092-เสียงที่ยังไม่ออกบิล
by S.J. Raventideโต๊ะมันยังโยกได้เท่าเดิม ยังเคลือบลามิเนตสีเบจน่าเบื่อที่ต่อต้านทั้งกาลเวลาและน้ำยาทำความสะอาด กาแฟยังมาแบบขม ฝืด และเหมือนเมล็ดกาแฟได้ยื่นขอลาออกจากการเป็นกาแฟมาหลายเดือนแล้ว
Sponsored Ads
“แกกินอะไรไหม?” พี่ต้นตะโกนจากมุมเดิมของร้าน เมนูสีซีดในมือเขาแกว่งอยู่เหมือนธงขาวของคนที่ยอมแพ้เรื่องกินตั้งแต่ต้นศตวรรษ
ฉันส่ายหน้า เคาะนิ้วกับโต๊ะเหมือนจะเรียกสัญญาณไวไฟวิญญาณของเงินเดือน แต่มันก็ยังเงียบ เหมือนเครื่องพิมพ์บิลที่โดนกระดาษขาดกลางหน้าพอดี
พี่บัญชีจากพึ่งใจมิวสิคเดินเข้ามาแบบเงียบ ๆ แต่เอกสารในมือเธอส่งเสียงดังในอกฉันแทน
“อันนี้ยอดเดือนเมษานะคะ ยังไม่หักภาษีค่ะ โอนวันจันทร์ค่ะ ถ้าระบบไม่ล่มนะคะ”
ฉันพยักหน้าแบบคนที่ผ่านระบบบัญชีมาแล้วพอ ๆ กับมาม่าทุกรสในเซเว่น บางทีบัญชีของวงการเพลง RB51 ก็ควรได้รางวัลสาขา “แนวทดลอง” เพราะมันรวมทั้งลัทธิความเชื่อ, ความคลุมเครือ, และฟังก์ชันที่เข้าใจเฉพาะทีมไอที
บางค่ายหักค่าผลิตแบบปัดเศษขึ้นราวกับเป็นสำนักบัญชีสายยูนิฟายด์ฟิสิกส์ บางบิลหัก VAT แบบใช้ระบบพรหมลิขิต หรือไม่หักเลย เพราะ “ลืม”
แต่ในเมื่อฉันยังอยู่ฝั่งที่ได้เงินอยู่ ก็ยังไม่ถึงเวลาบ่นในรายการอภิปราย…
ฉันรับซองน้ำตาลที่ดูเหนื่อยล้าเหมือนคนยืนรอแถวธนาคาร ค่อย ๆ แกะออกอย่างระแวงว่าในนั้นอาจมีอะไรดีกว่าตัวเลข กลิ่นหมึกหมึกจาง ๆ บนกระดาษทำให้กาแฟในแก้วขมขึ้นอีก 5%
🎵 สรุปรายได้ค่าลิขสิทธิ์ – ณ เดือนเมษายน 2544
📀 ซิงเกิ้ล 1: “คนไม่มีสิทธิ์ + กรุงเทพมหานคร”
✅ รายได้รวม (Gross Revenue): 4,613 CDs × ฿300 = ฿1,383,900
✅ หักค่าใช้จ่าย 45%: ฿622,755
✅ รายได้สุทธิ: ฿761,145
✅ ส่วนแบ่งของศิลปิน 10%: ฿76,114.50
✅ ส่วนแบ่งของฉัน 20% จากศิลปิน = ฿15,222.90
📀 ซิงเกิ้ล 2: “เหยียบดาว + จนแต่เจ๋ง”
✅ รายได้รวม (Gross Revenue): 35,705 CDs × ฿300 = ฿10,711,500
✅ หักค่าใช้จ่าย 45%: ฿4,820,175
✅ รายได้สุทธิ: ฿5,891,325
✅ ส่วนแบ่งของศิลปิน 10%: ฿589,132.50
✅ ส่วนแบ่งของฉัน 20% จากศิลปิน = ฿117,826.50
💰 รวมยอดรอบนี้ (ยังไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย): ฿133,049.30
ฉันวางกระดาษลงข้างแก้วกาแฟ มองผ่านไอลอยบางจากของเหลวที่เรียกว่ากาแฟ
บางสิ่งในโลกนี้ไม่เคยเปลี่ยน รวมถึงความรู้สึกที่รู้ว่าเงินกำลังจะเข้า แต่ยังไม่ใช่วันนี้
พี่ต้นจิ้มช้อนลงในโซดามะนาวที่ไม่มีมะนาวมาหลายปี
“ดึงดันนะมึง เสาร์นี้จะได้ฟังสด ๆ ละ”
