098-อยู่ในระบบ แต่ไม่อยู่ในลิ้นชัก
by S.J. Raventideมีความเงียบแบบพิเศษอยู่ชนิดหนึ่งในห้องประชุมบริษัท
ไม่ใช่ความเงียบเพราะเคารพ ไม่ใช่ความเงียบเพราะกำลังคิดอะไรสร้างสรรค์ แต่เป็นความเงียบแบบที่ทุกคนกำลังเช็กในใจว่า “เราเผลอเซ็นขายอนาคตตัวเองด้วยปากกาน้ำเงินไปรึยังวะ”
Sponsored Ads
ห้องประชุมของพึ่งใจมิวสิคมีเสน่ห์พอ ๆ กับคลินิกที่ลืมไปว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนไข้ โต๊ะยาว เก้าอี้แข็ง กระดานไวท์บอร์ดที่เส้นกำหนดวันหมดอายุยังอยู่ครบ ตู้กดน้ำเย็นที่ยอมแพ้ไปตั้งแต่มีนา
“คุณโอขอห้านาทีนะครับ กำลังลงมา”
ผู้ช่วยพูดด้วยน้ำเสียงแบบเครื่องตอบรับอัตโนมัติที่ไม่หวังให้ใครกด 0 แล้วยื่นแฟ้มให้ฉัน เหมือนกำลังส่งสัญญา หรือไม่ก็จดหมายเรียกค่าไถ่ ซึ่งอาจเป็นทั้งคู่ก็ได้
ฉันเปิดดู ข้างในมีชื่อฉันอยู่ทุกเพลง
ดึงดัน – ธนากร สิริพงษ์ชัย
เจ้าชายในฝัน – ธนากร สิริพงษ์ชัย
สะอาดครบเครดิตเต็ม พร้อมจะถูกตีความผิดโดยฝ่ายการตลาดได้ทุกเมื่อ
ประตูเปิดแบบซ้อมมาดี คุณโอเดินเข้ามาด้วยจังหวะเนียนกริบของคนที่ดูวิดีโอสร้างแรงบันดาลใจจากเทป VHS มากเกินไป ป้ายชื่อเหมือนของเด็กฝึกงาน—พลาสติกขาว ตัวอักษร Arial แปะทับโลโก้ “Pheungjai Values” ที่สีซีด ปากกาหนีบแฟ้มเขียนว่า “TEAMWORK WINS” แต่หมึกครึ่งแท่ง เหมือนสโลแกนที่เหลือครึ่งความจริง
“คุณกรณ์ ขอโทษที่ให้รอครับ เอกสารโอเคนะครับ?”
เขานั่งตรงข้ามฉันราวกับว่าเรามีสถานะเท่ากัน ซึ่งเราทั้งคู่ก็รู้ดีว่ามันน่ารักแค่ไหน
“ครับ เรียบร้อยครับ”
ฉันตอบสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่ากำลังเจรจาหรือถูกดูดกลืนอย่างเงียบ ๆ
“สองเพลงนี้ ทางทีมคิดว่าน่าจะไปต่อได้อีกครับ รายการทีวี งานรัฐ งานกลางแจ้ง เราจะขอสิทธิ์เผยแพร่ซ้ำในนามวงและค่ายด้วย… โอเคไหมครับ?”
“ถ้าเครดิตยังเป็นชื่อผมครบ ผมโอเคครับ”
น้ำเสียงราบเรียบ เหมือนคนรู้ว่ามันไม่ใช่ชัยชนะ แต่ก็ไม่ใช่การยอมแพ้ สัญญาใหม่เพิ่ม bonus tier ยอดทุก 50,000 ชุดหลังจากนี้ จะบวกเพิ่ม 0.25% ของ Net ให้คนแต่ง
เขาพยักหน้า แล้วขีดอะไรลงกระดาษ แบบที่รู้ว่าถ้าอ่านละเอียด จะเจอเชิงอรรถเล็ก ๆ ว่า “คำนวณจากยอดขายที่ยืนยันแล้ว”
“จริง ๆ ผมมีอีกเรื่องครับ”
คุณโอหมุนปากกาเหมือนดีเจที่เปิดแต่กฎหมายลิขสิทธิ์
“สมมุติมีคนติดต่อจากข้างนอก อยากใช้เพลงคุณ เช่นทำหนัง ละคร หรือแคมเปญอะไร คุณอยากให้เขาติดต่อคุณโดยตรง หรือให้เราจัดการให้?”
