Singing My Sister Down by Margo Lanagan
Won Young Adult Short Story, 2004 Aurealis Award

เราทุกคนเดินลงไปที่บ่อทาร์ (หลุมยางมะตอย) พร้อมเสื่อไว้รองน้ำหนัก
อิ๊กกี้ยืนอยู่ริมบ่อ มือถูกคล้องด้วยห่วงเหล็กคู่ เธอไม่ได้งอนแล้ว ตอนนี้เธอดูนิ่ง เงียบ และงุนงง
หัวหน้าเผ่าบาร์นันดร้าชี้ไปยังบ่อ
“เดินไปสิ สาวน้อย ไปยืนตรงกลาง เมื่อเลือกที่ได้แล้ว ครอบครัวของเธอจะตามไปได้”
อิ๊กจึงเดินออกไป เดินแบบธรรมดา ไม่มีท่าทางพิเศษ ฉันแอบหวังว่าเธอจะเดินเลยเข้าไปพุ่มหนามฝั่งตรงข้ามเสียเลย แต่ฉันก็รู้ว่าเธอจะไม่ทำแบบนั้น
เธอเดินบนทาร์โดยไม่ต้องกางแขนเพื่อทรงตัว เธอเกือบสะดุดล้มไปครั้งหนึ่ง แต่แม่ตะโกนเรียก เธอจึงตั้งหลักได้ แล้วเดินตรงไปยังจุดกลางบ่อ หยุดที่นั่นโดยไม่หันกลับมา
แม่ไม่ได้หันไปมองหัวหน้าเผ่า แต่พวกเราเด็ก ๆ ทุกคน และคนอื่น ๆ หันไปมอง
“ได้แล้ว” หัวหน้าเผ่าว่า
แม่ก้าวออกไปทันที เหมือนเพิ่งตัดสินใจในวินาทีนั้น พวกเราตามเธอไป เฉพาะพวกเรา ครอบครัวของอิ๊ก ซึ่งก็เหมือนว่าพวกเรากำลังถูกลงโทษด้วย ทุกคนมองมาที่เราเดินเข้าไปหาเด็กผู้หญฺงคนนั้นที่เป็นความอับอายของเรา
ในหน้าหนาว ผู้คนมาที่บ่อเพื่ออบเท้าในทาร์ คุณต้องยืนนานพอจนทาร์จมถึงข้อเท้า ยิ่งคุณตัวเล็ก ยิ่งยืนได้นาน ทาร์อุ่น ๆ ห่อหุ้มเท้าของคุณเหมือนกับรองเท้าอบร้อน
แต่หน้าร้อนแบบวันนี้ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้บ่อ เพราะมันร้อนขึ้น และกลิ่นก็ฉุน
แต่วันนี้พวกเราต้องเข้าไป และทุกคนต้องเห็นว่าเราทำ
อิ๊กกี้ตัวสูง แต่ผอมแห้งจากความกังวลและการติดคุก เธอคงใช้เวลานานกว่าจะจมลงไป
พวกเราวางเสื่อ อาหาร ตะกร้าน้ำแข็ง และเครื่องดนตรี ทุกอย่างถูกวางเรียงบนแผ่นไม้กว้างที่แดชกับเฟลลี่หามมา
Sponsored Ads
“เริ่มเลย แดช” แม่พูด แดชลุกขึ้น วางกลองเล็กแนบสะโพก แล้วเริ่มเล่นเพลง “ฟอร์กเทลทรีโอ”
มันให้ความรู้สึกเหมือนงานเลี้ยงเล็ก ๆ อิ๊กกี้เงยหน้าขึ้นจากความอับอาย เธอยิ้ม และขยับสะโพกตามจังหวะเพลง
แม่หยิบตะกร้าน้ำแข็งที่ก้นกล่องดำจากน้ำแข็งละลาย
“หือ! อะไรน่ะ! ปูเหรอ! เอามาจากไหน?” อิ๊กตกใจ
“ไม่ต้องรู้หรอก เด็กดี” แม่ป้อนเนื้อปูใส่ปากอิ๊ก ขยี้น้ำแข็งลงในผมของเธอ
“โอ้ มัมม่า!” อิ๊กพูดทั้งที่ปากเต็ม
“กินของดีจากโลกนี้ไว้เถอะ ในเมื่อยังอยู่ที่นี่” แม่ยืนอยู่ตรงนั้น ป้อนเธอเหมือนลูกนก เหมือนไก่กินีในกรง
“หนูนึกว่า ป้าไม จะมา” อิ๊กพูด
“ป้าไมไม่ได้เรื่อง” แดชว่า “นั่งอยู่บ้านเช็ดน้ำตาอยู่แน่ ๆ”
“หนูไม่ว่าเธอร้องไห้หรอก หนูแค่คิดว่า… เธอควรจะมาลา”
“หัวใจเธอเจ็บเกินไป” แม่พูด “หนูทำให้เธอตกใจ เธอกลัว และเธอเป็นผู้หญิงเป๊ะจัด เธอเห็นความอับอายอยู่ทุกที่ ในขณะที่พวกเราบางคนเห็นแค่คน นี่ ตรงก้ามใหญ่นี่ เนื้อหวานที่สุด”
“อื้ม! แล้วมีใครกินด้วยไหม?”