ฉันไม่ได้ตอบ แต่ในหัวดังก้องว่า “โอ้ใจเอ๋ย…” มันจะเปลี่ยนคีย์ยังไงถ้าขึ้นเวที หรือมันอาจจะไม่เปลี่ยนอะไรเลย เหมือนโต๊ะตัวนี้ ที่โยกได้เท่าเดิม…ทุกครั้งที่เงินจะเข้า แต่ยังไม่เข้า หรือบางทีโต๊ะมันไม่ได้โยกหรอก แค่ฉันที่ยังสั่นเหมือนเดิมทุกครั้งที่ต้องรอเงินเข้า แต่ก็เอาเถอะ เงินหมื่นหรือเงินแสนใน RB51 ก็แค่ตัวเลข ถ้าสุดท้ายต้องไปต่อแถวรอคิวจ่ายค่าไฟอยู่ดี
ฉันขยับแก้วกาแฟ รสชาติฝืด ๆ กลืนลงไปพร้อมความรู้สึกว่า อย่างน้อยตอนนี้ “ฉันยังอยู่ในระบบ” อยู่บ้าง… แม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นระบบเพลง หรือระบบแกล้งให้หวังแล้วเฉือนทิ้งกันแน่
Sponsored Ads
———————
เสียงประสาน
Skyline Loops ยังดูเหมือนสถานที่ที่ถูกสร้างจากใบเสร็จภาษีกับเศษไม้อัดที่เหลือจากโปรเจกต์อื่น บันไดลั่นเอี๊ยดเหมือนข้อเข่าเสื่อม ๆ ไฟกะพริบเหมือนยังลังเลว่าควรให้วงนี้ใช้ไฟหรือไม่ โปสเตอร์เดียวที่ยังไม่หลุดจากผนังคือแผ่นที่เขียนว่า “Live = Not Dead Yet.”
คนยังไม่แน่น เว้นแต่คุณจะนับความร้อนในร่างกาย ความวิตกกังวล และความเสียใจที่ไม่ได้ตั้งใจ
ฉันยืนอยู่ใกล้ ๆ ซาวด์บอร์ด ที่ครึ่งหนึ่งใช้งานได้ อีกครึ่งกำลังเผชิญวิกฤตตัวตน เซ็ตลิสต์ที่แปะอยู่บนมันเขียนว่า
“1. เหยียบดาว 2. จนแต่เจ๋ง 3. ดึงดัน (ลอง ver.)”
ลอง ver. มีขีดเส้นใต้สามเส้น และใครบางคนวาดหน้าบึ้งไว้ข้าง ๆ
ตอนที่พวกเขาเริ่มเล่น มันมีความผิดพลาดแบบที่ทำให้คนดูอยากเชียร์ ไม่ใช่หายนะ แต่พอจะบอกได้ว่าเป็นมนุษย์
ไมค์ของพี่ต้นส่งเสียงหอนหนึ่งครั้ง ราวกับกำลังทดสอบความมั่นใจของเขา เสียงประสานของฝ้ายเข้าช้าไปในท่อนฮุกแรก แล้วเร่งตามเหมือนกลัวตกรถเมล์ มือกลองทำไม้หล่น เก็บขึ้นมา พลาดจังหวะ แล้วก็เก็บใหม่อีกที
🎶 “โอ้ ใจเอ๋ยทำไมหัวใจไม่หลาบจำ ดึงดันจะรักเธออยู่
ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ใช่ แต่ยังจะรักเขาหมดหัวใจ
ปล่อยเขาทำร้ายย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เติมอยู่” 🎶
เสียงท่อนนี้แหบพร่า แต่มีชีวิตชีวา มันไม่ใช่เสียงหัวใจสลาย แต่มันคือเสียงของคนที่ยังยืนยันว่า หัวใจของตัวเองมีค่า
ไม่มีใครปรบมือ แต่ก็ไม่มีใครเดินออกไปเช่นกัน
ผู้ชายแถวประตูชูนิ้วโป้งขึ้นมา อาจจะประชดก็ได้ ระหว่างท่อนบริดจ์มีคนไอเป็นจังหวะ อาจตั้งใจ
ฝ้ายหลับตาตอนร้องประโยคสุดท้าย เหมือนพยายามยึดเพลงไว้ด้วยเปลือกตา และตอนเพลงจบ พวกเขาไม่ได้โค้งขอบคุณ แค่หันมามองหน้ากัน เหมือนจะถามว่า
“เรารอดมาได้ไหมวะ?”
