You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    ฉันจัดไฟล์ทุกอย่างไว้เรียบร้อยเมื่อคืนก่อน เรียงกันบนหน้าจอ เหมือนบทสนทนาที่รู้ว่าไม่มีวันได้พูดจบ แต่ก็ยังไม่ลบ เพราะเผื่อวันไหนกล้าพอจะเปิดกลับไปดู

    Sponsored Ads

    เช้านี้ ฉันไปที่ K-World PrintNet Café ร้านที่เสียงพัดลมดังกว่าเสียงมนุษย์ และกลิ่นพลาสติกร้อน ๆ จากเครื่องถ่ายเอกสารลอยค้างในอากาศเหมือนความฝันที่ถูกพิมพ์ซ้ำโดยไม่ตั้งใจ

    พนักงานไม่พูดอะไร แค่รับแฟลชไดรฟ์ไป กดสองปุ่ม แล้วพยักหน้าเบา ๆ แบบโลกนี้ไม่มีอะไรต้องอธิบายกันมากกว่านี้ สิบบาทต่อหน้า ฉันพิมพ์สามหน้า — เนื้อเพลง, คอร์ด, และปกหน้า ทั้งหมดในฟอนต์ที่จริงจังเกินจำเป็น รอยเว้นบรรทัดกว้างพอจะให้ความสงสัยเล็ดลอด

    เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันเปิดโฟลเดอร์ แล้วเพิ่มไฟล์ PDF สแกนสัญญา รายละเอียด

    ฿11,000 การซื้อขาดครั้งเดียว
    1.25% ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ — หลังหักค่าใช้จ่ายสุทธิ
    โอนลิขสิทธิ์เต็มรูปแบบ
    ไม่มีการรับประกันชื่อผู้แต่งเพลง

    มันคือเอกสารที่ถูกต้อง สมบูรณ์ และปลอดเสียงเพลงโดยสิ้นเชิง

    ฉันวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ เรียงเหมือนชุดของไหว้บนหิ้งพระ — ที่ไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปแล้ว แต่เราก็ยังจัดให้ เพราะเผื่อบางสิ่งมองอยู่

    ไฟล์เดโมสุดท้าย มิกซ์เอง เสียงเบา เหมือนมันเขิน ใบคอร์ด, เนื้อเพลง, และสัญญา เรียงอย่างเรียบร้อยเกินไป ในโลกหนึ่ง มันคือ “ความพร้อม” ในอีกโลกหนึ่ง มันคือ “การยอมแพ้แบบเป็นระบบ”

    ลาเต้ขดตัวอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับเขารู้เวลานัดหมายของทุกอย่างโดยที่ไม่มีใครบอก เขาวางอุ้งเท้าหนัก ๆ ไว้บนมุมของหน้าเอกสารสุดท้าย ไม่ใช่เล่น ไม่ใช่เตือน แค่วางไว้เหมือนปั๊มตรา

    ฉันแนบไฟล์เข้าอีเมล หัวข้อ: “Final materials: ‘เจ้าหญิงคนต่อไป’” แล้วกดส่ง

    เสียง “วูช” ของอีเมล มันเบา เบาพอที่หนึ่งเดือนของการคิดเขียนจะหายไปพร้อมมัน

    สองนาทีต่อมา ดุจดาวตอบกลับ

    “ได้รับแล้ว เงินจะเข้าภายในสามวัน”

    ไม่มีอีโม ไม่มีเครื่องหมายตกใจ มีแค่ความแน่นอนแบบพนักงานธนาคารที่เก่งการทำลายฝันด้วยวิธีอ่อนโยน

    ฉันมองอีเมลอยู่นานกว่าที่จำเป็น จากนั้น เปิดโฟลเดอร์ แล้วลบไฟล์ต้นฉบับทั้งหมด

    ไม่ใช่เพราะโกรธ แค่มันเหมือนการเคลียร์ตู้เย็น ของบางอย่างมันหมดอายุแล้ว แม้จะยังดูดีอยู่

    พวกเขาไม่ได้ซื้อแค่เพลง พวกเขาซื้อความเงียบที่แถมมากับเพลงนั้น ซื้อสิทธิ์ที่จะไม่พูดถึงชื่อคนที่เขียน

