหนที่เธอเคยมอง

    ท่อนบรรเลง: โซโลกีตาร์ที่สื่อถึงความลึกล้ำทางอารมณ์ของเพลง

    เอาท์โทร: คนอย่างเรา ไม่มีอะไร ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ได้เพียงแค่มอง ทวนคำเดิมอีกครั้ง ย้ำการยอมรับ แล้วจางหายไปอย่างนุ่มนวล

    ลาเต้มองฉันทำงานจากตำแหน่งประจำของเขาข้างสมุดโน้ต บางทีก็ใช้เท้าตีปากกา เหมือนจะคัดค้านโครงสร้างของฉัน

    “นายมีไอเดียที่ดีกว่านี้เหรอ?” ฉันถามเขาแบบประชด

    เขากระพริบตาช้า ๆ ก่อนจะตีปากกาฉันตกจากโต๊ะด้วยความแม่นยำแบบจงใจ

    “ไม่ช่วยเลย” ฉันพึมพำ ขณะก้มเก็บปากกาจากพื้น “แต่ก็ขอบใจนะสำหรับความคิดเห็น”

    ระหว่างที่ฉันกำลังวางแผนอย่างจริงจัง ลาเต้กระโดดขึ้นมานอนพาดบนสมุดโน้ต แล้วเริ่มส่งเสียงครางพึงพอใจดังลั่น มันแทบจะขยับเขาไม่ได้เลย—น้ำหนักและความดื้อรั้นของเขาเป็นสิ่งที่หยุดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ของฉันได้ทันที

    “ลาเต้…” ฉันถอนหายใจ พยายามขยับร่างปุกปุยของเขาออกเบา ๆ “ฉันก็ซาบซึ้งนะที่นายให้กำลังใจ แต่ตอนนี้นายกำลังนอนทับเพลงฉันอยู่เลยนะ”

    เขายืดตัวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะใช้เท้าตะกุยสมุดโน้ตฉันตกพื้นอย่างไม่แยแส

    “นี่นายกำลังบ่อนทำลายอยู่ใช่ไหม?” ฉันเลิกคิ้วถาม

    ลาเต้แค่ครางเสียงดังกว่าเดิม

    ฉันถอนหายใจ เก็บสมุดโน้ตขึ้นมา “เอาเถอะ บางทีฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้”

    Sponsored Ads

    ———————

    ความมั่นใจแบบเงียบ ๆ ของฉัน (หรือ เพลงที่ดีกว่านี้…กำลังจะมา)

    ค่ำวันนั้น ขณะที่ฉันเตรียมตัวไปเข้าเวรกะดึกอีกครั้ง วิทยุก็เปิดเพลงเวอร์ชั่นเร็กเก้ ป๊อปของ “กอดฉันไว้” ที่ขับร้องโดยธีรัตน์ มณีสุข

    ฉันปิดวิทยุทันที พึมพำเบา ๆ อีกรอบว่า “เพลงที่ดีกว่านี้…กำลังจะมา”

    อาร์มที่เพิ่งเข้างานมายามค่ำ มองฉันแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน “พูดกับตัวเองอีกแล้วเหรอกรณ์?”

    “เรียกว่าการพูดปลุกใจตัวเองต่างหาก” ฉันตอบเสียงแข็ง

    เขาเลิกคิ้ว “แม่ฉันก็พูดแบบนั้นตอนตะโกนใส่สัญญาณไฟจราจร”

    “ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ฉันพยักหน้าอย่างจริงจัง “วงการเพลงกับไฟแดง—ไร้เหตุผลพอ ๆ กัน”

    เขาหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหัว “ขอให้โชคดีแล้วกัน”

    เวลา 03:45 น. ที่ร้าน 7-Twelve ฉันกำลังจัดเรียงกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลัง พร้อมกับฮัมเพลง “คนไม่มีสิทธิ์” เบา ๆ ในใจ ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกันกับโอกาสที่กำลังจะได้ผลิตเพลงนี้จริง ๆ ทำนองยังชัดเจนอยู่ในหัว เหมือนเสียงสะท้อนจากชีวิตก่อนหน้า แม้แต่วงของพี่ต้นก็เริ่มเชื่อในเพลงนี้ บางทีฉันก็ควรเชื่อด้วย

    แต่เรื่องจริงก็ยังตามหลอกหลอน: หนี้สิน ค่าลิขสิทธิ์ เครดิต และที่สำคัญที่สุด—เงิน

    ลาเต้… ฉันนึกภาพเขานอนสบายอยู่ที่บ้าน โดยไม่สนเลยว่าฉันกำลังมีวิกฤติชีวิตขนาดไหน ฉันอิจฉาเขาจริง ๆ

    แต่ท่ามกลางกระป๋องกาแฟ มาม่าซอง และลูกค้ายามดึก ฉันก็เข้าใจอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก:

    แม้ว่าฉันจะไม่มีเงิน นอนไม่พอ และต้องทะเลาะกับแมวขี้ประชด ฉันก็กำลังทำในสิ่งที่ฉันรัก อย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียที

    บางที…แค่นี้ก็พอแล้ว—สำหรับตอนนี้

    เมื่อรุ่งเช้าใกล้เข้ามา ฉันนั่งจดบันทึกลงบนเศษใบเสร็จ คิดแผนต่อไปของฉัน: อัดเดโมเพลง “คนไม่มีสิทธิ์” ด้วยอุปกรณ์ lo-fi งบน้อยที่มีอยู่—กีตาร์ไฟฟ้าเต่าหลังโค้งมือสอง (ที่ฉันซื้อมาในช่วงตัดสินใจทางการเงินอันน่าสงสัยก่อนหน้า), ไมโครโฟนราคาถูกแต่ยังใช้ได้ และซอฟต์แวร์ Cakewalk Pro Audio 9 เวอร์ชั่นละเมิดลิขสิทธิ์

    พี่ต้นกับวงของเขาฝากความหวังไว้ที่ฉัน และฉันก็ฝากความหวังไว้ที่ตัวเอง

    และในที่ลึกที่สุดของใจ แม้จะมีเรื่องมากมาย ฉันก็รู้สึกถึงประกายความตื่นเต้นที่แท้จริง

    ตอน 6 โมงเช้าตรง ฉันออกจากร้าน 7-Twelve ปล่อยให้แสงแดดยามเช้าส่องกระทบหน้า ฉันมีเวลาอีกสี่ชั่วโมงก่อนจะเริ่มเซสชันสร้างสรรค์รอบถัดไป

    ฉันยืดเส้นยืดสาย สูดหายใจลึก ชีวิตมันเหนื่อย วุ่นวาย เลอะเทอะ—แต่บางครั้งก็มีความสวยงามซ่อนอยู่

    ฉันเดินกลับบ้านอย่างช้า ๆ ฮัมท่อนคอรัสของเพลง “คนไม่มีสิทธิ์” เบา ๆ ลาเต้ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยท่าทางหิวจัดตามปกติ

    “รู้อะไรมั้ย” ฉันบอกเขาเบา ๆ ระหว่างเทปลาทูน่าเกรดพรีเมียมลงในชาม “บางที…ทุกอย่างอาจจะเริ่มดีขึ้นก็ได้นะ”

    เขาหยุดกินชั่วครู่ เงยหน้าขึ้นมามองฉันแวบนึง ก่อนจะกลับไปกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เอาน่า…แค่นี้ก็ใกล้เคียงคำว่ากำลังใจแล้วล่ะ

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note