You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com

    The City Born Great by N. K. Jemisin

    Won Eugie Award in 2017

    ฉันร้องเพลงให้เมืองนี้

    ไอ้เมืองบ้านี่แหละ ฉันยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกที่ไม่ได้อาศัยอยู่ แผ่แขนออก กดท้องแน่น แล้วแผดเสียงอ้อแอ้ไร้ความหมายใส่ไซต์ก่อสร้างที่บังวิว ฉันตั้งใจร้องให้เส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป เมืองมันจะเข้าใจเองแหละ

    เช้าตรู่ ความชื้นของมันทำให้กางเกงยีนส์ฉันเหนียวหนึบ หรืออาจเพราะไม่ได้ซักมาหลายสัปดาห์ก็ได้ มีเงินพอซักอบอยู่นะ แค่ไม่มีชุดสำรองจะใส่ระหว่างรอ อาจเอาเงินนั่นไปซื้อกางเกงที่ร้านของบริจาคท้ายซอยแทน…แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ขอให้ฉันได้ร้อง “อ้าาาาาาาาาาาาาาาา (หายใจ) อ้าาาาาาาาาาาาาาาา” จนเสียงสะท้อนกลับมาจากหน้าตึกข้าง ๆ ให้เสร็จก่อน

    ในหัวฉันมีออร์เคสตร้าบรรเลง “Ode to Joy” แบบมีบีตใต้ของ Busta Rhymes เสียงฉันแค่ทำหน้าที่ผูกทุกอย่างไว้ด้วยกัน

    “หุบปากซะทีเหอะ ไอ้เหี้ย!” มีเสียงตะโกนขึ้นมา

    ฉันเลยโค้งขอบคุณแล้วออกจากเวที

    แต่มือยังจับลูกบิดประตูดาดฟ้าไว้ ฉันหันกลับไป ฟังอีกครั้ง เพราะมีบางอย่าง ไกลแต่ใกล้ ร้องตอบฉันกลับมา เสียงต่ำลึกแบบเบส ออกจะขี้เล่นนิด ๆ

    และจากที่ไกลยิ่งกว่า ฉันได้ยินอีกเสียง เสียงครางต่ำลึกที่ไม่เข้ากับอะไรเลย หรืออาจเป็นเสียงไซเรนตำรวจก็ได้? ไม่ว่าจะเสียงไหน ฉันก็ไม่ชอบอยู่ดี เลยรีบลงมา

    Sponsored Ads

    “มันมีวิธีของมันนะ วิธีที่เรื่องแบบนี้ควรจะเป็น” เปาโลพูด เขากำลังสูบอีกแล้ว ไอ้บ้าควัน ไม่เคยเห็นเขากินข้าวเลย ปากมีไว้สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ แล้วก็พูด น่าเสียดาย—ปากเขาน่ะสวยอยู่หรอก

    เรานั่งอยู่ในคาเฟ่ ฉันนั่งกับเขาเพราะเขาเลี้ยงข้าวเช้า คนในร้านมองเขาเพราะเขาเป็น “ไม่ขาว” แบบที่พวกนั้นแยกไม่ออกว่าเชื้อชาติไหน ส่วนฉันโดนจ้องเพราะฉัน “ดำแน่ ๆ” แถมเสื้อผ้ายังขาดในจุดที่ไม่ได้ตั้งใจให้ดูมีสไตล์ ถึงจะไม่เหม็น แต่คนพวกนี้มันดมกลิ่นคนไม่มีมรดกสักดอลลาร์ได้จากระยะไมล์

    “อืม” ฉันตอบ พลางกัดไข่แซนด์วิชเข้าไปแทบจะเยี่ยวแตก ไข่จริง ๆ! ชีสสวิส! ดีกว่าขยะของแมคโดนัลด์ไม่รู้กี่โลก

    เขาชอบพูดคนเดียว ฉันก็ชอบสำเนียงเขานะ ออกจะนาสาละลิ้น ไม่เหมือนพวกพูดสเปนเลย ตาเขาโตมาก และฉันก็คิดว่าถ้าฉันมีตาแป๋วแบบนี้ล่ะก็ คงหนีเรื่องเหี้ย ๆ ได้อีกเยอะ แต่เขาก็ดูแก่กว่าที่เห็นมาก…แบบโคตร ๆ ตรงขมับมีผมหงอกนิด ๆ พอให้ดูมีภูมิฐาน แต่เขาให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์อายุร้อยปี

