“夜晚的潜水艇” (The Submarine at Night) by 陈春成 (Chen Chuncheng)
Won First Prize in Blancpain-Imaginist Literary Prize, 2021

ในค่ำคืนอันหนาวเย็นของปี 1966 บอร์เฆสยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ แล้วโยนเหรียญลงสู่ทะเล เหรียญนั้นยังคงมีความอบอุ่นเล็กน้อยจากปลายนิ้วของเขา ก่อนจะตกลงไปในเสียงคลื่นอันมืดมิด ต่อมา บอร์เฆสได้เขียนบทกวีบทหนึ่งเพื่อรำลึกถึงมัน ในนั้นเขากล่าวว่า การกระทำของเขาที่โยนเหรียญลงทะเล ได้สร้างสองเส้นทางคู่ขนานกันและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในประวัติศาสตร์ของโลก—ชะตากรรมของเขา และชะตากรรมของเหรียญ นับตั้งแต่นั้น ทุกช่วงเวลาแห่งความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความกลัวของเขาบนผืนดิน จะสอดคล้องกับทุกช่วงเวลาของความไม่รู้สึก ไม่รับรู้ของเหรียญที่ก้นทะเล
ในปี 1985 หนึ่งปีก่อนที่บอร์เฆสจะเสียชีวิต นักธุรกิจชาวออสเตรเลียคนหนึ่งเกิดความเบื่อหน่ายระหว่างการเดินเรือ จึงยืมหนังสือของเพื่อนร่วมทางมาอ่าน ชายผู้นี้ไม่เคยสนใจวรรณกรรมมาก่อน แต่กลับถูกบทกวีชื่อ “ถึงเหรียญหนึ่งเหรียญ” (To a coin) กระแทกเข้าอย่างจัง
ในปี 1997 หลังจากผ่านไปกว่าสิบปีในเส้นทางธุรกิจอันรุ่งโรจน์ นักธุรกิจผู้นั้นกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งเกินกว่าประเมินค่าได้ และเป็นผู้ศรัทธาอันดับหนึ่งของบอร์เฆส เขาสะสมฉบับพิมพ์ล้ำค่าของผลงานของบอร์เฆส ท่อสูบยา แว่นกันแดด กระดาษซับหมึกที่บอร์เฆสเคยใช้ และแม้แต่ปากกาสองด้ามที่ หวังหยงเหนียน ผู้แปลงานของบอร์เฆสเป็นภาษาจีนเคยใช้ในการแปล (ซึ่งในขณะนั้น หวังหยงเหนียนยังมีชีวิตอยู่) แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่อาจดับความคลั่งไคล้ของเขาได้ ในฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกัน วันหนึ่งความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในฝันของเขายามรุ่งสาง และผลักดันให้เขาออกทุนสนับสนุนโครงการอันพิสดารที่สุดในประวัติศาสตร์—เขาต้องการตามหาเหรียญที่บอร์เฆสโยนลงไปทะเล
เขาซื้อเรือดำน้ำที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้นและทำการปรับปรุงเพิ่มเติม จากนั้นว่าจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสมุทรศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านเรือดำน้ำ และนักปฏิบัติการใต้น้ำจากทั่วโลก โดยให้ นักสมุทรศาสตร์ชาวจีนแซ่เฉิน เป็นหัวหน้าทีม
มหาเศรษฐีรู้ดีว่าเขาไม่อาจทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าเหล่านี้ให้มาทำงานตามความเพ้อฝันของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงให้คำมั่นว่าจะให้ทุนสนับสนุนการสำรวจใต้ทะเลของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว—ให้พวกเขาลองมองหาเหรียญนั้นระหว่างทำงานวิจัยไปด้วย
หัวหน้าทีมเฉินถามเขาว่า
“ถ้าหาไม่เจอสักทีล่ะ?”