“ไม่มีจ้ะ วันนี้ของหนูคนเดียว เอาล่ะ ก็ได้นะ ให้ไอ้เจ้าตาหม่น ๆ นี่กินหน่อย เฟลลี่ไม่เคยกินปูเลยนอกจากครั้งเดียว เป็นไง? อร่อยไหม? ดูหน้ามันสิ!”
แล้วแม่ก็เรียกฉันเป่าขลุ่ย ฉันเล่นเพลงที่ยากและเท่ที่สุด
อิ๊กฟัง ทั้งที่ปกติเธอจะบ่นว่าเหมือนเอาเข็มแทงสมอง เธอมองมือที่ปิดรูขลุ่ย มองหน้าเหงื่อท่วม มองท่าทางเอนตัวของฉันตอนเล่น
เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันไม่ได้รู้สึกเป็นแค่น้องชายจอมกวน ฉันเล่นดี เพราะความประหลาดใจที่เธอไม่ว่า ดีจนคิดว่า ฉันไม่มีทางเล่นได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
ฉันได้ยินเสียงคนอื่นรอบ ๆ ตกใจเหมือนกัน ตอนเพลงจบ เพลงที่ทุกคนเคยได้ยินจากการซ้อมของฉัน
ฉันนั่งลง หิวจนท้องร้อง แม่ยื่นถ้วยน้ำกับผ้าเย็นมาให้
“ตอนนี้ติดแล้วล่ะ” อิ๊กพูด
และมันก็จริง ทาร์ยึดเท้าเธอไว้แน่น เหมือนรองเท้าซิปคู่นั้น ที่ฉันเคยเห็นในตู้กระจกของช่างทำรองเท้า
Sponsored Ads
“จมแน่นเลยนะ” แม่พูด
“แต่หนูก็รู้อยู่แล้วล่ะ ตั้งแต่วันหยิบด้ามขวานขึ้นมา หนูก็เลือกจะจมลงเองแล้ว”
“แม่รู้”
“ไม่มีทางถอยออกจากเรื่องนี้ได้อีกนะ หนูปล่อยด้ามขวานทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ได้”
แม่พูดแบบล้อ ๆ แต่เสียงนั้นจริงจังเกินล้อเลียน
“ไม่ได้หรอก มัมม่า… มัมม่าก็รู้นี่”
“แม่รู้จ้ะ ลูกไก่ตัวน้อย แม่รู้ตั้งแต่แรก ว่าถ้าแสงวิบวับจากงานแต่งหลุดออกจากตัวหนู ความโกรธมันจะไม่ยอมหาย …แต่งานแต่งก็ดีนะ ไม่ใช่เหรอ?”
แล้วพวกเธอก็หัวเราะ
แม่ต้องพยุงตัวอิ๊กไว้ เพราะไม่อย่างนั้นข้อเท้าเธอจะหักงอ และเมื่อเสียงหัวเราะเริ่มแปลกไป
แม่ก็พูดขึ้นว่า
“งานวันนี้ก็จะดีไม่แพ้กัน เพราะมันมีเด็ก ๆ ไง และดูนี่สิ!”
เธอหยิบหีบน้ำแข็งอีกกล่อง และทั้งวันนั้น เต็มไปด้วยของกิน เพลง น้ำแข็ง กลิ่นแสบจมูก เรื่องเล่าตลก ๆ และซุบซิบ
ที่ริมบ่อ มีคนผลัดเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ หัวหน้าเผ่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ของเขา มีคนพัดให้ มีคนป้อน ครอบครัวของสามีอิ๊กกี้นั่งอยู่รอบ ๆ หัวหน้าเผ่า อาหารถูกเสิร์ฟเหมือนกัน ทุกคนสวมผ้าสีม่วงขลิบเงินแวววาว ดูภูมิใจกันเหลือเกิน
อิ๊กจมลงช้ามาก
“ร้อนไหม?” เฟลลี่ถาม
“เหมือนมีอ้อมกอดอุ่น ๆ ขึ้นมาตามขาเลย” อิ๊กตอบ
“มานี่สิ และมากอดฉันหน่อย แขนน้อย ๆ ฉันเช็กให้ว่าเหมือนกันไหม… อู้ฟ ใช่เลย แค่ต่ำกว่าเฉย ๆ”
“พี่กำลังจะลงมาหาหนูแล้ว” เฟลลี่พูดอย่างดีใจ
“ใช่ อีกเดี๋ยวก็จะกัดข้อเท้าหนู เหมือนที่หนูกัดพี่ไง”
ช่วงบ่ายแก่ ๆ อิ๊กเริ่มขยับแขนไม่ได้ เธอตกใจเล็กน้อย และเงียบ ๆ พอให้คนบนฝั่งไม่สังเกตเห็น
“มัมม่า… แล้วหนูจะทำยังไง ตอนที่ทาร์ขึ้นมาถึงหน้า? ตอนที่มันปิดจมูกหนู?”