    เขาก็มองฉันเหมือนกัน แต่มองแบบไม่ใช่แนวที่ฉันคุ้น “เธอฟังอยู่รึเปล่า?” เขาถาม “มันสำคัญนะ”

    “ฟังอยู่” ฉันตอบ แล้วกัดแซนด์วิชอีกคำ

    เขาโน้มตัวมาข้างหน้า “ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ฮงต้องลากฉันลงไปในท่อที่ทั้งเหม็นทั้งมืด แล้วชี้ให้ดูรากที่เริ่มโต กับฟันที่เริ่มขึ้น ฉันได้ยินเสียงหายใจมาตลอดชีวิต คิดว่าทุกคนได้ยิน”

    เขาหยุด “เธอได้ยินยัง?”

    “ได้ยินอะไร?” ฉันถาม ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ผิดแหง ๆ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ฟังนะ ฉันแค่ไม่แคร์เฉย ๆ

    เขาถอนหายใจ “ฟังให้ดี”

    Sponsored Ads

    “ฉันฟังอยู่!”

    “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายถึง ฟัง แต่ไม่ใช่ฟังฉัน” เขาว่า แล้วก็ลุกขึ้น โยนแบงค์ยี่สิบไว้บนโต๊ะ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่จำเป็น เพราะเขาจ่ายค่าขนมปังกับกาแฟที่เคาน์เตอร์ไปแล้ว ร้านนี้ก็ไม่ได้มีพนักงานบริการถึงโต๊ะด้วยซ้ำ

    “เจอกันที่นี่อีกทีวันพฤหัสฯ”

    ฉันหยิบแบงค์ขึ้นมาคลึงปลายนิ้ว แล้วก็เก็บใส่กระเป๋า จริง ๆ แค่แซนด์วิชนั่นฉันก็ยอมให้เขาอยู่แล้ว หรือเพราะตาเขาสวยก็ไม่แน่ แต่เอาเหอะ

    “แล้วนายมีที่อยู่ไหม?”

    เขากะพริบตา แล้วดูหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย “ฟัง” เขาสั่งอีกครั้ง แล้วก็เดินออกไป

    ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ ยื้อขนมปังให้เหลือคำสุดท้าย จิบกาแฟที่เขาทิ้งไว้ แล้วปล่อยให้ตัวเองจมไปในจินตนาการของการเป็น ‘คนปกติ’ ฉันดูผู้คนในร้าน วิจารณ์เสื้อผ้าไปพลาง แต่งกลอนสด ๆ เกี่ยวกับเด็กสาวผิวขาวรวย ๆ ที่นั่งอยู่ในคาเฟ่ แล้วบังเอิญเห็นเด็กหนุ่มผิวดำจน ๆ คนนึงเข้า จนเกิดวิกฤตตัวตนเฉียบพลันขึ้นมา

    ฉันจินตนาการว่าเปาโลจะประทับใจความซับซ้อนในความคิดฉัน มองฉันด้วยสายตาชื่นชม แทนที่จะคิดว่าฉันเป็นแค่เด็กข้างถนนที่ไม่ยอมฟังใคร ฉันวาดภาพตัวเองกลับไปยังอพาร์ตเมนต์ดี ๆ เตียงนุ่ม ๆ ตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของกิน

    แล้วตำรวจก็เข้ามา ชายอ้วนหน้าแดง ๆ มาซื้อกาแฟฮิปสเตอร์ให้ตัวเองกับคู่หูที่รอในรถ เขากวาดตามองทั่วร้านแบบไร้ความรู้สึก

    ฉันจินตนาการว่ามีกระจกหมุนวนรอบหัวฉัน เป็นทรงกระบอกที่หมุนอยู่ตลอดเวลา ทำให้สายตาเขาสะท้อนกลับไป ไม่ใช่เวทมนตร์อะไรหรอก แค่เทคนิคเอาตัวรอดตอนที่ปีศาจเดินมาใกล้ ๆ แต่ครั้งนี้ มันได้ผลขึ้นมานิดหน่อย ตำรวจมองไปรอบ ๆ แต่ไม่สะดุดกับใบหน้าคนดำคนเดียวในร้าน

