095-เสียงที่ไม่มีใครเตรียมใจ
by S.J. Raventideอาคารกรมทรัพย์สินทางปัญญายังคงมีกลิ่นหมึกเปียกและความคาดหวังที่วางตากแดดไว้นานเกินไป
Sponsored Ads
ฉันหยิบบัตรคิว นั่งลง แล้วหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้ง เหมือนกลัวว่ามันจะหักหลังฉันเงียบ ๆ ชายในชุดสูทที่นั่งห่างไปสามที่นั่งกำลังกรนเบา ๆ ใต้โปสเตอร์ลอกลายที่เคยตะโกนว่า “STOP PIRACY” สีแดงแสบตา แต่ตอนนี้มันดูเหมือนเงาของการประท้วงที่ไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว
พัดลมเพดานส่งเสียงครางหงิงอย่างกับมีความเห็น แต่เลือกพูดเฉพาะตอนหัวหน้าไม่อยู่ เด็กสาวในเสื้อฮู้ดลาย One Piece กำลังเย็บรวมเนื้อเพลงของตัวเองด้วยขอบบัตร Metro ที่รูดจนมุมบาง เธอมีเล็บสีแดงสด กับดวงตาแบบคนที่เลิกศรัทธาในท่อนฮุกไปแล้ว สองเก้าอี้ถัดไป หญิงวัยกลางคนที่มีกล่องใส่กีตาร์วางข้างตัวกำลังพึมพำบทเพลงของเธอเบา ๆ ริมฝีปากแทบไม่ขยับ เหมือนกลัวว่าแค่เปล่งเสียง เพลงนั้นจะหลุดมือ
“สามศูนย์ สอง ทับ ทอ.” เสียงเจ้าหน้าที่หญิงตัดอากาศเหมือนไม้บรรทัดฟาดโต๊ะในห้องเรียนเงียบ ๆ
ชายเสื้อโปโลเหลืองสะดุ้งขึ้นมากอดซองเอกสารแน่นเหมือนมันจะกัด แล้วโค้งครึ่ง เดินครึ่งเซถลาไปที่ช่องบริการ
หมายเลขของฉันขึ้นต่อจากนั้น ฉันลุกขึ้น เจ้าหน้าที่หญิงหลังเคาน์เตอร์ไม่แม้แต่จะเงยหน้า เธอไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง ทรงผมแบบเดิม แขนเสื้อพับแบบเดิม สีหน้าประเภทที่เคยเชื่อในความฝันของศิลปิน…จนกระทั่งต้องคืนเงินให้พวกเขา
“จดเพลงครับ” ฉันว่า
เธอเลื่อนถาดพลาสติกมาข้างหน้า “เอกสารครบไหม”
ฉันส่งซองให้ เรียบร้อย: CD เดโม ใบเนื้อเพลง คอร์ด ใบรับรองความเป็นผู้แต่ง เอกสารครบตามภาษาราชการ สายตาเธอกวาดผ่านแต่ละหน้าแบบคนที่กำลังมองหาจุดผิดที่ฉันยังไม่รู้ว่าทำไว้
“ชื่อนี้… เคยใช้กับงานก่อนหน้ารึยัง” เธอถาม พลางเคาะตรงบรรทัดที่เขียนว่า “เจ้าชายในฝัน – ธนากร สิริพงษ์ชัย”
ฉันชะงักนิดหน่อย “ชื่อผมหรือชื่อเพลงครับ?”