“หมายถึง… ถ้าจะใช้เพลงผมโดยที่ผมไม่รู้?”
“ไม่ใช่ไม่รู้ครับ เราจะแจ้งแน่นอน แค่…ให้สิทธิ์ไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ต้องรอ”
เขายิ้มเหมือนนี่คือการทำบุญ เหมือนเร่งระบบจะมีแต่ข้อดีสำหรับฉันเสมอ
“งั้นก็แล้วแต่คุณจะเรียกครับ”
ฉันยักไหล่
“ผมแค่ไม่อยากให้เพลงมันไปเร็วกว่าเจตนา”
เขาหยุดหมุนปากกา วางสัญญาอีกชุดตรงหน้า
“อันนี้เผื่อคุณอยากทบทวน”
ฉันเซ็นในต้นฉบับช้า ๆ ระวังตอนเขียนปี “2001” ให้ดูเหมือนตั้งใจ ไม่ใช่พลาด ระหว่างปิดฝาปากกา ฉันมองไปรอบโต๊ะ โต๊ะที่ครั้งหนึ่งเคยวางเนื้อเพลง แต่วันนี้วางบรรทัดสัญญาแทน
และสิ่งเดียวที่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์ในห้องนี้… คือความเงียบของฉัน
Sponsored Ads
———————
สัญญาปากเปล่า
ฉันเจอพี่ต้นตรงที่คาดไว้เป๊ะ พิงฟุตบาทหลังตึก ข้างที่เขี่ยบุหรี่แตกที่ไม่ได้เจอของจริงตั้งแต่ยุค 90 ในมือมีถุงกาแฟเย็น ส่วนเท้าเหยียบบุหรี่เมนทอลไว้เหมือนกำลังสอนให้มันรู้จักวินัย
“เป็นไงมึง เซ็นรึยัง?”
ถามทั้งที่ไม่แม้แต่จะมองหน้า
“เรียบร้อยครับพี่”
เขาดูดกาแฟเหมือนได้รางวัลจากการที่เชื่อใจฉัน หรือไม่ก็รางวัลจากการไม่ต้องเข้าไปนั่งประชุมเอง
“ขอสิทธิ์เผยแพร่ซ้ำตามระบบป่ะ?”
“ครับ”
“เครดิตครบ?”
“ครับ”
“มึงไม่ได้เซ็นชีวิตให้เขาใช่มั้ย?”
“ยังครับพี่ ยังมีลมหายใจอยู่”
นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมา ไม่ดังมาก แค่พอให้รู้สึกว่า “มึงก็ยังเป็นมึงอยู่ดี”
“ดี กูจะได้ไม่ต้องไลฟ์สดแถลงข่าวให้มึงจากวัดโพธิ์”
เรายืนเงียบกันอยู่พักหนึ่ง เมืองด้านหลังยังบดเสียงใส่เหมือนเคย พี่ต้นหยิบไฟแช็กจากกระเป๋า พลิกเปิดปิดโดยไม่จุดไฟใด ๆ
“เพลงแม่งโคตรเดินเลยนะ”
พูดเหมือนมันเป็นปัญหา ที่เป็นปัญหาดี ๆ
“แต่เดินคนละทางกับระบบนิดหน่อย”
“แล้วพี่จะปล่อยให้เดินต่อไหมล่ะ”
“ปล่อยดิ กูมันแค่คนแบกแอมป์ ไม่ใช่คนคุมแทร็ก”
เขาจุดบุหรี่ในที่สุด ไฟกระพริบหนึ่งครั้งก่อนติดสนิท เหมือนมันมีอาการประหม่าเวที
“บอลมันยังไม่รู้ว่ามึงจะมีรายได้เพิ่มจากสองเพลงนี้ กูบอกมันไปแค่ว่ามึงผ่านแล้ว”
“แล้วมันว่าไง”
“มันบอกว่าถ้ามึงได้เกินจุดสองห้า มันจะเอาชุดพนักงานพึ่งใจมาใส่เล่นเบส”
ฉันพยักหน้า ถือว่ายุติธรรม
“ฝ้ายบอกให้มึงถ่ายซองสัญญาตอนรับด้วย เผื่อมีรางวัลปลอบใจนักแต่งแนบมา”
ฉันหลุดหัวเราะ “ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับพี่”
“มึงจะเขียนเพลงที่สามเลยมั้ย?”