    โชคดีอีกครั้ง ฉันหนีออกมาได้

    Sponsored Ads

    ฉันวาดเมืองนี้

    ตอนเรียนอยู่โรงเรียน มีศิลปินคนหนึ่งมาสอนทุกวันศุกร์ สอนเรื่องเปอร์สเปกทีฟ แสงเงา แล้วก็เรื่องไร้สาระอื่น ๆ ที่คนขาวจ่ายเงินเรียนในโรงเรียนศิลปะนั่นแหละ ยกเว้นว่าผู้ชายคนนี้เคยเรียนพวกนั้นมาแล้วจริง ๆ และเขาเป็นคนดำด้วย ฉันไม่เคยเห็นศิลปินผิวดำมาก่อนเลย ชั่วขณะหนึ่งฉันก็เผลอคิดเหมือนกัน—บางที ฉันก็อาจเป็นแบบนั้นได้

    บางทีฉันก็เป็นได้จริง ๆ

    ลึกเข้าไปในค่ำคืน บนดาดฟ้าแห่งหนึ่งในไชน่าทาวน์ ฉันถือสเปรย์ไว้สองมือ กับถังสีผนังแห้งที่ใครบางคนทิ้งไว้ข้างนอกหลังทาสีห้องรับแขกเป็นสีม่วงลาเวนเดอร์ ฉันเคลื่อนไหวด้วยท่าทางแบบปูเร่ร่อน หมุนวนเป็นวงแปลกตา สีที่อยู่ในถังนั่นใช้มากไม่ได้ เดี๋ยวมันจะร่อนหลังฝนตกสองสามรอบ สีสเปรย์ดีกว่าสำหรับทุกอย่าง แต่ฉันก็ชอบความต่างของพื้นผิว ดำเหลวบนพื้นหยาบสีม่วง ขอบแดงแต้มตามรอยดำ ฉันกำลังวาด “ช่อง” บางอย่าง ช่องที่ไม่ได้เริ่มต้นจากปาก และไม่สิ้นสุดที่ปอด สิ่งที่หายใจและกลืนกินตลอดเวลา โดยไม่เคยอิ่ม ไม่มีใครจะได้เห็นมันนอกจากพวกที่นั่งเครื่องบินเข้าลาการ์เดียจากตะวันตกเฉียงใต้ กับนักท่องเที่ยวบางคนที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ชมวิว แล้วก็ตำรวจอากาศของ NYPD

    แต่ฉันไม่แคร์ว่าพวกนั้นจะเห็นอะไร เพราะมันไม่ใช่สำหรับพวกเขา

    มันดึกมากแล้ว ฉันไม่มีที่นอนคืนนี้ เลยใช้เวลานี้เพื่อให้ตัวเองไม่หลับ ถ้าไม่ใช่สิ้นเดือน ฉันคงลงไปในรถไฟใต้ดิน แต่พวกตำรวจที่ยังไม่ทำยอดก็จะหาเรื่องฉัน ต้องระวังแถวนี้ด้วย เพราะมีเด็กจีนโง่ ๆ แถวคริสตี้สตรีทที่ชอบทำตัวเหมือนเป็นแก๊ง คิดว่าพื้นที่นี้เป็นถิ่น ฉันเลยก้มตัวให้ต่ำเข้าไว้ ฉันผอม ผิวคล้ำ นั่นก็ช่วยอยู่เหมือนกัน

    สิ่งเดียวที่ฉันอยากทำก็คือวาด เพราะมันอยู่ในตัวฉัน และฉันต้องปล่อยมันออกมา ฉันต้องเปิดช่องนี้ออก ฉันต้อง ฉันต้อง…

    …ใช่ ใช่

    เสียงแผ่วแปลก ๆ ดังขึ้นตอนฉันวาดเส้นสีดำสุดท้าย ฉันหยุด หันไปมองรอบ ๆ ด้วยความงง แล้วช่องที่ฉันเพิ่งวาดมันก็…ถอนหายใจ ลมหายใจใหญ่ หนัก ชื้น ไล้ผิวฉันเบา ๆ จนขนลุก