“ชื่อเพลงค่ะ”
“อ๋อ… ไม่เคยครับ เพิ่งตั้งสด ๆ เมื่อวานเลย” เธอพยักหน้าแบบไม่แปลกใจ ก่อนถามต่อ
“แล้วชื่อคนล่ะ? มีงานก่อนหน้าไหม”
“มีครับ ‘ดึงดัน’ ยังไม่ขึ้นค่ายครับ เพิ่งส่งเดโม”
เธอพยักหน้าแบบประหยัดเวลา
“ห้าร้อยบาท” เธอว่า มือเอื้อมไปหยิบตราประทับแล้ว
เสียงดัง ตึ้ง เบา ๆ แบบการประหารฉบับจิ๋ว
ฉันจ่ายเงิน เซ็นชื่อ รอรับ เธอฉีกใบเสร็จออกจากเล่มด้วยความชำนาญของคนที่ทำแบบนี้มาแล้วเกิน 300 ครั้งในสัปดาห์นี้
“เก็บไว้ให้ดี” เธอว่า พร้อมยื่นใบเสร็จให้ “ถ้ามีปัญหา อย่าตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ เขียนคำร้องแทน”
ฉันกระพริบตา “ครับ…”
“อย่าลืมวางบนถังสีฟ้า ก่อนบ่ายสาม” เธอเสริม และฉันก็ไม่แน่ใจว่าเธอพูดถึงเอกสาร… หรือความฝันกันแน่
ตอนฉันก้าวออกจากตึก แดดของกรุงเทพฯ อภิวัฒน์ก็โอบตัวฉันไว้เหมือนพลาสติกแรปข้าวเย็นที่เหลือจากเมื่อวาน
ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลนัก ความรู้สึกที่ว่าฉันเพิ่งถูกจัดเข้าหมวด เบ็ดเตล็ด ก็เช่นกัน
Sponsored Ads
———————
รถเมล์รักชาติ
รถเมล์สายกลับอ่อนนุชแวะมาแบบสิ่งมีชีวิตที่หอบแห้ง ๆ ระหว่างใกล้ตาย คล้ายครึ่งสัตว์ คล้ายครึ่งแอร์พัง และไม่ใส่ใจชะตาผู้โดยสารแม้แต่น้อย มันแค่หยุด เพราะมันหยุด ไม่ได้มีใครอยู่ในเรื่องเลย
ฉันก้าวขึ้นไป ยัดใบเสร็จจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาไว้ในกระเป๋า แล้วหาที่นั่งหลังกลุ่มเด็กมัธยมปลายที่กำลังคุยกันอย่างออกรส
“บอกให้ยืนเช้า ๆ แล้วธงชาตินี่ช่วยกันแดดมั้ย?”
คนหนึ่งพัดตัวเองด้วยโบรชัวร์ค่าเทอม
“โบว์กูเปียกเหงื่อหมดละ” อีกคนตอบ “นี่มันเครื่องแบบ หรือเครื่องลงโทษวะ”
พวกเธอหัวเราะกันลั่น เสียงดังแบบไม่เกรงใจใคร แบบคนที่ยังมีแรงล้อระบบ ก่อนที่ระบบจะล้อพวกเธอก่อน
อีกคนเสริม “ถ้าผูกผิดด้าน จะโดนตัดคะแนนจิตพิสัยมั้ยอ่ะ?”
คนหนึ่งชี้ใบปลิวในตัก “นี่ ๆ NB-ICT รับตรงรอบสองแล้วนะ”
อีกคนคราง “แม่บอกถ้าสอบไม่ติด RBN-U ให้เรียนรามแล้วไปเกณฑ์เลยง่ายกว่า”
คนที่สามสะบัดโบว์แดงในผมเหมือนอาวุธ “เอาดี ๆ กูอยากเป็นศิลปิน ไม่ใช่สัญลักษณ์ราชการ”
ทุกคนพยักหน้า การพยักหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนอนาคต แต่ช่วยยืดอดีตให้นานพอจะหายใจได้
เสียงแตรของคนขับรถดังเป็นจังหวะเหมือนเครื่องหมายวรรคตอน
ฉันเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง มีบางอย่างในโบว์แดง แดงจัด แข็งทื่อ เหมือนเครื่องหมายเชิงพิธีการ ที่มันยังติดอยู่ในหัว
กระเป๋ารถเมล์เดินมาช่องกลางรถแบบนักแสดงตลกที่หมดไฟ เสื้อหลุดนอกกางเกง กระบอกเหรียญเป็นเหมือนกระป๋องไมโลที่ดูเหมือนเคยถูกใช้เก็บอะไรไม่สะอาดมาก่อน
“แปดบาท… หรือถ้ามั่นใจในชาติก็สิบบาทไปเลยจ้ะ” เขาพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมรอยยิ้มแบบคนที่ชินกับทั้งเหงื่อ และอุดมการณ์ในระดับเท่า ๆ กัน
ฉันจ่ายพอดี เขาไม่มอง แค่พึมพำว่า “หน้าตาแบบนี้… เคยยืนเคารพธงชาติหน้าตรงมั้ยน้อ”
เสียงหัวเราะจากกลุ่มนักศึกษาตามมาอีกระลอก คนหนึ่งหันมา ทำท่าตะเบ๊ะแบบล้อเลียน “พร้อมเพรียงค่ะ!”