“ไม่ต้องกังวลนะ ตอนนั้น หนูจะไม่ตื่นแล้ว”
แม่พูดเบา ๆ พร้อมกับจุ่มมือลงในน้ำเย็น เช็ดมือกับกระโปรง แล้วลูบไล้น้ำเย็นลงบนไหล่ของอิ๊ก ลากลงมาตามแขน
จนถึงข้อมือที่ถูกทาร์ยึดไว้แน่น
“มัมม่าอย่าให้ชา หรือสมุนไพร หรืออะไรกับหนูทั้งนั้น” อิ๊กพูด
“พวกเขาจะจับมัมม่าไปด้วย ถ้ามัมม่าช่วย พวกเขาจะออกมาตรวจให้แน่ใจ”
แม่วางมือปิดหูเฟลลี่ แล้วกระซิบ
“ทริสเท็มให้ปืนแม่มา”
ตาอิ๊กเบิกโพลง “ไม่ได้! ทุกคนจะได้ยิน!”
“มันมีที่เก็บเสียง แม่สอดเข้าไปในรอยย่นของทาร์ได้ ยิงเข้าหัวหนูตอนหัวจมไปครึ่ง แล้วก็ปิดรอยนั้น บอกพวกเขาว่าหัวใจหนูหยุดเอง เพราะทาร์กดไว้”
เฟลลี่สะบัดหัวหลุดจากมือแม่ อิ๊กจ้องแม่ และเงียบลง
Sponsored Ads
เหลือแค่เสียงแดชฉีกขนมปังด้วยฟัน กับเสียงลมหวีดผ่านพุ่มหนามฝั่งโน้น
ฉันเฝ้าดูแม่กับอิ๊กอย่างตั้งใจ เพราะฉันเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน ว่าตอนจบนั้น จะเกิดอะไรขึ้น
แต่ตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนี้ ที่ยืนอยู่กลางบ่อทาร์ที่ท่วมถึงเอว เริ่มไม่เหมือนอิ๊กกี้ของเราแล้ว
หน้าของเธอเปลี่ยน เหมือนเมฆ เหมือนสีของกิ้งก่าสวมหน้ากากที่คุณไม่ได้เห็นมันเปลี่ยน แต่เห็นมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ไม่” เธอพูด ยังจ้องแม่อยู่
“มัมม่าจะไม่ทำแบบนั้น และมัมม่าก็ไม่ต้องทำด้วย”
บนใบหน้าเธอมีรอยยิ้ม และรอยยิ้มนั้นสะท้อนเข้าไปถึงแม่ จนทั้งคู่ยิ้มให้กัน เหมือนเห็นบางอย่างในกันและกัน
ที่ฉันมองไม่เห็น
แล้วน้ำตาก็ไหล ทั้งคู่ร้องไห้ไป ยิ้มไป
แม่ทิ้งตัวลงคุกเข่าบนแผ่นไม้ โอบแขนอิ๊กไว้แน่น
อิ๊กซุกหน้าลง ร้องไห้อย่างน่าเกลียด ในแบบที่ไม่มีใครจะกล้าขัด
ตอนนั้นเอง ฉันถึงรู้ว่ามีคนดูอยู่มากแค่ไหน เมื่อเสียงโหยหวนน่าขนลุกดังขึ้น พร้อมเสียงกระทืบเท้าจากฝั่ง เพื่อดูแม่ที่กำลังเศร้า
“โธ่เว้ย” ฉันพูดกับแดช พยายามให้เสียงนั้น เพื่อหยุดไม่ให้เส้นผมลุก
“ตอนพ่อของเชปจมลง ยังไม่เห็นมีคนมาขนาดนี้เลย”
“แหงล่ะ เขาแก่ แล้วก็บ้า” แดชพูด ขนมปังเต็มปาก
“แล้วก็ฆ่าแต่พวกคนแก่กับพวกคนบ้าเหมือนกัน”
“นั่นพวกคนปลาเหรอ? แล้วดูพวกผ้าเหลืองนั่นสิ จากพวกในถ้ำใช่ไหม?”
“ก็อีกไม่กี่วันก็วันลังคัสเดย์แล้ว” แดชพูดขึ้น “คนเดินทางกันเยอะ ก็ผ่านมาเห็นกันพอดี”
“บางที… แล้วแบบนั้นนับเป็นเกียรติ? หรือยิ่งน่าอับอายกันแน่?”