“ยังไม่ได้คิดเลยพี่ แค่อยากให้เพลงสองมันเดินไปก่อน”
พี่ต้นสะบัดขี้เถ้าลงท่อ แล้วพยักหน้าแบบให้เกียรติในคำตอบ แล้วอยู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา
“เพลงนี้… ถ้าเพิ่มเสียง harmony อีกนิด มึงว่าใครจะเหมาะ?”
ฉันกะพริบตา
“หมายถึงของฝ้าย?”
“ใช่ ดึงดันน่ะ harmony ฝ้ายดีอยู่ แต่แม่งยังได้อีก”
ฉันไม่ตอบทันที เพราะรู้แน่ว่าเขาหมายถึงใคร และฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอ่ยชื่อนั้นออกมาดัง ๆ ได้ไหม
ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้
พี่ต้นไม่ได้เร่ง แค่ดับบุหรี่ บดด้วยส้นเท้า แล้วพูดว่า
“กูถามเฉย ๆ นะมึง ไม่ได้รีบ”
“แต่ถ้ามึงจะชวนใครมา harmony เพลงนี้ กูว่าคนดูจะอยากฟัง… ไม่ใช่เพราะเสียงดีหรอก”
“เพราะมันเป็นชื่อที่ทำให้คนหยุดพูดแล้วฟัง”
ฉันมองไปที่ผนังว่างหลังช่องช่องบรรทุกสินค้า
“ไว้ฉันคิดออกเมื่อไหร่ จะบอกพี่คนแรกเลยครับ”
เขายิ้มเหมือนเชื่อ และเหมือนรู้อยู่แล้ว
Sponsored Ads
———————
ไม่ได้อยู่ในลิ้นชักใคร
เพลงนี้ไม่อยู่ในเพลย์ลิสต์ของที่ไหนทั้งนั้น ไม่ติดสถานีวิทยุ ไม่อยู่ใน VCD และไม่โผล่แม้แต่ในรวมฮิตเถื่อนแบบ “เพลงที่คุณพลาด” มันเล็ดลอดมาจากลำโพงติดเพดานขนาดเท่าทุเรียน วางเยื้อง ๆ เหมือนคนติดตั้งหมดไฟกลางทาง
คาเฟ่มีหกโต๊ะ สามโต๊ะถูกครอบครองโดยนักเขียนบทที่ไม่ได้เขียนอะไรตั้งแต่มื้อเที่ยง เมนูสะกดคำว่า “cappuccino” สี่แบบ และบาริสตาหน้าตาเหมือนอยู่ปีสุดท้ายของคณะนิเทศ
แผ่น CD เดโมในกล่องพลาสติกใส มีสติกเกอร์วงกลมเขียนด้วยปากกาเมจิกว่า “ใต้แผ่นเสียง Vol.4” ใครสักคนกดเพลย์แล้วก็เดินหายไป
นีน่าไม่ถาม เธอแค่ฟัง
ไลน์เบสครางต่ำแบบที่พอจะเดาได้ว่าห้องอัดมีฉนวนแค่ครึ่งเดียว กลองช้าแต่ไม่หลวม เหมือนจงใจให้คำพูดแทรกตัวเข้าไป เสียงผู้หญิง ยังไม่แน่น เสียงยังแตกตรงปลายประโยค แต่มีบางอย่างที่ซื่อจนทำให้ทุกอย่างฟังดูจริง
เธอจิบเครื่องดื่มในถ้วยเซรามิกทรงถั่วไต แอร์ในร้านสะอึกหนึ่งที ก่อนถอนหายใจยาวเหมือนเทคสุดท้ายที่ไม่มีใครกดบันทึก
🎶 “เพราะเธอรักก็เพียงแค่แต่เขา เราก็ต้องทำความเข้าใจเอา
เพราะรักฉันนั้นไม่ใช่รักเรา เธอรักเขา” 🎶
โต๊ะข้าง ๆ มีคนหัวเราะ ไม่ได้หัวเราะเนื้อเพลง แต่หัวเราะมือถือที่ยังโหลด Snake II ไม่เสร็จ