ฉันไม่ยิ้ม แต่หยิบใบเสร็จที่ยับไปครึ่งแผ่นขึ้นมาเขียน แค่สองคำ โบว์แดง
เมื่อถึงไฟแดงถัดไป รถจอดนิ่งข้างตึกกระทรวง ธงบนเสาโบกเบา ๆ อย่างเหนื่อยหน่าย เหมือนมันก็เบื่อการเคารพตัวเองเต็มที ไม่มีใครบนรถมองขึ้นไป พวกเราทุกคนมาสายด้วยเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน เรื่องราวยังไม่เกิด มีแต่สัญญาณรบกวน แต่แบบที่มักจะมาก่อนสัญญาณจริงเสมอ
Sponsored Ads
———————
ไม่ใช่แค่เจ้าชาย
บอลมองกระดาษเนื้อเพลงเหมือนมันเพิ่งสารภาพว่าก่อคดีฆาตกรรม
“ใครจะร้องท่อนนี้วะ?” ต้นถาม พลางสะบัดกระดาษเหมือนหวยที่ออกรางวัลแล้วแต่ชื่อไม่ใช่ตัวเอง
“อย่ามองหน้ากูนะ กูมาตีกลอง ไม่ได้มาแข่งเดอะวอยซ์” บอลเอนตัวพิงชุดกลอง ไม้กลองคีบอยู่ในมือเหมือนปลายบุหรี่หมดมวน
ฝ้ายไม่เงยจากคีย์บอร์ดด้วยซ้ำ “งั้นกูร้องก็ได้… ถ้าพวกมึงอยากให้เพลงนี้กลายเป็นซาวด์ประกอบรายการก้าวคนละก้าวอะนะ”
“ไม่ได้ กูยังอยากขายซีดีให้เด็กม.ปลายได้อยู่” ต้นสวนกลับทันควัน
เอกยังจูนเบสอยู่เงียบ ๆ เหมือนผ่าตัด แต่แทรกขึ้นมา “ก็จับฉลากดิ ง่ายสุด”
“แต่อย่าเหมือนครั้งที่แล้วนะ ที่มีชื่อกูอยู่สามใบ” บอลหรี่ตาลง
“รอบนี้แฟร์ ทุกคนหนึ่งใบ”
ต้นยกสองมือโชว์กระดาษพับเรียบร้อย หย่อนลงในแก้วกาแฟบุบบิบบิ่น แล้วเขย่า ทุกคนจับฉลากทีละคน
ฝ้ายเปิดก่อน ทำเสียงตกใจแบบโอเวอร์ “ว้าย… ไม่ใช่”
เอกแค่ยักไหล่เฉย ๆ แดงกางใบของตัวเองออก พยักหน้าเบา ๆ แบบคนที่เพิ่งได้ใบสั่งจอดในที่ห้ามจอด
ถึงตาบอล เขาค่อย ๆ เปิดช้า ๆ แล้วหยุด
“BB… อีกละเหรอวะ?”