    ฉันไม่กลัว นี่แหละที่ฉันตั้งใจไว้ ถึงแม้จะไม่รู้ตัวตอนเริ่มก็เถอะ ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่รู้แน่ ๆ ว่าใช่

    ฉันหันกลับไป—ก็ยังเป็นแค่สีบนดาดฟ้าเหมือนเดิม

    เปาโลไม่ได้พูดเพ้อเจ้อเลย หรือบางที…แม่อาจพูดถูก ฉันอาจเพี้ยนมาตั้งแต่เกิดก็ได้

    ฉันกระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วโห่ร้องด้วยความดีใจ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม

    สองวันต่อจากนั้น ฉันเดินตะลุยทั่วเมือง วาด “ช่องหายใจ” ไว้ทุกที่ จนกว่าสีจะหมด

    Sponsored Ads

    ฉันเหนื่อยมากในวันที่เจอเปาโลอีกครั้ง จนเกือบล้มพุ่งทะลุกระจกหน้าร้านกาแฟ โชคดีที่เขาคว้าแขนฉันไว้ทัน แล้วลากฉันไปนั่งตรงม้านั่งรับรองลูกค้า

    “เธอเริ่มได้ยินมันแล้ว” เขาว่า เสียงเขาดูพอใจอย่างจริงใจ

    “ฉันได้ยินแค่กาแฟ” ฉันตอบ พลางกลั้วเสียงหาว ไม่แม้แต่จะพยายามกลั้น

    รถตำรวจแล่นผ่านไปด้านหน้า ฉันยังไม่เหนื่อยเกินกว่าจะจินตนาการตัวเองให้กลายเป็นแค่เงาในสายตา ไร้ตัวตน ไร้ค่า ไม่น่าทุบเพื่อความบันเทิงด้วยซ้ำ และมันได้ผลอีกครั้ง รถเลี้ยวผ่านโดยไม่สนใจ

    เปาโลไม่ตอบข้อเสนอแนะของฉัน เขานั่งลงข้าง ๆ สายตาเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพึมพำว่า “ใช่ เมืองนี้เริ่มหายใจได้โล่งขึ้นแล้ว เธอทำได้ดีนะ ทั้งที่ยังไม่เคยฝึก”

    “ฉันพยายาม”

    เขาหัวเราะเบา ๆ “ฉันแยกไม่ออกเลยว่าเธอไม่เชื่อ หรือแค่ไม่สนใจ”

    ฉันยักไหล่ “เชื่อก็ได้” ก็เชื่ออยู่นั่นแหละ แต่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ฉันหิว ท้องร้องโครก ฉันยังมีแบงก์ยี่สิบที่เขาเคยให้ไว้อยู่ แต่กะว่าจะเอาไปใช้ที่โบสถ์ที่ถนนพรอสเปกต์ ได้ข่าวว่ามีข้าวไก่ กรีนส์ แล้วก็คอร์นเบรดขายเป็นชุด ราคาถูกกว่าไปซื้อกาแฟแฟร์เทรดอะไรนั่นอีก

    เปาโลก้มลงมองท้องฉันตอนที่มันร้อง ฉันแกล้งยืดตัวขยับแขนขา พลางเกาหน่อย ๆ ตรงเหนือเอวโดยจงใจให้เสื้อเลิกขึ้นนิดนึง ศิลปินที่เคยมาโรงเรียนเราเคยพานายแบบมา แล้วชี้ให้ดูตรงสันกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ตรงสะโพกที่เขาเรียกว่า “สายคาดของอพอลโล” เปาโลมองตรงนั้นพอดี

    เอาสิ มากัดเบ็ดเถอะ ฉันต้องการที่นอนคืนนี้

    แต่แล้วสายตาเขาก็หรี่ลงอีกครั้ง มองสบตาฉัน “ฉันลืมไปเลย…” เขาว่าเสียงแผ่ว เหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า “เกือบจะลืมไป… ว่าครั้งหนึ่ง ฉันก็เคยเป็นเด็กจากสลัมเหมือนกัน”

    “แย่หน่อยนะ เม็กซิกันฟู้ดที่นิวยอร์กไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่” ฉันตอบ