“ฉันก็จะให้ทุนสนับสนุนต่อไปเรื่อย ๆ”
Sponsored Ads
ตามข้อมูลที่ระบุในบทกวี บอร์เฆสออกเดินทางจาก มอนเตวิเดโอ (Montevideo) และโยนเหรียญลงทะเลขณะแล่นผ่านบริเวณ เซร์โร (Cerro)
ทีมสำรวจได้ดึงข้อมูลกระแสน้ำในปีนั้นมาใช้ และแบ่งพื้นที่ทะเลรอบ ๆ เซร์โร ออกเป็นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 1 กิโลเมตร ต่อช่อง ทำการค้นหาอย่างเป็นระบบ
เพื่อแยกแยะระหว่างแร่ธาตุใต้ทะเลกับขยะในมหาสมุทร พวกเขาได้ออกแบบ เครื่องตรวจจับโลหะพิเศษ ซึ่งจะตอบสนองเฉพาะกับโลหะทรงกลมขนาดเล็กเท่านั้น
ผลลัพธ์คือ—พวกเขาพบเพียงเหรียญทองยุคการเดินเรือสำรวจโลก (Age of Exploration) ที่จมอยู่ใต้ทะเล ไม่พบร่องรอยของเหรียญของบอร์เฆส
เมื่อพิจารณาว่า เหรียญดังกล่าวถูกน้ำทะเลกัดเซาะมาเป็นเวลาหลายสิบปี มันอาจเหลือเพียงเศษชิ้นส่วนเล็ก ๆ หรืออาจสลายหายไปจนหมดสิ้นแล้วก็เป็นได้
ในปีที่สอง มหาเศรษฐี ได้สั่งให้ทีมสำรวจ ละทิ้งการค้นหาที่เซร์โร และขยายขอบเขตการสำรวจไปยังมหาสมุทรทั่วโลก โดยดำเนินโครงการวิจัยทางทะเล แต่ยังคงเปิดเครื่องตรวจจับโลหะไว้ เผื่อว่ามันอาจจับสัญญาณของเหรียญได้ และหากมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทีมงานจะพยายามกู้คืน
มหาเศรษฐีย่อมเข้าใจดีว่า ความหวังในการค้นพบเหรียญนั้นริบหรี่จนแทบเป็นศูนย์ แต่สำหรับเขาแล้ว กระบวนการค้นหา คือการ คารวะต่อบอร์เฆส เป็นดั่งการเดินทางแสวงบุญ ค่าใช้จ่ายมหาศาลและระยะเวลาที่ยาวนาน ที่ต้องทุ่มเทให้กับการค้นหาครั้งนี้—ก็สมควรแล้วที่จะเป็นราคาสำหรับ “ความยิ่งใหญ่ของบอร์เฆส”
เรือดำน้ำ “อาเลฟ” (ซึ่งตั้งชื่อตามหนึ่งในเรื่องสั้นของบอร์เฆส) มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าประเทศใดในยุคนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแทรกแซง ภารกิจสำรวจครั้งนี้จึงไม่เคยถูกเปิดเผยต่อโลกภายนอก
เรือดำน้ำ ลอยตัวขึ้นเป็นระยะตามพิกัดที่กำหนด เพื่อทำการเชื่อมต่อกับ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของมหาเศรษฐี เครื่องบินจะลำเลียงเสบียงลงไปและนำฟุตเทจที่บันทึกโดยกล้องภายนอกของเรือดำน้ำกลับขึ้นมา มหาเศรษฐีจะรับชมภาพจากใต้ทะเลลึกก่อนเข้านอนทุกคืน
การสำรวจดำเนินไปเกือบสามปี จนกระทั่งปลายปี 1999 เรือดำน้ำ “อาเลฟ” ขาดการติดต่อ มีการสันนิษฐานว่า มันอาจประสบอุบัติเหตุขณะสำรวจร่องลึกมหาสมุทร
ปีถัดมา มหาเศรษฐีเสียชีวิต หลายปีให้หลัง หลานสาวของเขาบังเอิญพบ ม้วนวิดีโอ ท่ามกลางข้าวของที่เขาทิ้งไว้ หนึ่งในวิดีโอเหล่านั้น บันทึกภาพที่น่าเหลือเชื่อ
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 เรือดำน้ำ อาเลฟ แล่นเข้าสู่เขาวงกตที่ประกอบขึ้นจากแนวปะการัง แสงไฟฉายส่องของเรือดำน้ำส่องให้เห็นทัศนียภาพที่งดงามและชวนให้หลงใหล ราวกับเป็นโลกที่ถูกสรรค์สร้างจากความฝัน แต่แล้ว ทีมงานได้คำนวณระยะห่างระหว่างแนวปะการังผิดพลาด ส่งผลให้เรือดำน้ำติดอยู่ระหว่างช่องแคบของปะการัง และไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