    ฉันมองโฟลเดอร์ที่ว่างเปล่า แล้วหันไปมองลาเต้ เขากระพริบตาหนึ่งที แบบที่ดูเหมือนจะพูดว่า เรียบร้อยแล้ว

    ข้างนอก รถบรรทุกคันหนึ่งกำลังถอยหลัง เสียง “ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ” ดังช้า ๆ สม่ำเสมอ เหมือนโลกกำลังส่งสัญญาณว่า “ขอโทษนะ จะชนหน่อย”

    ลาเต้หาวหนึ่งที ขยับตัวเล็กน้อย ยังวางอุ้งเท้าไว้บนเอกสารเหมือนจะบอกว่า ไม่ต้องห่วง มันไม่ไปไหน แม้ไม่มีอะไรข้างใน ฉันไม่ได้ขยับมัน แค่นั่งอยู่ตรงนั้นกับเขา ในห้องที่เต็มไปด้วยเสียงไฟฟ้าเบา ๆ เสียงของสิ่งที่เราเพิ่งมอบให้โลก โดยไม่หวังจะได้มันกลับมา

    Sponsored Ads

    ———————

    กลับมายืนริมทางเท้า

    กาแฟในมือไม่ถึงกับร้อน แค่อุ่น ๆ แบบหงุดหงิดใจ เหมือนมันเพิ่งโดนเวฟด้วยความลังเล แล้วก็เก็บงอนไว้ในกลิ่น ฉันก็ดื่มมันอยู่ดี เพราะมันคือสิ่งที่มี และเพราะฉันยังภักดีกับการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลของตัวเอง เหมือนเป็นข้ารับใช้ในพิธีกรรมไร้แก่นสาร

    ห้องยังนิ่ง เหมือนรอให้ใครสักคนตีฆ้องเริ่มวัน ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้มองอะไรจริง ๆ มีเพียงแสงที่เลื้อยผ่านตึก เหมือนแมวไม่อยากให้ใครรู้ว่ามา

    ฉันเปิดคอมเก่า เสียงมันเหมือนถอนหายใจแบบคนเพิ่งตื่นแต่ยังไม่อยากเริ่มวัน พัดลมในเคสหมุนช้า ๆ ครางเบา ๆ เหมือนกำลังบ่นเรื่องที่ไม่มีใครฟัง ฮาร์ดไดรฟ์คลิกสองที หยุด เหมือนจะพูดว่า “อย่าลืมฉันนะ” แล้วก็เงียบไป

    ฉันเสียบโมเด็ม บัตรเติมเงินที่อยู่ในลิ้นชักมานานจนฝุ่นเริ่มคิดจะเปิดพรรคการเมืองเสียงโมเด็มกรีดร้องเหมือนเครื่องดนตรีที่ไม่มีใครดูแลแล้ว แต่ยังอยากเล่นอยู่
    แล้วมันก็เชื่อมต่อ เสียง “ติ๊ง” เล็ก ๆ จากอีกยุคหนึ่งดังขึ้น อินเทอร์เน็ตเปิดประตูเหมือนคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองยังมีสิทธิ์เข้ามาไหม

    ฉันเข้าเว็บบอร์ดเก่า ส่วนใหญ่ตายแล้ว กลายเป็นหลุมศพของรีวิวเครื่องสำอางหรือโพสต์จากบอทแปลก ๆ ที่พูดเหมือนคนเคยมีความฝัน แต่ “วารสารเสียงระหว่างซอย” ยังอยู่ เหมือนห้องเช่าที่ไม่มีใครกล้ายกเลิกสัญญา
    ธีมเดือนกุมภาพันธ์คือ “แรงกระเพื่อมของวันธรรมดา”

    มันไม่ใช่ธีมที่น่าตื่นเต้น แต่มันกระทบอะไรบางอย่างในตัวฉัน เพราะฉันรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มจากสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไร  คนเดินคนหนึ่ง เสียงตะโกนหนึ่งคำ ทางม้าลายที่ไม่มีไฟ

    ฉันเปิดไฟล์เปล่า มันขาวจนเกือบฟังเสียงตัวเองไม่ได้ แต่ฉันก็เริ่มพิมพ์

    “คนบนสะพาน สะพานแคบไม่ผิด… ถ้าไม่มีใครยืนขวางด้วยศักดิ์ศรี”

    ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ กระพริบแบบที่ดูเหมือนตัดสิน แต่ไม่ใช่ มันคือแบบว่า แน่ใจเหรอว่านี่เป็นเรื่องนี้… หรือจริง ๆ ยังเป็นเรื่องของตัวเองอยู่?

