You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    เช้าในสวนไม่ใช่สิ่งที่สร้างมาเพื่อคนเมืองที่มีบาปติดหลังและหมอนรองกระดูกเสื่อม 

    ฟูกบางไป แสงแรงไป แม้แต่จักจั่นยังเงียบ เหมือนมันก็อายแทนฉัน ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแรงดันน้ำทะเลาะกับตัวเอง ระบบน้ำหยดกระตุก ๆ เหมือนเขียนจดหมายเลิกกันด้วยมอร์สโค้ด

    Sponsored Ads

    ลาเต้ไม่ได้อยู่บนหมอน ปรากฏว่าเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ดูแลจิตวิญญาณของบ่อปลาไปแล้ว หางกระดิกเบา ๆ ดวงตาหรี่ลง เหมือนเพิ่งจบสมาธิภาวนาเรื่องความล้มเหลวของฉัน

    แม่อยู่ในครัวแล้ว ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นครึ่งก้าว ไม่ได้ถามอะไร แค่พลิกของในกระทะเหมือนทำแบบนี้กับลูกชายมาทั้งชีวิต

    “กินข้าวยัง”

    มันไม่ใช่คำถามหรอก มันเป็นวินิจฉัยโรค

    ฉันพยักหน้า ซึ่งโกหกเต็มปาก ความทรงจำบางอย่างก็แปลกดี ไม่ใช่เพราะมันเกิดขึ้นชัดเจน แต่เพราะเราจำมันไว้… เหมือนคนที่อยากจะเป็นลูกของบ้านนี้จริง ๆ แม้จะไม่แน่ใจว่าเคยอยู่ครบทุกฤดูร้อน แต่แทนที่จะไปกินข้าว ฉันกลับลากกล่องกระดาษจากกระเป๋าเดินทางไปวางบนโต๊ะไม้หน้าบ้าน ไม่มีพิธี ไม่มีคำพูด มีแค่ของห้าชิ้นเล็ก ๆ ที่หนักกว่าที่คิด

    ชิ้นแรก: สำหรับแม่ 

    กล่องเซรั่ม BrightBloom Tokyo Peony สีชมพูซากุระ

    “แม่ไม่เคยชอบอะไรที่มีกลิ่นดอกไม้…” ฉันพึมพำ “แต่ตอนนี้…อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”

    แม่ไม่ได้พูดอะไร แค่เปิดกล่อง ลูบฝาเบา ๆ เหมือนกลัวมันจะหายไป แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนจดหมายที่ยังไม่พร้อมจะอ่าน

    ชิ้นที่สอง: สำหรับพี่วัฒน์

    เสื้อยืดกราฟิกแนวอุตสาหกรรมลาย “RB51 Power Tools Division”

    “ไม่ฉูดฉาด ไม่เฟค…แค่ใช้งานได้ เหมือนที่เขาเคยเป็น”

    เขารับไปโดยไม่มองหน้า พลิกดูด้านหลัง พยักหน้าเบา ๆ หนึ่งที แล้วเดินกลับไปทางวาล์วน้ำ กลับไปที่ท่อ กลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีบทสนทนา

    ชิ้นที่สาม: สำหรับแป้ง

    ฉันวางไว้หน้าห้องเธอโดยไม่เคาะประตู

    ฟิกเกอร์ Princess Lightwave สมุดโน้ตแฟนตาซี กับปากกากลิ่นบับเบิลกัม

    “เธออาจโตเกินสิ่งเหล่านี้แล้ว…  แต่เธอจะรู้ว่าฉันยังจำได้”

    ฉันแปะโพสต์อิทไว้ด้านบน ไม่มีชื่อ มีแค่ความทรงจำ

    ชิ้นที่สี่: สำหรับพ่อ

    กล่องใส่เครื่องตัดผมไฟฟ้า ที่มีเครื่องบดกาแฟในตัว เพราะมีอยู่สองอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย ทรงผม กับรสนิยมกาแฟของเขา

    พ่อยังไม่ออกจากห้อง หรืออาจจะออกแล้ว แล้วตัดสินใจว่าฉันไม่ควรค่ากับการเดินข้ามผ่าน