หลอดไฟกระพริบระหว่างท่อนสุดท้ายเหมือนมันจะขาดตอนโซโล่ เสียงกีตาร์ขาด ๆ หาย ๆ เพราะแจ็คหลวม แต่ฝ้ายยังหลับตาแน่น เพราะในเวทีที่ไม่มีเครื่องเสียงดี ๆ นั่นแหละ…มันไม่มีอะไรเหลือให้ซ่อน
ฉันไม่ปรบมือ ไม่แม้แต่จะขยับตัว แต่ข้างในมันมีอะไรบางอย่างเคลื่อน นี่ไม่ใช่การแสดงระดับชาติ ไม่มีกล้อง ไม่มีกองเชียร์ ไม่มีโปรดิวเซอร์ใส่สูทคอยจดโน้ต
ที่นี่ไม่มีใครมาบอกว่า “เพลงนี้ขายได้ไหม” หรือ “เสียงนี้ติดชาร์ตหรือเปล่า” มันแค่มีเสียงของคนที่ยังไม่ยอมให้ระบบบอกว่าพวกเขาไม่มีเสียง เพราะถ้าเสียงแบบนี้ยังอยู่บนเวทีเล็ก ๆ ได้ แปลว่ายังมีที่ให้คนอย่างเรารอดอยู่บ้าง
ฉันแต่งท่อนฮุกนั้น และในตอนนี้ มันถูกร้องออกมาแล้ว ดิบ ๆ กระท่อนกระแท่น ผิดจังหวะบางจุด แต่จริงกว่าเสียงไหน ๆ ที่เคยมี
ไม่มีค่าย ไม่มีมิกซ์ ไม่มีความจริงแบบรีทัช มีแค่เสียง ที่สะท้อนจากกำแพงที่ไม่สนว่าใครเป็นคนเปล่งมัน
พี่ต้นหันมาทางด้านหลังห้อง สายตาเราสบกันเพียงครู่เดียว
เขาไม่พูดอะไร แค่ส่งสายตามาว่า “ได้ยินใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้า ก็แค่นั้นเอง มันอาจจะไม่ได้อยู่ในรายงานรายสัปดาห์ของกรมวัฒนธรรม แต่มันอยู่ในเสียงสะท้อนที่ฝังอยู่ในกำแพงไม้ไม้อัด กับเหงื่อที่ไม่ได้เงิน แค่นั้น…มันก็มากพอ
Sponsored Ads
———————
แทร็กลับหลังเวที กับ เสียงที่หล่อไม่ได้
หลังเวทีของ Skyline Loops ดูเหมือนเคยเป็นห้องเก็บเส้นก๋วยเตี๋ยว และยังไม่หายจากบาดแผลในอดีต พัดลมเพดานหมุนแผ่ว ๆ สายไฟพันกันเหมือนก๋วยเตี๋ยวเส้นเละ โต๊ะพลาสติกเอียงไปทางตะวันตก
บอลเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามา ยังเหงื่อโชก ยังคงตื่นเต้น และยังไม่เลิกตีกลองในหัวตัวเอง เขาตบหลังฉันแรงพอให้เวลาในชีวิตเปลี่ยนแทร็ก
“เขียนอะไรของแกวะ ดึงดัน! ตีกี่รอบก็ยังไม่พอใจใจตัวเองเลยว่ะ”
ฉันกระพริบตา นั่นดูเหมือนจะเป็นการให้ไฟเขียวให้บ่นต่อ
“ตรงช่วงโซโล่นี่ กะให้คนฟังร้องไห้เหรอ หรือกะให้กูมือหักก่อนจบเพลง?”