แดชไหล่ตก “ทั้งหมดนี่กลับตาลปัตรไปหมด มันดูเหมือนงานเลี้ยง แต่ใครจะจัดงานเลี้ยงในบ่อทาร์? ทั้งที่คนในครอบครัวกำลังจมลงไป? ฉันไม่เข้าใจเลย”
“แม่เป็นคนอยากให้เป็นแบบนี้”
“ก็ยังดีกว่าให้แม่กับอิ๊กอยู่กันเงียบ ๆ แบบนั้นทั้งวัน” มือแดชล้วงลงในตะกร้าน้ำแข็งใกล้มือ แล้วหยิบเศษมะพร้าวเย็นออกมาเคี้ยว ราวกับเป็นสิ่งที่เขามีสิทธิเต็มที่ที่จะกิน
หลังจากนั้น ความคิดในหัวฉันก็เริ่มลื่นไหลมั่วไปหมด เราถูกจับจ้องแรงเหลือเกิน! ถึงแม้ที่นี่จะดูเงียบ แต่แค่ลมพัดเบา ๆ ก็พาเอาเสียงผู้คน เสียงดนตรี เศษควันมาถึงพวกเราตลอด มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นของแปลกที่ไม่มีพื้นที่ให้เป็นตัวเอง
นี่ยังไม่รวมถึงภาพของอิ๊กกี้ ใบหน้าเธอเปื้อนแสงอาทิตย์ แต่ตั้งแต่ช่วงอกลงไปเธอถูกทาร์ห่อไว้แน่นหนา ไม่มีทางได้เห็นแสงนั้นอีกเลย
เวลาราวกับแตกออกเป็นก้อน ๆ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดในวันเดียว ฉันสงสัยมากว่าอะไรจะเกิดขึ้น คิดมากเกินไปกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และฉันก็อยากให้ตัวเองมีเวลาคิดอีกสักหน่อย ก่อนที่เธอจะจมหายไปจริง ๆ ความคิดในหัวฉันหอบเหนื่อยราวกับวิ่งไล่เวลาอยู่
Sponsored Ads
แต่ในที่สุด ค่ำคืนก็มาถึง อิ๊กยังมีแค่หัวกับไหล่พ้นจากทาร์ เธอร้องเพลงไปกับเราใต้แสงตะเกียง พวกเพลงเก่า ๆ ทั้งหลาย “ดอกไม้ให้เธอ”, “อ่าวแม่ไก่”, “เดินตามรางกับบีจุม สิงห์”, “เบอร์รี่น้ำเงิน”
เธอร้องเพลงเด็ก ๆ ของเฟลลี่ทุกเพลง ทั้งที่เคยทำท่ารังเกียจ เธอขอให้แดชสอนเพลงใหม่ที่ชื่อ “เอ คาโม ไมล์” ซึ่งมีท่อนคอรัสยาก แล้วเธอก็ทำให้พวกเราช่วยกันร้องเหมือนกำลังถ่วงเวลา ไม่ให้เราสังเกตเปลวไฟมหึมารอบชายฝั่ง ไม่ให้เราได้ยินเสียงเพลงประมง เสียงเพลงป่า เสียงตบเท้าและกระทบฉิ่งจากการรำที่ดังก้องอยู่เบื้องหลัง
แต่เพลงมันอยู่ตรงนั้นตลอด และไม่มีเสียงร้องไหนในชีวิตเราที่เคยมีอะไรแบบนี้อยู่ข้างหลังมาก่อน ในความมืดที่ล้อมรอบ
พอทาร์เริ่มทำให้คางของอิ๊กเงยขึ้น แม่ก็หันมาสั่งฉัน
“ไปเอาพวงดอกไม้มานะ ไมน่าจะเอามาวางไว้ข้างเก้าอี้หัวหน้าเผ่า”
ฉันลุกขึ้นและเริ่มเดินข้ามบ่อทาร์ มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันร่ายมนต์บางอย่างล่วงหน้าไป มนต์แห่งความเงียบงัน เพราะระหว่างที่ฉันเดิน และมันก็ดีเหลือเกินที่ได้เดิน ไม่ใช่นั่ง เสียงดนตรีเริ่มเบาลง เสียงหัวเราะหายไป นักเต้นหยุดนิ่ง
มีแต่สายตาตลอดริมบ่อที่มืดมิดรอบ ๆ จับจ้องมาที่ฉัน ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยปะปนกันไป
พวงดอกไม้ปรากฏอยู่ในหมู่คนข้างหน้า เป็นวงกลมสีจางขนาดใหญ่ ประดับด้วยเถาวัลย์กระซิบเป็นเกลียว ดูงดงามที่สุด ฉันปีนขึ้นจากขอบลาดเตี้ย ๆ ตรงนั้น พื้นดินรู้สึกแข็งและเย็นเฉียบ หลังจากอยู่บนทาร์เหนียว ๆ มาทั้งวัน ข้อเท้าฉันสั่นเมื่อรับพวงมาลัยจากไม มันหนักแน่น อบอวลด้วยกลิ่นหอมเหมือนจากสวรรค์
“คุณต้องถือพวกนั้นไปด้วยนะ” ฉันบอกไม ขณะมีใครบางคนส่งพวงมาลัยชุดอื่นให้เธอ
“คุณก็ควรออกไปอยู่ดี อิ๊กอยากให้คุณอยู่ตรงนั้น”
เธอส่ายหัว “เธอฟันหัวใจฉันขาดครึ่งด้วยขวานของเธอเองแล้ว”
“งั้นตอนนี้คุณก็จะฟันของเธอกลับด้วยในชั่วโมงสุดท้ายนี้เหรอ?”