หกชั่วโมงต่อมา กล้องบันทึกภาพเรือดำน้ำสีน้ำเงินลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาจากระยะไกล ก่อนที่ใครจะทันตั้งตัว เรือลึกลับได้ยิงตอร์ปิโดสองลูก ตรงมาทางเรือดำน้ำ อาเลฟ ตอร์ปิโดพุ่งเข้าชนแนวปะการังอย่างแม่นยำ ปะการังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แรงระเบิดทำให้เรือดำน้ำ อาเลฟ ที่ติดอยู่สามารถเคลื่อนที่ได้ ลูกเรือที่เกือบจะหมดสติจากการขาดออกซิเจนรีบควบคุมเรือดำน้ำให้ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ส่วน เรือดำน้ำลึกลับลำนั้น มัน จมหายไปในทะเลลึก ราวกับ วิญญาณใต้มหาสมุทร และหลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ไม่เคยพบมันอีก
Sponsored Ads
ต้นฉบับที่ถูกเปิดเผยหลังการเสียชีวิตของ เฉิน โถวหนาน จิตรกรแนวอิมเพรสชั่นนิสต์และกวีแนวสัญลักษณ์ผู้มีชื่อเสียงของประเทศจีน มีบทความหนึ่งที่เขาเขียนย้อนความทรงจำถึงชีวิตในวัยเยาว์ (บางคนจัดประเภทว่าเป็นเรื่องแต่ง) บางทีอาจมีคำอธิบายอื่นสำหรับเหตุการณ์ลึกลับนี้:
ช่วงวันหยุดวันชาติ ฉันกลับไปเยี่ยมบ้านเก่า เตียงไม้เก่าในห้องของฉันช่างนอนสบายอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าฉันจะนอนท่าไหน ทุกท่าล้วนซ้อนทับกับภาพของฉันในอดีต—จากวัยเด็กจนถึงตอนนี้—เรียงตัวซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เหมือนตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย ฉันรู้สึกอิ่มเอมและสงบสุขเป็นพิเศษ เตียงนุ่มราวกับ ผืนน้ำในทะเลสาบ ฉันค่อยๆ จมลงไปอย่างเงียบ ๆ ในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงนี้
เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันเริ่มมองสำรวจรอบห้อง ผ้าม่านมีลวดลายใบไม้สีน้ำตาลจำนวนมาก ในท่วงท่าต่าง ๆ ขณะกำลังร่วงหล่น มันเข้ากับฤดูใบไม้ร่วงได้อย่างสมบูรณ์แบบ พื้นไม้สนสีเหลืองอ่อน โต๊ะทำงานสีเดียวกัน โคมไฟตั้งโต๊ะคอหงส์สีน้ำเงิน นาฬิกาแขวนทรงกลมที่มีเข็มเรืองแสงสีเขียว มันหยุดเดินไปนานแล้ว แต่ยังแขวนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่มีเหตุผล ผนังถูกทาสีใหม่ครั้งหนึ่ง แต่ยังคงมองเห็นร่องรอยของภาพวาดขีดเขียนในวัยเด็กของฉันได้ราง ๆ ราวกับเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ
หลายปีผ่านไป ฉันยังคงรักห้องนี้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ห้องควบคุมของเรือดำน้ำอีกต่อไป ฉันควรลุกจากเตียงแล้ว เสียงพ่อแม่เรียกให้ไปกินข้าวเย็นดังมาจากกาลเวลาที่แสนไกล ขณะสวมเสื้อผ้า ฉันยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองอายุสามสิบปีแล้ว
ระหว่างมื้อเย็น แม่เอ่ยขึ้นมา “สัปดาห์ที่แล้ว หมอเซินเสียชีวิตแล้วนะ” “เมื่อก่อน เขาเคยรักษาให้ลูก จำได้ไหม?”