“BB = Ball Barz,” พี่ต้นยิ้ม
“กูว่ามันย่อมาจาก ‘บาปเบา ๆ’ มากกว่า”
“ไม่เอาเว้ย กูไม่ใช่เจ้าชายอะ มึงดูเนื้อดิ Hey, boy—it’s time to sell yourself …กูยังหลอกให้บัตรเครดิตเชื่อกูไม่ได้เลย จะให้กูหลอกใครอีกวะ”
ฝ้ายเงยหน้าขึ้นในที่สุด “หรือกรณ์เขียนมาเผื่อคนแบบมึงเลยก็ได้นะ จริงใจแต่ซับพอร์ตไม่ได้”
“ขอบใจมาก กูรู้สึกเหมือนเป็นจดหมายขอบคุณจากธนาคารเลยตอนนี้”
ถึงอย่างนั้น บอลก็ลุก เดินวน ยักไหล่แบบคนที่กำลังจะขายหน้าด้วยศักดิ์ศรี
“ลองก่อนละกัน… ถ้าเหี้ย ค่อยลบออกก็ได้”
เขาเอนหน้าเข้าหาไมค์ สายตาไล่อ่านเนื้ออีกครั้ง
ท่อนแรก — สั่น
ท่อนสอง — ช้า
ท่อนสาม — เข้าจังหวะ
🎶 “Boy, you mean it? Hey, boy—it’s time to sell yourself. You’re proud to fake it, be the great boy.” 🎶
ทุกคนเงียบ แดงที่เงียบมาตลอดเล่นโน้ตฮาร์โมนิกตอบรับ เบา แต่แม่น เอกกดปุ่มอัดเสียงมือหนึ่ง อีกมือยังประคองจังหวะ ฝ้ายแตะเปียโนหนึ่งคีย์ ค้างไว้ ต้นเหมือนจะพูดอะไรประชด แต่ก็ไม่พูด
บอลเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “โอเค… กูรอดปะ?”
ต้นพยักหน้า ช้า ๆ
“เพลงนี้แม่งไม่ได้ต้องการเจ้าชาย… มันต้องการคนที่กล้าพูดความจริง”
ฝ้ายเลิกคิ้ว “แล้วกรณ์รู้มั้ยว่าเพลงมันจะกลายเป็นแบบนี้”
“ไม่รู้… แต่กูว่าถ้ารู้ เขาน่าจะพยักหน้าอยู่เงียบ ๆ ที่ไหนสักแห่ง”
ทุกคนพยักหน้า
ต้นตบมือหนึ่งที สั้น ๆ “Take one. ส่งเลย”
แล้ว take นั้นก็กลายเป็น take จริง
Sponsored Ads
———————
แร็ปแบบที่ไม่มีใครเตรียมใจ
โน้ตบุ๊คเครื่องใหม่บูตขึ้นมาพร้อมเสียงจิ๊งเกิ้ลที่ฟังดูคล้ายโฆษณาวิดีโอเช่าวันศุกร์อย่างน่ากลัว ฉันวางมันไว้บนโต๊ะ ข้างพัดลมที่ไม่ยอมหมุนรอบ เหมือนมันก็เลือกข้างในชีวิตนี้ไปแล้ว
แล้วพิธีกรรมก็เริ่มขึ้น ฉันเสียบสายโทรศัพท์เข้าช่องโมเด็มเหมือนกำลังต่อระเบิด กดสวิตช์ รอเสียงศักดิ์สิทธิ์ ตึ๊ด… ตึ๊ด… ตี๊ด—แคร่ก! เสียงโมเด็มกรีดร้องเหมือนกำลังพูดกับวิญญาณที่ไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปแล้ว ฉันประสานมือ ไม่ใช่เพื่อสวดมนต์ แต่เพื่อกันตัวเองไม่ให้เผลอฟาดโมเด็มตกโต๊ะ
ลาเต้เดินเข้ามาในจังหวะ “แคร่ก” พอดี เขาหยุด จ้องโมเด็มเหมือนจะถามว่า นี่คือพิธีกรรมมนุษย์เพื่อเรียกปีศาจใช่ไหม