เสียงแบบนี้… อยู่ได้ไม่นานหรอก เธอรู้ดี เธอเอียงหู ฟังท่อนฮุคที่เหมือนจะพาไปทางหนึ่ง แล้วกลับลำอย่างตั้งใจ
ลายมือกรณ์ชัดเจน ไม่ต้องมีเครดิตก็รู้ เขามีวิธีซ่อนคำไว้ในท่อนบริดจ์ เหมือนกำลังพับกระดาษแผ่นเล็กซ่อนไว้ใต้ฝาขวดที่ไม่มีใครเปิด
แต่เสียงนี่ล่ะ? เธอไม่รู้ว่าเป็นของใคร และมันก็ไม่สำคัญนัก
ระบบไม่เอาเสียงแบบนี้หรอก เสียงที่ไม่ค่อยยอมวางใจใคร เสียงที่ไม่ขอความเห็นใจจากเครื่องตั้งเวลา
เธอเคยได้ยินประโยคนี้มาแล้ว ตอนปี 2538
“นีน่า… เสียงน้องลึกไปนิดนึงนะครับ เดี๋ยวเด็กจะร้องตามไม่ได้”
ตอนนั้นเธออายุยี่สิบเอ็ด พวกเขาให้เธออัดคอรัสใหม่ให้สูงขึ้นหนึ่งออคเทฟ แล้วใส่เสียงกระซิบของใครอีกคนที่ใส่กระโปรงสั้นได้ดีกว่า
เวอร์ชันนั้นติดชาร์ตหกสัปดาห์ ส่วนต้นฉบับ? ไม่เคยออกจากลิ้นชักโปรดิวเซอร์
นีน่าหายใจช้า ๆ หลับตา
“เสียงแบบนี้… ถ้าไม่มีเสียงระบบแทรกอยู่ ค่ายไม่ปล่อยหรอก”
มันไม่ใช่คำบ่น ไม่ใช่คำพิพากษา แค่ความทรงจำที่เธอทิ้งไม่ลง
พัดลมติดผนังในร้านเอียงคอครืดหนึ่งที เหมือนกำลังจะปรบมือให้เงียบ ๆ ข้างนอกมีเสียงท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์ดังปัง ไม่มีใครสะดุ้ง
และที่ไหนสักแห่งในเสียงผู้หญิงคนนั้น มีความต้องการให้ใครสักคนได้ยิน แต่ลึกกว่านั้น เธอได้ยินบางอย่างที่หาได้ยากกว่า
ความเสี่ยง
ที่ไม่มีใครกล้าทำ เว้นแต่ว่าแน่ใจว่าไม่มีใครมอง หรือไม่ก็แอบหวังว่ามี
นีน่ายังไม่รู้ว่าเพลงนี้จะรอดไหม
แต่เธอรู้ว่า ถ้ามันได้ออกอากาศโดยไม่ถูก “แก้” มันจะถูกลืมเร็วมาก
แต่การโยนหัวก้อยแบบนี้… เธอก็เคยเอาชื่อเข้าแลกมาแล้วหลายครั้ง
Sponsored Ads
———————
ห้องเดิมที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม
พัดลมเพดานหมุนแรงเหมือนกำลังพยายามหนีเพดาน ฉันวางกุญแจลงบนชั้นที่เคยเป็นที่วางทีวี ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงทำงาน
ลาเต้กลับมาบ้านแล้ว ได้อย่างไร ก็ไม่รู้
บางครั้งฉันคิดว่าเขามีกุญแจ บางครั้งก็แน่ใจว่าเขาไม่ต้องใช้กุญแจเลย เคยเจอเขานอนขดบนหม้อหุงข้าว บางวันก็ในกล่องกีตาร์ ถ้าวันไหนกลับมาแล้วเจอเขาอยู่บนพัดลมเพดาน ฉันก็คงไม่ถามอะไรเลย
เขานั่งอยู่บนพื้น มองไปที่มุมซึ่งพอร์ตอินเทอร์เน็ตไม่เคยทำงาน ไม่ว่าตอนย้ายมาใหม่ หรือแม้แต่ตอนพยายามซ่อมด้วยเทปพันสายยืมมาและสามผู้ให้บริการที่ต่างกัน