    ชิ้นที่ห้า: สำหรับ…ใครบางคน

    กระเป๋าใส่เหรียญที่ทำจากผ้าทอมือของชาวเขา สวยเกินไปสำหรับวันตลาด แต่เงียบเกินไปสำหรับการตั้งชื่อ ฉันไม่ได้แพ็กมันรวมกับคนอื่น แค่สอดมันเข้าไปในซับใน ไม่ได้ติดป้าย ไม่ได้ห่อ

    บางทีฉันอาจจะรู้ว่าเป็นของใครในภายหลัง หรือบางทีฉันอาจไม่อยากยอมรับว่าฉันรู้แล้วก็ได้

    ลาเต้กลับมา แล้วกระโดดขึ้นม้านั่งเหมือนพลาดช่วงที่ฉันพยายามเป็นลูกชายที่ดี

    ฉันมองกล่องเปล่า แล้วหันไปมองบ่อปลา แล้วมองแมวที่ขโมยหมอนและศีลธรรมของฉันไป ของฝากพวกนั้นไม่ใช่คำขอโทษ แต่ก็คล้ายอยู่

    บางครั้ง…มันก็ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วจริง ๆ

    Sponsored Ads

    ———————

    แม่บอกว่าฉันผอมลง (ซึ่งไม่จริง)

    อาหารเช้าในสวนนี้ไม่มีพิธีอะไร มีแค่ไอน้ำ กับสายตาพิพากษา

    ข้าวสวยหนึ่งจาน ไข่ดาวฟองเดียว หน้าตาเหมือนเคยผ่านการตัดสินจากสวรรค์แล้วสอบตก จานผักบุ้งผัดกระเทียมที่ดูเหมือนเคยได้ยินทุกการทะเลาะในบ้านหลังนี้ กับหม้ออลูมิเนียมใส่ต้มจืดมะระยัดไส้ อุ่น ๆ เงียบ ๆ เหมือนกำลังขอโทษอะไรบางอย่าง ข้าง ๆ กันคือแก้วกาแฟ 3-in-1 ที่มีกลิ่นเหมือนวิญญาณของน้ำตาลที่ล่วงลับไปแล้ว

    แม่เหลือบตามองมาจากหลังกาน้ำ

    “ดูผอมลงนะ”

    จุกกว่าที่พี่ต้นบอกว่าคอร์ดฉันวกวนเกินไปอีก

    “เท่าเดิมนั่นแหละ…แค่จัดเรียงใหม่ให้ประหยัดที่ขึ้น”

    แม่ไม่ขำ แค่ตักต้มจืดเพิ่มให้อีกเหมือนกำลังเตรียมรับศึกทางวิญญาณ

    บางทีก็รู้สึกเหมือนฉันเคยกินข้าวตรงนี้มานับร้อยครั้ง แม้ว่าความทรงจำจะเหมือนภาพถ่ายที่มีใครบางคนหน้าเบลอ ๆ อยู่ตรงขอบเฟรม บางเฟรมเหมือนฝันจากอนาคต บางเฟรมเหมือนอดีตของคนอื่น แต่ตอนนี้ ทุกเฟรม…มันอยู่ในหัวเดียวกันแล้ว

    แต่มันก็เพียงพอจะทำให้ฉันวางช้อนช้า ๆ และรู้ว่า…ฉันกลับมาถูกบ้าน

    ฉันกำลังต่อรองสันติภาพกับไข่ดาวได้ครึ่งทาง ลาเต้ก็เดินเข้ามาจากสวน หางตั้ง คางเชิด หน้าตาแบบว่า โต๊ะนี้ของข้า และบ้านสวนนี้ก็อาจจะด้วย

    เขากระโดดขึ้นม้านั่ง หมุนตัวช้า ๆ อย่างจงใจ ก่อนจะมีเสียงคำรามต่ำ ๆ ดังขึ้นจากมุมซ้ายของเวที

    ผู้มาใหม่: น้ำแข็งใส สีขาว-คาราเมล อยู่ในรูปธรรมของคำว่า ขี้หงุดหงิด นั่งอยู่ข้างเสาระเบียงเหมือนเทพเจ้าไม้แกะสลักจากความแค้นในท้องถิ่น

    เธอไม่ขู่ ไม่ขยับ แค่ มอง ลาเต้

    เขาหยุดชะงัก ขาหน้าลอยกลางอากาศ หางสะดุด

    เธอกะพริบตาช้า ๆ  เหมือนผู้พิพากษาในศาลแมวโบราณที่กำลังตัดสินโทษประหารทางศีลธรรม

    “นั่นหมอนพ่อที่แมวนายมันนอนเหรอ?”