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก…” ฉันว่า “แต่ก็ใกล้แล้วแหละ”
อินบ็อกซ์ใช้เวลานานกว่าปกติ เหมือนต้องขออนุญาตจากกรมราชการดิจิทัลก่อน อีเมลใหม่กระพริบขึ้นบนหน้าจอ
Subject: ลองฟังดู — แต่ห้ามด่า
From: [email protected]
ฉันยังไม่เปิดทันที
แต่หันไปมองโฟลเดอร์ชื่อ “Unsent Demos” แทน แล้วซองสีน้ำตาลจากกรมทรัพย์สินฯ ที่ยังวางอยู่บนเตียง เหมือนจะบอกว่า “แม้แต่กระดาษก็เหนื่อยได้”
ฉันคลิก ไฟล์ .wav โหลดขึ้นมาด้วยความสง่างามระดับช้างเมา
ที่ข้างนอก เสียงจราจรบ่นวนเป็นลูป ส่วนข้างใน พยานเพียงตัวเดียวคือแมวที่เพิ่งกลับมาจากมิติเงาที่แมวไปตอนคนทำงานเอกสาร
ลาเต้กระโดดขึ้นโต๊ะ ตัวกลิ้งทับกล่องซีดีที่ยังไม่ได้แกะ เขามองหน้าจอ แล้วตัดสินใจนั่งทับปุ่ม “Esc” ไว้ดื้อ ๆ
“อย่าเพิ่งขัดสิ ลาเต้” ฉันพึมพำ พลางขยับโน้ตบุ๊กหนีหางที่เหวี่ยงเหมือนท่อนคอรัสที่โดนตัดไป
แล้วเพลงก็เริ่ม เริ่มจากคอร์ดที่คุ้น คอร์ดที่ฉันเขียนตอนง่วงจัด กาแฟเกิน และค่าเช่าขาด ตามด้วยเสียงพี่ต้น คม มั่นใจ ล้ำหน้าความประชดตัวเองสองก้าว จนกระทั่งมาถึงเสียงของบอล ในท่อนแร็ป แบบผู้ชายที่ถูกประวัติการเงินของตัวเองไล่ล่า แล้วดัดมันเป็นคำคล้องจอง
🎶 “Girls in the club like there’s no girl Wanna thrive in the crowd for the punk freak…” 🎶
ฉันหลุดขำ ดังด้วย ลาเต้สะดุ้ง หางปัดแฟ้มตกพื้นเสียง ปึ้ก เขาหันมาจ้องเหมือนจะบอกว่า ไม่เห็นจะตลก
ฉันเอามือปิดปาก ไม่ใช่เพราะละอาย แค่เคยชิน มันนานแล้วที่อะไรจากฉันทำให้ฉันรู้สึกแบบอื่น นอกจาก “มันพอจะจ่ายให้ลุงเอ๋ได้ไหม”
ฉันกดฟังอีกรอบ คราวนี้ ฉันตั้งใจฟังจริง ๆ ลมหายใจระหว่างบรรทัด ความเงาระหว่างความจริงกับจังหวะ
มันยังไม่เนี้ยบ มันยังขายไม่ได้ มันไม่ใช่เจ้าชาย
แต่มันเหมือนเสียงของคนที่ตะโกนจากหลังห้องเรียน หวังว่าครู หรือแค่ใครสักคน จะได้ยิน
ลาเต้ขยับไปนั่งทับแผ่นพับของแมคโดนัลด์ที่หล่นอยู่ หน้าของเขาคือคำว่า พิมพ์ได้แล้วในร่างแมว
ฉันเปิดไฟล์ Word เปล่า มีแค่เคอร์เซอร์กระพริบ แล้วพิมพ์ “โบว์แดง” มันยังไม่ได้เริ่ม แต่ในที่สุด… มันก็มีเสียง
Sponsored Ads
0 Comments