“อย่าบอกนะว่า… นายก็คิดถึงเน็ต” ฉันพึมพำ
แม้แต่เสียงหวีดของโมเด็ม 56k เหมือนหุ่นยนต์กำลังชัก ก็คงรู้สึกเหมือนก้าวหน้า อย่างน้อยเสียงก็หมายความว่ามีอะไรพยายามจะเชื่อมต่อ
เขาไม่กระพริบตา แค่สะบัดหางแล้วตีซองกระดาษ มันคือบิลค่าเช่าของเดือนนี้ 5,000 บาท แปะเอียง ๆ บนหน้าซองเหมือนสติ๊กเกอร์เตือนบนของเล่นนำเข้า
ลาเต้ปัดซองอีกที หูแบนลงแบบประกาศว่า ไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะทิ้งตัวลงในกล่องไมโครเวฟเก่า กล่องที่มันไม่ยอมให้ฉันทิ้ง เหมือนเก็บไว้ใช้เป็นสำนักงานประจำตัว
ฉันมองบิล มองแมว แล้วเงยหน้ามองเพดานที่ยังอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังรอดูว่าฉันจะเป็นฝ่ายแพ้ก่อนหรือไม่
สองเพลงกับ bonus tier 0.25% ของยอดทุก 50,000 ชุด ยังเล็ก แต่ก็ไม่ใช่ศูนย์อีกแล้ว
ถึงอย่างนั้น… พื้นก็ยังลั่นทุกครั้งที่ขยับตัว หน้าต่างต้องใช้สองมือบวกไหล่กระแทกถึงจะยอมเปิด ห้องน้ำไม่มีที่แขวนผ้าเช็ดตัว ต้องใช้ประตูห้องน้ำเป็นที่แขวน แล้วก็ห้ามลืม เพราะถ้าลืม แขวนใหม่ตอนอาบน้ำคือความเสี่ยงระดับเกมจับเวลา
เสียงจากห้องข้าง ๆ เหมือนอัดเทปวิทยุเทปหนึ่งไว้ตั้งแต่ยุคอัลเบิร์ตนั่งบนม้านั่ง แล้วกดวนลูปทุกคืน “ฟังไม่ทันไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาเปิดให้ใหม่พรุ่งนี้”
ค่าเช่าไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ใบเสร็จ ฃเงินมัดจำที่ไม่มีวันได้คืน เจ้าของห้องที่คิดว่าฉันทำงานคอลเซ็นเตอร์ และกลิ่นอับที่มาเยือนทุกเดือนมิถุนายนเหมือนเก็บภาษี
ฉันไม่ได้อยากได้หรูหรา แค่อยากได้เตาที่ใช้ทำกับข้าวจริง ไม่ใช่แค่อุ่น อยากได้ดาดฟ้าที่ลาเต้เดินแล้วไม่เก็บคราบน้ำมันติดเท้า ที่ที่ฟ้าไม่ถูกแย่งด้วยราวตากผ้าและเสาอากาศทีวี
หลอดไฟกระพริบหนึ่งที เหมือนขำมุกที่ไม่มีใครเล่า แล้วก็ดับไป
ฉันไม่ได้ลุกขึ้น ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม ในกล่อง ลาเต้กรนเบา ๆ แบบคนที่ไม่เคยจ่ายค่าเช่า ฉันมองเขา มองกล่อง แล้วพ่นลมหายใจออกทางจมูก
เสียงพัดลมยังดังเหมือนแร็ปเปอร์แก่ ๆ ที่ยืนอยู่บนเพดานพยายามจะฟรีสไตล์แต่หลงจังหวะ ซองค่าเช่าปลิวไปกับลมจากพัดลม เหมือนมันจะรีบหนีไปก่อนฉัน อย่างน้อยก็มีบางอย่างในห้องนี้ที่ทำตัวกระตือรือร้น
Sponsored Ads
0 Comments