    เสียงดังมาจากด้านหลัง แป้ง ผมหางม้าหลุด ๆ เสื้อฮู้ดตัวใหญ่ที่น่าจะรอดจากสงครามฟิคชั่นมาสามรอบ ในมือถือฟิกเกอร์ Princess Lightwave ไม่ได้ขว้าง ไม่ได้ประชด แค่ถือไว้

    “นึกว่านายบอกว่าฉันโตเกินแล้วซะอีก”

    “ก็บอกให้แล้วไง”

    “งั้นให้ทำไม” เธอถามเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว 

    ฉันอ้าปากจะตอบ แต่รู้ตัวอีกทีว่ามือกำลังเขี่ยข้าวแทน มันง่ายกว่าการอธิบายว่าบ้านหลังหนึ่งจะรับรองคนแปลกหน้าทางความทรงจำได้แค่ไหน “จะได้รู้ว่าฉันยังจำได้ ถึงแม้เธอจะกรอกตาก็ตาม”

    เธอเปิดสมุด ระหว่างหน้าสองกับสาม มีเศษกระดาษแผ่นพับ ไม่ใช่จากฉัน บทกลอนสั้น ๆ เนื้อเพลง คอร์ด และตัวหนังสือขยุกขยิกข้างขอบกระดาษ ลายมือของฉัน แต่ไม่ใช่จากสมุดเล่มนี้

    เธอมองฉันแบบ หืม? แผ่นนี้เหรอ? บังเอิญแหละ  แล้วสอดมันกลับเข้าไปเหมือนนักมายากลเก็บไพ่ตาย

    ลาเต้ย้ายตัวเองไปอยู่ใต้โต๊ะอย่างเงียบ ๆ น้ำแข็งใสมองตาม แล้วหันหลังเดินจากไปเหมือนเพิ่งปิดแฟ้มคดีสำคัญ

    แม่เติมกาแฟให้ฉันอีก ต้มจืดยังอุ่นอยู่ ข้าวเริ่มแห้งนิด ๆ แต่รสชาติของความกระอักกระอ่วนมันคุ้นดี และครั้งนี้…ฉันไม่ได้เกลียดมันเลย

    Sponsored Ads

    ———————

    ยุทธการถอนกำลังจากห้องรับแขก

    ห้องรับแขกไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ตั้งแต่วันที่ฉันหายตัวไปจากบ้าน โซฟาตัวเดิม ที่มีสปริงพัง ๆ ฝังแน่นในความทรงจำ พัดลมตัวเดิม ที่ส่งเสียงเหมือนมีความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจในชีวิตของฉัน สมุดโน้ตที่ใช้ไปครึ่งเล่ม วางกองอยู่ ไม่มีใครกล้าโยนทิ้ง

    มีการเพิ่มเข้ามาใหม่เพียงตัวเดียวคือแมวตัวที่สองและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

    “เธอไม่เติมน้ำให้แมว” ฉันชี้ไปที่ถ้วยเซรามิกที่แห้งกว่าเงินในบัญชีหลังหักหนี้

    “ให้อาหารไปแล้ว” แป้งตอบ โดยไม่เงยหน้าจากสมุดโน้ต

    “ให้อะไร? อดีตอันเจ็บปวดกับทัศนคติอคติทางประวัติศาสตร์?”