    Sponsored Ads

    เขากะพริบตา แล้วกลับมายิ้มนิด ๆ อย่างขำขัน ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไป เคร่งขึ้น “เมืองนี้จะตาย” เขาพูด ไม่ได้ขึ้นเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะฉันฟังอยู่แล้ว จริงจังครั้งแรกในรอบหลายวัน เรื่องอาหาร เรื่องเอาตัวรอด มันมีความหมายกับฉัน

    “ถ้าเธอไม่เรียนรู้สิ่งที่ฉันจะสอน ถ้าเธอไม่ช่วย เวลาจะมาถึง แล้วเธอจะล้มเหลว เมืองนี้จะจบลงเหมือนปอมเปอี เหมือนแอตแลนติส เหมือนอีกนับสิบชื่อที่ไม่มีใครจดจำ ทั้งที่ผู้คนนับแสนเคยตายไปพร้อมพวกมัน” เขาหยุดนิดหน่อย ก่อนพูดต่อ “หรือไม่ก็คลอดตาย ตัวเมืองอาจยังอยู่ แต่หัวใจมันดับแล้ว ต้องรออีกหลายรุ่นกว่าจะฟื้นได้ แบบที่เกิดกับนิวออร์ลีนส์ แต่ต่อให้ไม่ตายทันที มันก็จะฆ่าเธออยู่ดี เพราะเธอเป็นตัวจุดชนวน ไม่ว่าจะพาไปสู่พลังหรือหายนะ”

    เปาโลพูดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่โผล่มา เรื่องเมืองที่ไม่มีอยู่จริง เรื่องสิ่งที่ไม่ควรเป็นไปได้ ลางบ้าบอ ฉันคิดว่าเขาพูดเพ้อ เพราะดันมาพูดกับฉัน เด็กบ้านแตกที่แม่ยังภาวนาให้ตายทุกวัน คนที่พระเจ้าคงเกลียดเกินให้อภัย และฉันก็เกลียดพระเจ้าคืนอย่างไม่คิดซ่อนด้วย แล้วทำไมพระเจ้าถึงจะเลือกฉันให้เป็นอะไรได้? นั่นแหละที่ทำให้ฉันฟังจริงจัง เพราะพระเจ้านั่นแหละ ฉันไม่จำเป็นต้องเชื่อในอะไร เพื่อให้มันพังชีวิตฉันได้

    “แล้วฉันควรทำไง” ฉันถามเสียงเรียบ

    เปาโลพยักหน้า สีหน้าดูสะใจนิด ๆ เหมือนเขาเพิ่งทำแต้มสำคัญ “อ้อ เธอก็แค่ไม่อยากตายน่ะสิ”

    ฉันลุกขึ้น ยืดตัว และรู้สึกว่าถนนใต้ฝ่าเท้ามันยาวขึ้นนิด ๆ เหมือนลมหายใจมันร้อนขึ้นพร้อมกับแสงแดดยามเช้า (ฉันจินตนาการไปเองรึเปล่า หรือมันเกิดขึ้นจริง แล้วฉันแค่จินตนาการว่ามันเกี่ยวกับฉัน?) “ไปตายซะ นั่นไม่ใช่เหตุผล”

    “งั้นเธอก็ไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าจะอยู่หรือตาย” น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นเหมือนคำถาม

    “ไม่ใช่เรื่องรอดตาย” ฉันตอบพลางสบตา “ยังไงวันหนึ่งฉันก็คงอดตาย หรือไม่ก็นอนตายคาหน้าหนาว หรือติดโรคอะไรที่ค่อย ๆ เน่าอยู่จนโรงพยาบาลต้องรับ ถึงไม่มีเงินหรือบ้านก็ตาม แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึง ฉันจะร้อง จะวาด จะเต้น จะเย็ด จะร้องไห้ให้กับเมืองนี้ เพราะมันเป็นของฉัน แม่งเป็นของฉันเลยนะ เข้าใจไหม?”