เราจ้องตากันในแสงไฟกองฟืน ทั้ง ๆ ที่แบกดอกไม้อันงดงามสีจาง ๆ ไว้เต็มแขน
“ไม่เคยได้ยินเด็กนี่พูดจริงจังขนาดนี้เลยนะ ไม” ใครบางคนพูดจากข้างหลังเธอ
“เขามั่นใจดีทีเดียว” อีกคนเสริม
“นี่มันช่วงสุดท้ายของอิ๊กกี้นะ ไม ถ้าเธออยากให้คุณเป็นส่วนหนึ่ง…”
“ถ้าเธอไม่ทำให้พวกเราทุกคนอับอายก็คงดี” ไมพูด แต่น้ำเสียงอ่อนแรง
“เธอจะมองย้อนกลับมา แล้วรู้ตัวว่าคุณนั้นหน้าบางเกินไป” คนแรกตอบ
“แต่มันก็แบบว่า—” ไมทรุดตัวลงเล็กน้อยแล้วจิ๊ปาก
“เธอควรแคร์สิ่งที่เธอทำกับครอบครัวนี้” เธอพูดเหมือนกัดฟันไว้
“เพราะมันมากกว่าแค่ตัวเธอเอง”
“เอาน่า รับดอกไม้ไปเถอะ อย่าทำให้เด็กคนนี้ต้องเดินไปกลับสองรอบ เวลาเรามีน้อย”
“ใช่ เวลาของทุกคนก็น้อยทั้งนั้นแหละ” คนแรกพูดอีก
ไมยืนขึ้น ปากเบะเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันหันกลับและยกพวงมาลัยวางบนหน้าผาก กลายเป็นเหมือนเจ้าสาวตัวเล็ก ๆ ที่ลากเศษดอกไม้จากศีรษะลงถึงพื้น
Sponsored Ads
ฉันออกเดินข้ามบ่อทาร์ ทิ้งมนต์แห่งความเงียบไว้ข้างหลัง มีแค่เสียงเสียดสีของก้านดอกไม้ในหู ไม่มีเปลวไฟโชติช่วงอีกแล้ว มีแต่แสงตะเกียงเรียงเป็นวงรอบตัวแม่ เฟลลี่ แดช และหัวของอิ๊กกี้
แม่คุกเข่าอยู่บนไม้ พูดกับอิ๊กกี้ ในช่วงเวลาที่ฉันหายไปเอาพวงมาลัย หัวของอิ๊กกี้ก็ถูกทาร์จับไว้แน่นแล้ว
“โอ้ ที่รัก” ไมคร่ำครวญอยู่ข้างหลังฉัน “สาวน้อยแสนน่ารัก…”
ช้าเกินไปสำหรับคำว่าที่รักแล้ว ฉันเกือบจะพูดออกไป ฉันรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งกลัว และเหมือนโตเกินไปสำหรับความงี่เง่าของไม
“เอาล่ะ อิ๊ก เดี๋ยวเราจะทำให้เธอสวยที่สุดนะ” แม่พูด ขณะวางพวงมาลัยไว้บนหัวของอิ๊ก
“พวกเราจะออกมาหาดอกไม้พวกนี้อีกครั้งตอนที่เธอจากไปแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเธอยังอยู่ตรงนี้”
“มันจะเหี่ยวเร็วมากนะ ฉันเคยเห็น” เสียงของอิ๊กเริ่มถูกกดทับ พูดลอดขากรรไกรที่เริ่มปิดแน่น
“ความร้อนมันทำให้ดอกไม้เฉา”
“แต่กับเธอ มันจะดูสวยเสมอ” แม่บอก
“เธอจะพาดอกไม้พวกนี้ลงไปด้วย พร้อมกับเสียงเพลงของครอบครัวเธอ”
ฉันลากเถาวัลย์จากพวงมาลัยออกไป ให้เหมือนกับเปลวแสงพุ่งออกจากขอบดวงอาทิตย์
“นั่นไมเหรอ?” อิ๊กถาม
ไมเงยหน้ามองขึ้นมาด้วยความตกใจ ขณะกำลังวางมาลัยแซมระหว่างเถาวัลย์
“เอามาลัยพิเศษให้ดูหน่อย ไม”
ไมยกมาลัยขึ้นมา “สวยใช่ไหม? มีดอกแตรจากบึงล่าง หญ้ากระซิบของป้าพัตตี้ แล้วก็เถาดาราไว้สำหรับรัด เธอไม่เคยคิดหรอกใช่ไหมว่าเถาดาราธรรมดา ๆ จะดูดีได้ขนาดนี้”
“ไม่เคยเลย”
ทุกอย่างถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วตอนนี้ มันเรียงลำดับคือ: หัว, ตะเกียงครึ่งวงที่ด้านหลัง (เพื่อไม่ให้แสงแยงตา), พวงมาลัย, และพวงมาลัยอีกครึ่งวงอยู่ด้านหลังอีกชั้น ทิ้งพื้นที่ข้างหน้าไว้ให้พวกเรา