    หมอนลอยมา 

    ฉันหลบได้

    ลาเต้นั่งอยู่บนทีวี ดูเหมือนนี่คือซิทคอมโปรดของเขา ส่วนน้ำแข็งใส นั่งอยู่ตรงชั้นวางรองเท้า หางกระดิกช้า ๆ เหมือนกำลังเช็กบัญชีความผิดสะสมในบ้านหลังนี้

    “อีกอย่างนะ” ฉันเสริม “ที่จูนกีตาร์ของฉัน ไปอยู่ในลิ้นชักเธอได้ยังไง”

    “เพราะนายทิ้งมันไว้ตั้งแต่เจ็ดปีก่อน” 

    แป้งตอบ “ของที่ถูกทิ้งโดยไม่ดูแล ถือว่าโอนกรรมสิทธิ์ตามธรรมนูญพี่น้องเวียงป่าเป้า มาตรา 4”

    “ฉันไม่เคยเซ็น”

    “นั่นมาตรา 1”

    เธอเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดแฟนตาซีด้วยความเร็วระดับความคับแค้นใจ

    ฉันโน้มไปดู “แฟนฟิคเหรอ”

    “ไม่ใช่ มันเป็น AU แนวดาร์กอาคาเดเมีย ที่จักรวาลนี้ เจ้าหญิง Lightwave ข้ามมิติมาเจอหนี้ กยศ. กับความไม่กล้าพูดความรู้สึก”

    ฉันหยุดนิดหนึ่ง บางทีฉันควรพูดอะไรอย่าง “ดีใจที่เธอยังเขียนอยู่” หรือ “ขอบใจที่ยังเก็บสมุดไว้”  แต่คำพวกนั้นติดอยู่กลางอก เหมือนเพลงที่ยังหาท่อนฮุกไม่ได้ บางทีก็ไม่แน่ใจว่าความทรงจำพวกนี้เป็นของฉันในปี 2544 หรือของอีกคนที่ยังจำได้แม้กระทั่งตอนที่เธอเลิกเขียนไป ฉันเลยทำในสิ่งที่คนพี่ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นพี่ควรทำ ประชดกลับไปเบา ๆ

    “งั้นก็คืออัตชีวประวัติของเธอนั่นแหละ”

    เธอไม่ตอบ แต่กลับผิวปากเบา ๆ

    ลาเต้โดดลงจากทีวี เดินไปหา แล้วกลิ้งตัวลงนอนตักเธอโดยไม่รักษาศักดิ์ศรีเลยสักนิด

    “ทรยศ” ฉันบ่น

    แป้งก้มมอง “เฮ้ย ชื่ออะไรนะ? โมจิ? ถั่วแดง? ท่านฟูฟ่องที่สาม?”

    “ลาเต้”

    “ว้าว ชื่อกรุงเทพฯ สุด ๆ”

    “จะให้ชื่ออะไรล่ะ มิสเตอร์รู้สึกผิดเรื้อรังหรือไง?”

    เธอหัวเราะเสียงฟึด ลาเต้ก็ครางเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า ใช่เลย

    ส่วนน้ำแข็งใส ลุกขึ้นอย่างจงใจ แล้วมานั่งขวางตรงระหว่างฉันกับประตู หางม้วน หน้าตาเหมือนเทพเจ้าจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

    ฉันกำลังโดนล้อม โดยแมว นี่ไม่ใช่ภาพที่ฉันจินตนาการไว้ตอนกลับบ้าน

    “รู้ไหม” ฉันพยายามยึดพื้นที่ศีลธรรมกลับมา “ฉันกลับมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นะเว้ย”

    “อือ ฮึ”

    “ฉันเอาของฝากมาด้วย”

    “อือ”

    “ฉันอาจจะโตขึ้นแล้วก็ได้”

    เธอเงยหน้ามองตรง 

    “แต่นายยังกรนอยู่”

    “นั่นมันไม่ใช่เจตนา”

    “เหมือนกับสไตล์การแต่งเพลงของนายไง ไม่มีใครตั้งใจจะฟัง แต่เราก็ยังฟังอยู่ดีแหละ”

    เสียงแม่ตะโกนจากในครัว พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับขิง น้ำปลา และใครบางคนที่ลืมปิดแก๊ส

    แป้งลุกขึ้น ยกลาเต้ลงจากตักเบา ๆ

    “ถอนกำลัง” เธอกระซิบ แต่พูดกับแมว ไม่ใช่ฉัน

    เขาเดินตาม

    Sponsored Ads

    ———————

    รากไม้มักไม่พูด แต่พวกมันรอ

    ฉันนึกว่าจะรู้สึกอะไรบางอย่าง ก้อนจุก ความร้อน หรืออะไรที่คล้าย ๆ อภัยโทษ แต่ไม่มี มีแค่ชื่อ ที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามในบ้านเช่า และกลายเป็นคำธรรมดาอีกครั้ง ตอนเช้าที่อากาศยังไม่ร้อน