    ฉันจ้องหน้าเขาตรง ๆ แล้วพูดจบ “มันไม่ใช่เรื่องรอด มันคือการมีชีวิตอยู่ต่างหาก”

    เขาไม่ตอบทันที แต่หน้าตาเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เหมือนว่าเขาเพิ่งเริ่มฟังฉัน ฟังจริง ๆ

    แล้วเขาก็ลุกขึ้น พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำฉันออกไป เพื่อเริ่มบทเรียนจริงบทแรก

    นี่แหละ บทเรียนแรก:

    เมืองยิ่งใหญ่ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มันเกิด เติบโต อ่อนแรง และตายในวาระของมันเอง

    ก็ใช่แหละ ฟังดูเหมือนเรื่องพื้น ๆ ใครเคยเดินในเมืองจริง ๆ สักเมือง ก็คงสัมผัสได้บ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คนบ้านนอกที่เกลียดเมืองใหญ่น่ะ พวกนั้นไม่ได้กลัวลม ๆ แล้ง ๆ หรอก พวกเขากลัวของจริง เพราะเมืองมันเป็นของแปลก มันถ่วงโลกไว้ มันทำให้เนื้อผ้าของความเป็นจริงขาดออก เหมือน… เหมือนหลุมดำละมั้ง ใช่ (ฉันเคยเข้าไปเดินในพิพิธภัณฑ์บ้างนะ เย็นดี แล้วก็… Neil deGrasse Tyson นี่แม่งโคตรเท่)

    พอคนหลั่งไหลเข้ามา ทิ้งความแปลกประหลาดของตัวเองไว้แล้วจากไป ถูกแทนที่ด้วยคนใหม่ วังวนนี้จะค่อย ๆ ขยายแผลกว้างขึ้น ลึกขึ้น จนในที่สุดมันกลายเป็นโพรงเล็ก ๆ ที่ไม่เชื่อมกับอะไรเลย นอกจากเส้นด้ายบางเฉียบระหว่าง… บางสิ่ง กับ… บางสิ่ง ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแน่แหละ แต่โพรงนั่นคือสิ่งที่เมืองทำมาจากมัน

    แล้วตรงจุดนั้น การแยกออกจากโลกจริง ก็เริ่มเปลี่ยนกระบวนการ เมืองจะเริ่มแตกแขนง สะสมองค์ประกอบแปลกแยกต่าง ๆ ท่อน้ำทิ้งของมันจะไหลไปในที่ที่ไม่มีน้ำต้องใช้ ชุมชนแออัดจะงอกฟันออกมา ศูนย์ศิลปะจะมีกรงเล็บ เสียงจราจรและการก่อสร้างจะเริ่มมีจังหวะเป็นเหมือนหัวใจเต้น ถ้าใครบันทึกมันไว้แล้วเร่งสปีดดู มันจะมีชีวิต

    ไม่ใช่ทุกเมืองจะเดินมาถึงตรงนี้ มีเมืองยิ่งใหญ่หลายแห่งในทวีปนี้ที่เคยมีอยู่ก่อนยุคโคลัมบัส ก่อนพวกนั้นจะบุกมาฉีกพังทุกอย่าง พวกเราต้องเริ่มกันใหม่ เมืองอย่างนิวออร์ลีนส์ล้มเหลว แต่มันยังอยู่รอด และนั่นก็มีค่า มันอาจจะพยายามได้อีกครั้ง เม็กซิโกซิตี้ก็ใกล้มากแล้ว แต่ที่กำลังจะถึงก่อนใครทั้งหมด คือ นิวยอร์ก

    การตั้งครรภ์ของเมืองหนึ่งอาจใช้เวลายี่สิบปี สองร้อย หรือสองพันปีก็ได้ แต่ในที่สุดวันนั้นจะมาถึง สายสะดือจะถูกตัด เมืองจะกลายเป็นตัวของตัวเอง ยืนได้ด้วยขาของมันเอง แม้จะยังโอนเอน แต่ก็พร้อมจะ… ทำอะไรก็ได้ ที่สิ่งมีชีวิตรูปทรงเมืองยักษ์ที่มีความคิดจะทำ

    และก็เหมือนธรรมชาติส่วนอื่น ๆ ที่ไหนมีชีวิตใหม่ ที่นั่นก็มีบางอย่างจ้องจะกลืนกิน รอฉีกทึ้งความสดใหม่ กลืนไส้ก่อนที่มันจะได้ส่งเสียงแรกออกมา