“เอาล่ะ ถึงเวลาร้องเพลงส่งเธอลงไปแล้วนะ” แม่พูด
“ทุกคน เข้ามา แล้วบอกลาให้สมกับเป็นครั้งสุดท้าย”
เธอคุกเข่าเข้าไปในพวงมาลัยครู่หนึ่ง กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูของอิ๊ก แล้วจูบหน้าผากเธอเบา ๆ
พวกเด็ก ๆ อย่างพวกเราเดินเข้าไปทีละคน เฟลลี่เข้าไปกอดแน่นจนทำให้อิ๊กร้องไห้ แดชรีบพุ่งเข้าไป จุ๊บไว ๆ ขณะที่อิ๊กยังสะอื้น เธอแทบไม่รู้ตัวว่าเขามา
แม่ส่งผ้าให้ฉัน ฉันย่อตัวลง ค่อย ๆ เช็ดตาและจมูกของอิ๊ก แล้วก็พูดอะไรไม่ออก…
เมื่อเห็นหน้าของเธอเปลือยเปล่า กระพริบตาช้า ๆ รอคำลาสุดท้าย
“เธอเป่าขลุ่ยเก่งขึ้นนะ” อิ๊กพูด
Sponsored Ads
แต่มันไม่ใช่เรื่องของฉันเลย อิ๊ก นี่ไม่ใช่เรื่องของฉันเลยสักนิด
“เธอจะออกมาที่นี่บ้างไหม มาเป่าให้ฉันฟัง เวลาที่ไม่มีใครอยู่”
ฉันพยักหน้า แล้วรู้ว่าฉันต้องพูดอะไรสักอย่าง พูดอะไรก็ได้ เพราะฉันจะไม่รอดพ้นไปได้โดยไม่พูดเลย
“ถ้าเธออยากให้ฉันมา”
“ฉันอยาก ให้มา เข้าใจไหม? ตอนนี้จูบฉันที”
ฉันจูบเธอแบบเด็ก ๆ ที่ปาก ครั้งสุดท้ายที่ฉันจูบเธอ คือตอนที่เธอจะไปแต่งงาน ฉันจูบเบา ๆ ที่แก้ม แล้วพวกกากเพชรที่เธอแต่งหน้าก็ติดมาที่ริมฝีปากฉัน
ครั้งนี้ ฉันลูบผมเธอ แล้วถอยหลังข้ามพวงมาลัยออกมา
ไมเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป “ตุ๊กตานางฟ้าของน้า…” ฉันได้ยินเธอพูด เสียงสะอื้นสั่น “คนเดียวของน้าเลยนะ…”
อิ๊กตอบ “ไม่เป็นไรหรอก น้า อีกเดี๋ยวมันก็จบแล้ว แล้วฉันก็อยากได้ยินเสียงของน้าให้ชัด ๆ ตอนเราร้องเพลงนะ”
พวกเราจัดตัวกัน เฟลลี่นั่งตักแม่ แล้วแดช แล้วฉันอยู่ข้าง ๆ ไม
ฉันพยายามตั้งใจฟังแม่ เพื่อไม่ให้ไมทำฉันไขว้เขวด้วยเสียงร้องไห้ของเธอ รอบ ๆ เงียบสนิท ยกเว้นเสียงฟู่ ๆ กับเสียงแตกของไฟกองที่อยู่ไกล
เราเริ่มร้องเพลง เพลงเย็นย่ำธรรมดา ๆ ทั้งหลาย เพลงกล่อมเด็ก เพลงบอกลา เพลงที่ไว้ปลอบใจคนใจสลาย พวกเพลงที่ทุกคนรู้จักกันดี จนแต่ก่อนเคยเอามาดัดแต่งให้กลายเป็นเพลงล้อเลียน
แต่วันนี้เราร้องมันตรง ๆ ตามจังหวะแม่ ร้องมันเรียบ ๆ ตรง ๆ ในดวงตาที่เป็นประกายของอิ๊กกี้ ในขณะที่ทาร์ไต่ขึ้นถึงคางเธอ
เรายืนหลังตรง เพื่อให้มองเห็นเธอ และให้เธอเห็นพวกเรา ใบหน้าของเธอกลายเป็นศูนย์กลางที่จมลึกของดอกไม้ยักษ์ พวงมาลัยนั้น
กลองใบเล็กของแดช ช่วยประคองจังหวะ ช่วยให้เราร้องต่อได้ แม้ในตอนที่ตาอิ๊กเริ่มกลอกไปมา แม้ตอนที่เธอพยายามหายใจสู้กับแรงกดของทาร์
หัวหน้าเผ่ากับครอบครัวของสามีเธอก็มายืนตรงข้ามพวกเรา ขยับเท้าไปมา ถือคบไฟไว้สูง เพื่อดูการจมหายของเธอ