ฉันยังไม่ทันอ้าปากตอบ เอกก็เบียดเข้ามาพร้อมสายไฟยุ่งเหยิงเต็มแขน กับน้ำเสียงที่พร้อมให้คะแนน
“เปลี่ยนคีย์แบบนี้ ไม่บอกใครก่อนนี่แหละระดับโปร… โปรฯ เพี้ยน”
เขาวางเบสลงบนเก้าอี้ พยักหน้าใส่ตัวเองราวกับเพิ่งพูดอะไรเป็นปรัชญา
เขาน่าจะเชื่อแบบนั้นจริง ๆ
ฝ้ายเดินตามเข้ามา ลากเคสคีย์บอร์ดเหมือนมันติดหนี้เธอ เธอวางมันลงด้วยน้ำหนักแบบคนที่กำลังวางระเบิด
“กูจะไม่พูดเรื่องอินโทร… เพราะมันพูดเองได้”
แล้วเธอก็มองตรงมาที่ฉัน เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเหมือนเตรียมล้มวิทยานิพนธ์
“แต่ถ้าจะให้คีย์แบนแบบนี้อีก… ช่วยเขียนจดหมายขอโทษคีย์บอร์ดกูไว้ล่วงหน้าเลยนะ”
ฉันอ้าปากจะพูด แล้วก็ปิดมันกลับ พยักหน้าแทน ถือเป็นกลไกป้องกันตัวพื้นฐาน
แดงเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เคี้ยวปิ๊กกีตาร์เหมือนเป็นลูกอมจากนรก เขาไม่พูดอะไรเลย แค่พยักหน้า แล้วชูสองนิ้วขึ้นมา ดีดอากาศสองที ภาษากายว่า “เยี่ยมแล้ว แต่อย่าทำอีกนะ”
แล้วพี่ต้นก็เข้ามา เดินเข้ามาแบบรู้พิกัดของความเงียบเป๊ะทุกจุด
เขามองรอบห้องเหมือนนายพลที่เพิ่งแพ้ศึก แต่ยังชอบสงคราม แล้วก็นั่งข้างฉัน หยิบโซดาจากโต๊ะของบอลไปเปิดเฉย ๆ แบบไม่ขอ
“เล่นจบแล้วนะ ดึงดัน… เหลือเจ้าชายละมั้ง?”
ฉันชะงัก
เขาไม่ได้ยิ้ม นั่นแหละกับดัก
“เจ้าหญิงก็มีไปแล้ว เพลงนี้มันประกาศชัดเลยว่าเรามีแต่ ‘ใจเอ๋ย’ ไม่มีม้า ไม่มีเกราะ ไม่มีดาบ ไม่มี Happy Ending…”
แล้วเขาก็มองฉันเหมือนรู้ว่าฉันกำลังเขียนอะไรให้ และที่แย่กว่านั้น เหมือนรู้ว่าฉันจะไม่ปฏิเสธ
“คิดมาละใช่มั้ย… หน้ากูมันฟ้องว่าอยากร้องอะไรต่อ”
ฉันยักไหล่แบบกลาง ๆ ปลอดภัย คลุมเครือ ขี้ขลาด
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังลุกอยู่ดี หมุนคอกร๊อบกร๊อบเหมือนจบงานประจำ
“ไว้คุยกัน… แต่ถ้ามีเพลงไหนที่ทำให้กูดูหล่อบ้าง จะซึ้งใจมาก”
บอลหัวเราะ
เอกพ่นจมูก
ฝ้ายกลอกตา
แดงยิ้มทั้งหน้าอยู่วินาทีเดียว
ส่วนฉัน? ทำเป็นก้มผูกเชือกรองเท้า แบบผูกไม่ค่อยเป็น
Sponsored Ads
———————
เสียงสะท้อนและของแถม
โชว์จบแล้ว แต่เมืองยังไม่ยอม แสงนีออนยังกะพริบเหมือนติดหนี้อะไรบางอย่างที่ไม่กล้าบอกใคร
ฉันยืนพิงราวระเบียงบนดาดฟ้า มองหยดน้ำเกาะขวดน้ำเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เหงื่อออกมากกว่าบอลคืนนี้
เสียงหัวเราะดังเป็นระลอกจากโต๊ะริมในสุด
ผู้หญิงในชุดเดรสที่ไม่สมมาตร เปิดไหล่ข้างนึง ผมยุ่งแบบที่ต้องใช้ความพยายามมากถึงได้ลุคนี้ ที่ถือแก้วเหล้าที่เหลือครึ่งหนึ่งและเหมือนจะแสดงละครอย่างเต็มที่
“แก ๆ ฟังนะ… ถ้าผู้ชายคนนั้นยังกล้าโทรมาอีก ฉันจะให้พ่อยิงแม่งเลย!”