    ฉันไม่ได้ตอบ ไม่เป็นคำพูด แค่พิมพ์ต่ออีกนิด แล้วเว้นบรรทัดเหมือนกำลังรอให้ตัวละครตัดสินใจเอง

    อาจจะไม่ได้ส่ง อาจจะไม่จบ แต่อย่างน้อย ฉันจะไม่แกล้งลืม

    Sponsored Ads

    ———————

    หน้าต่อไป

    ฉันพิมพ์ย่อหน้าแรกโดยไม่ได้รู้ตัวว่าเริ่มยังไง รู้แค่ว่า…มันเริ่ม

    📖 “ช่างเป็นเช้าที่สดชื่นและสวยงามเหลือเกินในความรู้สึกของแม่ค้ารถเข็นปลาเผา เธอออกจากห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี เข็นรถด้วยแรงที่ไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่จากความจำเป็น เข็นรถเข็นเป็นระยะทางเกือบสิบกิโลฯ แดดเช้าส่องอุ่นแต่ไม่อภัย เธอเดินผ่านสะพานไม้แคบ ๆ ที่รถเข็นผ่านได้เพียงหนึ่งคัน และใจของคนก็เช่นกัน…”

    ลาเต้ขดตัวอยู่ข้างจอ เหมือนสฟิงซ์มีขน ตากะพริบช้า ๆ แบบที่ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เหมือนจะพูดว่า ก็ดีกว่ากลิ้งไปนอนทับสัญญาเพลงอีก

    📖 “…สะพานเก่า สร้างข้ามคลองพาณิชย์ เสียงเรือส่งของยังดังสะท้อนอยู่ใต้รางไม้ มันทั้งสูง ทั้งแคบ และทั้งดื้อ—สะพานที่ไม่ยอมพับให้ใครง่าย ๆ แม่ค้าต้องถอยหลัง ค่อย ๆ ดึงรถเข็นขึ้นทีละจังหวะจนล้อสั่น เธอเริ่มรู้สึกว่าสะพานวันนี้แกว่งแปลก ๆ …

    ตัวหนังสือไม่ได้มาเร็ว ไม่เคยมาเร็ว แต่ก็มาจนได้

    📖 “…เธอรู้สึกแปลกใจนิด ๆ เมื่อรู้สึกว่าสะพานเริ่มแกว่งหนักกว่าครั้งเก่า เธอหันกลับไปอย่างเอะใจแต่แล้วต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นใครอีกคนกำลังขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นมาบนสะพานแคบ ๆ แห่งนี้ด้วย คนทั้งสองประจันหน้ากันกลางสะพาน สะพานไม้สั่นไหวส่งเสียงเอี้ยดอ้าด คนทั้งสองยังไม่เคลื่อนไหว….

    ฉันหยุด ไม่ใช่เพราะติดขัด แต่เพราะย่อหน้านั้นหนักกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เพราะคำศัพท์ ไม่ใช่เพราะไวยากรณ์ แต่น้ำหนักของคำว่า “ไม่ยอมถอย” 

    ฉันเอนหลัง เก้าอี้ส่งเสียงเอี๊ยดแบบที่บ้านผีสิงในหนังฟังแล้วร้องขอชีวิต ลาเต้ยกหางขึ้นทีหนึ่ง พาดผ่านแป้นพิมพ์ แล้วก็ขดตัวเหมือนเดิม อ่านไม่ออก แต่ดูรู้ว่าเขาเข้าใจ

    บางทีเรื่องสั้นก็เป็นเหมือนความจริงที่ต้องใส่วิกปลอม หรือไม่ก็เป็นพื้นที่เดียวที่ฉันจะพูดเรื่องที่ไม่มีใครอยากฟังในวงการเพลงแบบเนื้อเพลงได้

    ฉันไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะกลายเป็น “เรื่อง” จริงไหม แต่มันเกาะติดในหัวแบบที่ “เพลงฮิต” ไม่เคยทำได้ ฉันเลยเขียนต่อ

    เสียงพัดลมในเคสคอมครางเบา ๆ เสียงแป้นพิมพ์ดังแบบที่ไม่เคยถูกร้องขอ และที่สำคัญ ไม่มีใคร “ขอให้ฉันเขียน” และนั่นเอง ที่ทำให้มันสำคัญ

    Sponsored Ads

    ———————

    เมื่อความเงียบดังขึ้นก่อน

    ข้อเสนอนั้นถูกพิมพ์ลงบนกระดาษครีมที่มีกลิ่นคล้ายโต๊ะทำงานของคนแปลกหน้า Studio ToSi (Studio Tokuma Siam) บริษัทลูกของอะไรบางอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า กำลังประสานงานกับผู้จัดจำหน่ายอินดี้ เพื่อเอา Cardcaptor Sakura (ซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์) กลับมาฉายอีกครั้งในไทย

    ไม่ตัด ไม่แปลตรง ๆ พากย์ใหม่ งบเล็ก แต่หัวใจใหญ่

    พวกเขาต้องการเพลงจบใหม่ ภาษาไทย ไม่ใช่เวอร์ชันดัดแปลงจากต้นฉบับ ต้องเป็นต้นฉบับแท้ ๆ อ่อนไหว แต่ไม่อ่อนแอ นุ่มนวล แต่ไม่เบา

    แฟ้มข้อเสนอจากสตูดิโอเต็มไปด้วยถ้อยคำที่เรียนรู้มาอย่างดี การเชื่อมโยงข้ามวัฒนธรรม ความลึกทางอารมณ์ ความจริงใจที่คัดสรร พวกเขายังไม่ได้เลือกนักแต่งเพลง

    แต่พวกเขาเอ่ยชื่อเธอ ชัดเจน ตรงไปตรงมา นีน่าไม่แน่ใจว่านั่นยังมีความหมายอะไรอีกไหมในตอนนี้

    ขอบกระดาษม้วนขึ้นเล็กน้อยใต้แสงโคมไฟ เธอจ้องมันอยู่นาน จ้องเหมือนที่คนเราจ้องใครบางคนที่ยังไม่พร้อมจะให้อภัย มันไม่ใช่ข้อเสนอที่แย่ ไม่แม้แต่จะเรียกว่ายุ่งยาก เธอสามารถตอบตกลง ร้องในสิ่งที่เขาให้ รอยิ้มให้กล้อง แล้วกลับบ้าน แต่มือของเธอกลับเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์

    ดุจดาวรับสายก่อนเสียงกริ่งจะจบครึ่งรอบ แบบที่เธอมักจะทำเสมอ

    “นีน่า?”

    “ฉันอยากร้องอีก” เธอพูด เสียงเงียบจากปลายสายไม่ใช่ความว่างเปล่า มันนุ่ม และฟังได้

    “แต่เพลงสุดท้าย…มันไม่ใช่ของฉัน” เธอกดฝ่ามือแนบขอบโต๊ะ เสี้ยววินาทีที่เธอพูดออกมา มันฟังเหมือนบาดแผลเก่าถูกแตะอีกครั้ง

    ดุจดาวไม่ขัดจังหวะ เธอไม่เคยทำในเวลาที่นีน่าต้องการได้ยินเสียงของตัวเอง

    “ฉันเหนื่อยกับเพลงที่ถูกปั้นมาก่อนแล้ว” เธอพูดช้า ๆ “ฉันอยากเริ่มจากอะไรที่ยังไม่รู้จุดจบของตัวเอง”

    ปลายสายมีเสียงฮัมเบา ๆ เสียงที่ฟังเหมือนการคิด หรือบางที…การยอมรับ

    “ฉันไม่อยากให้คณะกรรมการไหนมาบอกว่าฉันควรฟังดูนุ่มขึ้น” เสียงของเธอเข้มขึ้นเล็กน้อย “หรือรู้สึกขอบคุณมากขึ้น หรือเข้าถึงได้ในเชิงตลาดมากขึ้น ฉันไม่อยากร้องเพื่อแบรนด์อีกแล้ว”