ไมเริ่มทรุดลงและเซไปข้าง ๆ ฉัน ในจังหวะเดียวกับที่ทาร์ปิดหน้าอิ๊กไว้ เป็นวงรีที่เหนียวหนึบ คืบคลานอย่างช้า ๆ
ฉันร้องเพลงให้ดี ให้มั่น เพราะฉันไม่อยากได้ยินเสียงสะอื้นสุดท้าย หรือเสียงลมหายใจที่หยุดลง
ฉันจับแขนไมไว้ พยายามช่วยพยุงเธอไว้แบบนั้น แต่เธอกลับยิ่งโงนเงน ร้องไห้หนักขึ้น
ฉันพยายามฟังเสียงแม่ใต้เสียงอื่น ๆ หลับตาแน่น แล้วบังคับเสียงของตัวเองให้ตามเสียงแม่
ตอนที่ฉันตั้งสติได้ในที่สุด ตาของอิ๊กก็กำลังจะปิดลงแล้ว
ในเสียงร้องเพลงของพวกเรา ฉันเหมือนจะได้ยินเสียงเธอเรียกหาแม่ ฉันพยายามไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เสียงมันยังดังอยู่ในหัว เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ไม่มีทางได้ทำซ้ำ ไม่มี “ถ้าอยากจำ” ไม่มีโอกาสแก้ไข
และแม่ก็เดินไปหาเธอ ฉันไม่แน่ใจว่าอิ๊กยังร้องไห้และพึมพรำอยู่ไหม หรือว่ามันเป็นเสียงของพวกเราเองที่สั่นไหว หรือบางทีฝูงชนบนขอบบ่อทาร์อาจเริ่มส่งเสียงขึ้นมาอีก
ฉันจ้องมองแม่ เพราะแม่รู้ว่าควรทำอะไร
แม่คุกเข่าบนเสื่อ จุ่มผ้าลงในถังน้ำสุดท้าย ที่มีเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ เหลืออยู่บ้าง บิดผ้าออก และค่อย ๆ เช็ดหน้าที่กำลังหดเล็กลงในหลุมของอิ๊กกี้
เสียงของอิ๊กที่ฉันได้ยิน… คงไม่ใช่เสียงเธออีกแล้ว เพราะหลุมที่แม่ใช้เช็ดหน้าด้วยผ้า จากการเคลื่อนไหวของมือเธอ เล็กเท่าลูกโลหะเหลืองขนาดเท่าเด็กเท่านั้น
และจากการสั่นไหล่ของแม่ ฉันก็บอกได้ว่า แม่รู้แล้วว่า ตอนนี้… จะร้องไห้ได้แล้ว
เพราะอิ๊กจากไปจริง ๆ เหลือแค่จมูก หรือปากที่ไม่มีลมหายใจ หรือดวงตาที่มองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป แล้วทุกอย่าง… ก็เหมือนจะถล่มใส่ฉันในพริบตา
Sponsored Ads
ดอกไม้ที่โยกไปมาในแสงตะเกียง พี่สาวของเราที่อยู่ในบ่อทาร์ ค่อย ๆ จมหายลงไป อย่างช้า ๆ ช้ามาก เหมือนรถบรรทุกของแวนเดอร์เบิร์กที่เคยตกเหว เหมือนบ้านเก่าของจาปปิตี้ที่พังทั้งหลังทั้งที่คุณตายังอยู่ข้างใน เหมือนคนผิดสมัยก่อนที่จมหายไปจากชุมชนนี้
แล้วฉันก็ร้องไห้ออกมาแบบโพล่งออกมา เหมือนอาเจียนน้ำตาออกมาทั้งหมด และพวกเขาบอกฉันว่าฉันร้องเสียงหลอนมาก จนคนทั้งงานสะดุ้ง แม้แต่หัวหน้าเผ่าก็สะดุ้ง พ่อแม่ของเจ้าบ่าวถึงกับพูดว่า
“เด็กคนนี้ไม่รู้จักอบรมเอาเสียเลย”
เพราะฉันไปทำให้พวกเขารู้สึกเสียศูนย์ แทนที่จะนั่งดูความยุติธรรมอย่างสงบ เงียบขรึม และเหนือกว่า ในฐานะผู้สูญเสียลูกชาย
ฉันไม่ค่อยจำอะไรมากจากตอนนั้นได้เลย รู้สึกตัวอีกที ฉันก็เดินเหม่อ ๆ กลับข้ามบ่อทาร์ มีแม่กับไมเดินขนาบข้าง
จับมือกันไว้
ไม่มีใครถืออะไร ทั้งที่ตอนมาทุกคนหอบหิ้วกันหมด
“เราคงกินหมดแล้ว…” ฉันคิด
“แล้วเสื่อ หม้อ กระทะล่ะ?”
จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าด โครมครามมาจากด้านหลัง
เป็นเสียงของแดช ที่กำลังยกของพวกนั้นกลับ ที่มันหนักเกินตัวไปมาก
แม่พูดอะไรบางอย่าง อย่างเหนื่อยล้า เหมือนคนที่พูดมานานมากแล้ว แต่เสียงเธอก็อ่อนโยน เหมือนเชือกเส้นสวยที่โยนมาช่วยฉันจากหล่มของตัวเอง สมองของฉันก็เกาะเชือกเส้นนั้นไปทีละมือ ทีละช่วง
“นี่คือสิ่งที่เขาทำกับคนที่ทำผิด… เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ…” แม่บอก
“และสิ่งเดียวที่เราทำได้เองก็คือ… ระวังหัวใจตัวเองให้ดี เข้าใจไหม? อย่ารักใครที่อาจปลุกความโกรธแค้นฆ่าคนในตัวคุณ ถ้าเธอมีความโกรธแบบนั้น ถ้าเธอเหมือนอิ๊กของเรา…”
แล้วขอบบ่อก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้า สูง ชัน ปกคลุมด้วยหญ้าขาว และเหนือมันออกไป คือดวงตานับร้อย และที่พ่วงกับดวงตาเหล่านั้น ก็คือร่างกายของคน ที่ขยับตัวเปิดทางให้พวกเรา
ฉันรู้ว่าเราต้องทิ้งอิ๊กไว้ข้างหลัง และฉันก็ไม่ร้องไม่โวยอะไรอีกแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้
ฉันได้ร้องไปหมดแล้ว ร้องทั้งหมดในครั้งเดียว ฉันระเบิดตัวเองออกเป็นเสี่ยง ๆ กลางบ่อทาร์ และตอนนี้… มีสัตว์ประหลาดบางอย่าง มีปากของความจริงหลายปาก ที่กำลังเคี้ยวเศษซากของฉันอยู่
ฉันจะรอด… ถ้าไมไม่พูดอะไร ถ้าแม่ยังพึมพำเสียงนุ่มแบบนั้น ถ้ามือของทั้งสองคนยังจับฉันไว้ ระหว่างที่เราผ่านฝูงชนพวกนี้ ดวงตาที่ส่องประกายวับวาวเหมือนหิ่งห้อยในป่า
พวกเขาพาฉันขึ้นขอบบ่อ แม่กับน้า ฉันหยุดอยู่ตรงนั้น พวกเขาปีนตามขึ้นมา แล้วก็ช้อนฉันขึ้น
ฉันเดินขึ้นเนินที่ดูเป็นไปไม่ได้ ราวกับเป็นปีศาจ ตัวตรงในชั่วขณะ แล้วก็โงนเงนข้ามไปด้านบน และเข้าสู่อ้อมแขนของแม่ที่รอรับฉันอยู่
แม่ไม่สามารถอุ้มฉันกลับออกมาจากทาร์ได้ เพราะตอนนี้ฉันโตเกินไป เราจะจมไปด้วยกันถ้าเธอพยายาม
แต่บนพื้นแข็งตรงนี้ เธอก็ยังอุ้มฉันไว้ได้อยู่ แม้ฉันจะตัวใหญ่เกินไปสำหรับสิ่งนั้นแล้ว และแม้ฉันจะตัวโตเกินไป
ฉันก็ยังโอบขารอบหลังของเธอ กอดแขนรอบคอของเธอแน่น
เธออุ้มฉันไว้ เหมือนภรรยาของจาปปิตี้ที่เคยอุ้มลูกชายปัญญาอ่อนของตัวเอง และฉันรู้สึกเหมือนเด็กคนนั้นเลย
เหมือนความคิดที่ปกติสำหรับคนอื่น มันจะไม่มา… และคงจะไม่มา… สำหรับฉันอีกแล้ว
เหมือนสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ คือ “เฝ้าดู” แต่ไม่มีวัน “รู้” ไม่มีวัน “เข้าใจ”
ฉันฝังหน้าลงในลำคออุ่นของแม่ หลับตาแน่นกับผิวหนังของเธอ ปล่อยให้แขนที่แข็งแรง อบอุ่นของแม่ พาฉันออกจากความมืดตรงนั้น
Cite: Singing My Sister Down: A Study of Margot Lanagan's Narrativ (studocu.com)
Photo: Singing My Sister Down and other stories Kindle Edition (amazon.com)