โต๊ะนั้นหัวเราะลั่นเหมือนมีเวทีซ้อนอยู่ในวงเหล้า
เธอไม่ได้สวยแบบดาราสาวในโทรทัศน์ แต่เป็นแบบที่ทำให้บาร์เทนเดอร์และคนในบาร์สนใจสามอึกสุดท้ายในแก้วเหล้า แบบที่เพื่อน ๆ หมุนรอบตัวเธออย่างแนบเนียน ราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ
และชั่ววินาทีนั่น ฉันก็สงสัยว่าเสียงของเธอจะเป็นแบบไหนถ้าร้องเพลง หรือว่าเธอเคยร้องไห้โดยไม่ถือแก้วบ้างไหม
ข้างหลังฉัน ฝ้ายดูดหลอดโซดาแบบประชด
“เสียงประสานวันนี้… ใครอัดไว้บ้างวะ จะได้ไปฟ้องหมอหู”
เอกหัวเราะหึ ๆ
“ยอมรับเหอะว่าอินเนอร์เธอมันเป็นแจ๊ส… ขณะที่เราเล่นร็อกใส่กันอยู่”
บอลเอนตัวมา ชนไหล่เธอเบา ๆ
“จะเอาให้สุดต้องร้องแร็ปแล้วมั้ง เดี๋ยวแต่งให้เลย — ‘ใจเอ๋ย yo!’”
ฝ้ายทำเสียงกึ่งไอ กึ่งสบถ
“กูแร็ปใส่หน้ามึงได้เลยตอนนี้ ถ้ายังไม่หยุดเล่นมุก”
พี่ต้นที่นั่งเงียบมาตลอด หัวเราะเบา ๆ แค่พอให้ทุกคนรู้ว่ายังเป็นหัวหน้าวงอยู่
“ถ้าร้องแร็ปแล้วขายได้ มึงช่วยเขียนไปเลยนะกรณ์ กูจะยืนเต้นเอง”
ฉันยกมือทำท่าแบบล้อ ๆ หวังให้ดูประชด แต่น่าจะเหมือนคนจุกน้ำอัดลมมากกว่า
แต่บางอย่างในเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนนั้น บางอย่างในสายตาเพื่อน ๆ ที่มองเธอค่อย ๆ พังอย่างเชี่ยวชาญ มันคลิก
ยังไม่ใช่เมโลดี้ แต่เป็นบางอย่าง ความพังที่เราซ้อมจนชิน ความพังที่กลายเป็นจังหวะ เสียงเธอมันไม่เหมือนคนร้องเพลง แต่บางประโยคที่เธอพูด มันเหมือนท่อนฮุกที่ยังไม่ถูกใครเอาไปเรียบเรียง ผู้หญิงที่ยกแก้วแล้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก… ทั้งที่มันไม่เคยตลกจริง บางทีเธออาจจะเคยฝันว่ามีเจ้าชาย หรือบางทีเธอก็แค่รู้ว่า “ในฝันของผู้หญิงบางคน เจ้าชายมันก็แค่คนแปลกหน้าที่พูดดีเกินไป” และจังหวะนั้นแหละ ฉันก็รู้ว่าเพลงต่อไปมันจะเริ่มจากตรงนี้
ฉันดื่มน้ำโซดาจนหมดแก้ว ที่มันใสสะอาดกว่ามโนธรรมตัวฉันเอง
“โอเคพี่ ผมกลับก่อนนะ”
พี่ต้นพยักหน้า
“เจอกันใหม่… ถ้าไม่หายไปคิดอะไรเจ็บ ๆ อีก”
ฉันเลิกคิ้ว เขายิ้ม
“หรือไม่ก็คิดอะไรขายได้อะไรก็ได้อะ กูก็ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว”
ฉันไม่ตอบ แค่เดินออกไป พร้อมเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่ยังลอยอยู่ในหัว ที่เหมือนจะตามกลับบ้านมาด้วย
Sponsored Ads
COCKTAIL X ตั๊ก ศิริพร [ Drum Cover ] Note Weerachat
0 Comments