    “แล้วเธอก็ไม่ได้อยากเขียนเอง” ดุจดาวพูดอย่างโอนโยน มันไม่ใช่คำถาม

    “ไม่” นีน่าพิงหลังพิงพนัก มองออกไปนอกหน้าต่าง เมืองยังเคลื่อนไหว แต่เธอไม่วิ่งตามมันอีกต่อไป

    “ฉันอยากได้เพลงที่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงหยุดร้องตั้งแต่แรก”

    และเธอก็รู้ว่าเพลงนั้นควรมาจากใคร ไม่รู้ว่าเขาจะเขียนให้ไหม แต่เธอรู้แน่ว่าถ้าเขาเขียน มันจะรู้สึกยังไง

    “ถ้ากรณ์มีเพลงอยู่…” เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ

    “เพลงที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร…ให้ฉันได้ฟังก่อนคนอื่น”

    Sponsored Ads

    ———————

    การเซฟที่ไม่ใช่จุดจบ

    พัดลมกลายเป็นนาฬิกาอีกเรือนหนึ่ง — ไม่ได้เดินเป็นวินาที แต่เป็นคลื่นลมหายใจที่วนซ้ำอย่างสม่ำเสมอ เคอร์เซอร์กระพริบอยู่ตรงมุมจอ เล็ก เรียบง่าย ดื้อเงียบ เหมือนรู้ว่ายังมีอะไรให้พูดอีก แต่สุภาพเกินกว่าจะทวงในคืนนี้

    ฉันกดบันทึกไฟล์

    สะพาน_01.doc

    การกระทำนั้นมันแปลกดี ไม่ได้รู้สึกเหมือนชัยชนะ ไม่ใช่ตอนจบ แต่มัน…จริง เหมือนปิดประตูห้องที่ยังไม่มีใครเคยเดินเข้า ห้องที่เราล็อกไว้เอง แต่ก็ยังวางกุญแจทิ้งไว้ตรงนั้น เผื่อไว้

    ฉันเอนหลังกับพนักเก้าอี้ กระดูกส่งเสียงกรอบแกรบในจุดที่ไม่ควรมีเสียงอะไรเลย
    เมืองยังอยู่ตรงหน้าต่าง ยังอยู่ และยังไม่เงียบ รถคันหนึ่งวิ่งผ่านเหมือนลมหายใจต่ำ
    มีคนกระแทกประตูเหล็กที่ตึกข้าง ๆ หม้อแปลงเก่าที่หัวมุมส่งเสียงฮึ่มเหมือนพยายามจำวิธีฮัมเพลงของตัวเอง

    เรื่องยังไม่จบ มันแค่หยุด — ด้วยเจตนา

    ลาเต้ยืดตัว ขาหน้าข้างหนึ่งก่อน แล้วอีกข้างตาม ไม่มีท่าทางเวอร์วังอะไร เขาไถลตัวจากกองใบแจ้งหนี้ แล้วเลื่อนตัวมานั่งตรงขอบโต๊ะ หันหน้าเข้าหาฉันตาปรือ ๆ ครึ่งเปิด ครึ่งปิด แต่น้ำเสียงของสายตาเต็มไปด้วยคำพิพากษาเงียบ ๆ

    ฉันเอื้อมมือไปหาปุ่มปิดเครื่อง แต่หยุดไว้ ไม่ใช่เพราะยังมีอะไรต้องทำ แค่รู้สึกว่าแสงจากหน้าจอมันควรจะได้อยู่ต่ออีกนิด เหมือนมันทำงานมาทั้งวัน และขอเพียงได้ส่องแสงเงียบ ๆ อีกสักครู่

    ไฟล์ถูกบันทึกแล้ว แต่คืนนี้ยังไม่จบ และถ้าจะมีเพลงใหม่เกิดขึ้น มันก็คงต้องเริ่มแบบนี้แหละ เบา ๆ ยังไม่สมบูรณ์ แต่ซื่อตรงกับตัวเองอย่างประหลาดใจ

    เค้าโครงเรื่องจาก คนบนสะพาน (2530)
    ไพฑูรย์ ธัญญา

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note