    นั่นแหละ ทำไมเปาโลถึงมาหาฉัน ทำไมฉันถึงรู้วิธีเคลียร์ลมหายใจให้เมือง เหยียดถนนให้ยืดออก คลายกล้ามเนื้อยางมะตอย ฉันเป็นหมอตำแยของมัน เข้าใจไหม

    Sponsored Ads

    ฉันคือคนที่ขับเคลื่อนเมืองนี้ ขับมันทุกวัน ทุกเช้าแม่งเอ๊ย

    เปาโลพาฉันกลับ “บ้าน” มันก็แค่ห้องเช่าชั่วคราวของใครสักคนแถว Lower East Side สำหรับช่วงซัมเมอร์ แต่กลับรู้สึกเหมือนบ้านขึ้นมาจริง ๆ ฉันใช้ห้องอาบน้ำของเขาแบบไม่ขอ กินของในตู้เย็นของเขาโดยไม่ถาม แค่อยากรู้ว่าเขาจะว่าอะไร เปล่าเลย เขาไม่ทำเหี้ยอะไรสักอย่าง แค่สูบบุหรี่เหมือนจงใจยั่วให้ฉันหงุดหงิด

    ฉันได้ยินเสียงไซเรนจากถนนในละแวก ถี่ ใกล้ จนฉันเริ่มสงสัยแปลก ๆ ว่าพวกมันกำลังหาใครอยู่หรือเปล่า…ฉันไม่ได้พูดออกมา แต่เปาโลมองเห็นฉันกระตุกไหล่ เขาพูดว่า “ผู้เบิกทางของศัตรูจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่ปรสิตของเมือง จงระวังพวกมันให้ดี”

    หมอนี่ชอบพูดอะไรลึกลับงี้ตลอด บางอย่างก็พอฟังรู้เรื่อง อย่างเวลาที่เขาตั้งข้อสังเกตว่าบางทีทุกอย่างอาจมีเป้าหมาย มีเหตุผลว่าทำไมเมืองใหญ่ถึงมีอยู่ และทำไมกระบวนการแบบนี้ถึงเกิดขึ้น เขาบอกว่าที่ศัตรูทำ เล่นงานตอนเมืองอ่อนแอ โจมตีในจังหวะเปราะบาง อาจจะแค่การวอร์มอัพของบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น

    แต่เปาโลก็พูดน้ำเน่าบ้างเหมือนกัน อย่างตอนที่เขาเสนอให้ฉันลองทำสมาธิเพื่อเชื่อมโยงกับความต้องการของเมืองให้ลึกขึ้น แบบว่า…ฉันจะรอดจากเรื่องนี้ด้วยโยคะสาวผิวขาวงั้นเหรอ?

    “โยคะสาวผิวขาว” เปาโลพยักหน้า “โยคะชายอินเดีย แร็กเก็ตบอลของนักลงทุน แฮนด์บอลของนักเรียน บัลเลต์กับเมอแรงเก้ หอประชุมสหภาพแรงงาน กับแกลเลอรี่ในโซโห นายต้องเป็นตัวแทนของเมืองนับล้าน ไม่ต้องเป็นเหมือนพวกเขาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของนาย”

    ฉันหัวเราะ “แร็กเก็ตบอลเนี่ยนะ? ไม่มีทางใช่ส่วนหนึ่งของฉันแน่ๆ ไอ้ชิโก้”

    “เมืองเลือกนาย จากทุกคน” เปาโลพูดเสียงเรียบ “ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับนาย”

    อาจจะใช่ก็ได้…แต่ฉันยังคงหิว ยังเหนื่อย ยังกลัวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันรู้สึกปลอดภัย แล้วประโยชน์ของการเป็นคนสำคัญมันจะเหลืออะไร ถ้าไม่มีใครเห็นว่าสำคัญ?

    เขารู้ว่าฉันไม่อยากคุยต่อ ก็เลยลุกไปเข้านอน ฉันทิ้งตัวลงบนโซฟา แล้วจากไปเหมือนศพจริง ๆ

    ตายสนิท

    Sponsored Ads

    Cite: The City Born Great by N. K. Jemisin (reactormag.com) Photo: The City Born Great (reactormag.com)

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note