    “พ่ออยู่ไหน”

    ฉันถามเหมือนถามหาขวดซีอิ๊วขาว ไม่ใช่ประโยคแรกในรอบเจ็ดปีที่เอ่ยชื่อเขาออกมา

    แม่ไม่สะดุ้ง 

    “ตรงแปลงตะวันออก แถววาล์วน้ำ”

    แน่นอน วาล์วมันไม่เถียง มันแค่รั่ว

    ฉันสวมรองเท้าแตะ ที่เล็กไปหนึ่งเบอร์ สีชมพู…แบบน่าสงสัย ลาเต้พยายามจะเดินตาม แต่น้ำแข็งใสขวางประตูไว้ ท่าทางเหมือนเทพเจ้าเกษียณแห่งสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ แมวยังรู้เลยว่าใครเป็นเจ้าบ้าน ใครเป็นแขก ฉันเดินออกมาเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัวว่า ขาในปี 2544 กับหัวใจในปี 2568 มันเริ่มเดินพร้อมกันแล้ว

    กลิ่นในสวนเหมือนไม้เปียกกับหญ้าไหม้แดด กลิ่นที่ไม่มีวันใส่ขวด ไม่มีวันวางขาย เมืองถึงลืมว่ามันเคยมีอยู่

    ฉันเดินผ่านต้นมะขามต้นเก่า ต้นที่เคยผูกเทปคาสเซ็ตต์แล้วทำเสียงเหมือนจัดรายการวิทยุลับ สื่อสารกับโลกที่ไม่เคยฟังกลับ ตอนนี้มันมีเถาวัลย์ ทุกอย่างมีเถาวัลย์ไปหมด

    ฉันเจอพ่อ กำลังนั่งยอง ๆ จมแขนลงไปในอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนม้ามของสวน เขาไม่เงยหน้า 

    “นึกว่ายังไม่ตื่น”

    “แจกของครบแล้ว” ฉันตอบ “ของพ่อมีใบมีดหมุน ๆ ด้วย”

    “อืม”

    ซึ่งในภาษาของเขา อาจจะแปลว่า ‘ขอบใจ’ หรือ ‘รุ่นเก่าคมกว่าเยอะ’

    เรายืนอยู่แบบนั้น เหมือนเครื่องมือสองชิ้นที่วางลืมไว้กลางแดด เขาทำงาน ฉันยืนดู ความเงียบไม่ได้อึดอัด แต่มันแน่น

    ฉันพูดขึ้น เหมือนชวนคุยเรื่องฟ้าฝน

    “เคยคิดปลูกอะไร…ที่มันทำเงินขึ้นมาหน่อยไหม”

    เขาหยุดนิดหนึ่ง

    “หมายถึงอะไรล่ะ”

    “ก็แบบ…ผลไม้ที่คนกรุงเทพฯ ชอบถ่ายลงบอร์ดแล้วรู้สึกไฮโซ”

    เขาหัวเราะในลำคอ เสียงเบามาก

    “อย่างพวกที่ขึ้นราเร็ว ใช้น้ำเยอะ และเลี้ยงยากกว่าลูกคน?”

    “ใช่ แบบนั้น”

    เขาหมุนอะไรบางอย่าง แล้วเช็ดมือลงบนผ้าขี้ริ้วที่น่าจะเกษียณมาสองรอบแล้ว

    “จะรดน้ำเองไหม”

    “อาจจะ”

    คราวนี้ เขาหยุดจริง ๆ เงยหน้ามามองฉัน แค่ครั้งเดียว แล้วก็หันกลับไปดูวาล์วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “จะเว้นไว้ให้หนึ่งแถว”

    ฉันไม่ได้ยิ้ม แต่บางอย่างในอกมันคลายออกนิดหนึ่ง ไม่ใช่คำอนุญาต ไม่ใช่การต้อนรับแค่ “พื้นที่” สำหรับบ้านหลังนี้ นั่นคือเสียงที่ดังที่สุดแล้ว

    Sponsored Ads

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note