พ่อแม่ของฉันไม่เคยพูดถึงช่วงหลายปีที่ฉันป่วยต่อหน้าภรรยาเลย ครั้งนี้ภรรยาของฉันไม่ได้มาด้วย เพราะต้องกลับไปช่วยที่บ้าน ฉันจึงทำเพียงส่งเสียงรับเบา ๆ ขณะที่ยังคาบตะเกียบไว้ในปาก
ในช่วงหลายปีที่อยู่มัธยมต้น ฉันเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของจินตนาการอันบิดเบี้ยว อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตัวฉันเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว มันคือฝันร้ายตลอดหลายปี แต่ตอนนี้ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ฉันแต่งงาน มีลูก ทำงานในบริษัทโฆษณา ใช้ชีวิตเหมือน “คนปกติ” ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจ
ตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ฉันจมอยู่กับจินตนาการอันล้นเหลือ มันทำให้ฉันไม่สามารถจดจ่อกับการเรียน หรือแม้แต่ทำอะไรได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ตอนที่ยังเด็กกว่านั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามันเป็นปัญหา พวกเขายังชมว่าฉันมีจินตนาการกว้างไกลเสียด้วยซ้ำ
ฉันเคยมองลายไม้บนประตู แล้วชี้ให้พ่อแม่ดู “นี่คือหมวกเหล็กของแม่ทัพโบราณ” “ส่วนนี่เป็นด้านข้างหมีแพนด้า” พ่อแม่ก็มองตาม แล้วบอกว่า “เออ จริงด้วย” บางครั้งฉันนั่งจ้องลวดลายของพื้นหินอ่อน และจินตนาการว่าสายเส้นบาง ๆ คือแม่น้ำ พื้นที่สีเข้มเป็นภูเขา ฉันใช้เวลาทั้งบ่ายเดินทางผ่านผืนแผนที่นี้ ปีนข้ามหุบเหวและลำธาร จนกว่าจะไปถึงแผ่นหินอ่อนอีกแผ่นหนึ่ง
มีวันหนึ่ง พ่อกลับบ้านมาและเห็นฉันจ้องชักโครกที่กำลังหมุนวนอย่างจริงจัง
“ทำอะไรอยู่น่ะ?” พ่อถาม
ฉันตอบด้วยความจริงจังว่า “ที่ทะเลสาบล็อกเนสเกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่ เรือแคนูของพวกเรากำลังจะถูกดูดลงไปแล้ว”
พ่อมองฉัน แล้วถามว่า “พวกเราคือใคร?”
“ก็ฉันกับตินติน แล้วก็หมาของเขา”
พ่อไม่ได้ดุฉัน เขาแค่ลูบหัวแล้วพูดว่า “ให้พ่อช่วยไหม? ไม่อย่างนั้นเราจะไปกินข้าวเย็นไม่ทันนะ”
Sponsored Ads
จินตนาการของฉันเป็นเหมือนหมอกก้อนเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นโดยไม่มีที่มา และจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตราบใดที่เป็น หนังสือที่มีภาพประกอบ ฉันก็สามารถนั่งเหม่อมองมันได้ทั้งวัน แม้แต่ ไส้ปากกาลูกลื่นเพียงแท่งเดียว ฉันก็มองมันได้นานจนหมดคาบเรียน ดังนั้น ผลการเรียนของฉัน… ก็คงไม่ต้องเดาเลย
ตั้งแต่ ป.4 เป็นต้นมา ฉันหลงใหลในภาพวาดภูเขาและลำธารอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ฉันเคยเห็นภาพ “ภูเขาเขียวยามเย็นในฤดูใบไม้ร่วง”《秋山晚翠图》ในหนังสือเรียนศิลปะ และติดอยู่ในภาพนั้นไปเลย
ฉันปีนต้นไม้ประหลาดที่เชิงเขาจากก้อนเมฆที่ด้านล่างภาพวาด ลัดเลาะไปตามลำธาร และปีนขึ้นไปถึงสะพานไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ด้านบนขอภาพวาด ฉันใช้เวลาสามวันอยู่ในภาพนั้น—แต่ในชีวิตจริง มันคือสองคาบเรียน
ฉันวาดด้านหลังของภูเขาในภาพ “การเดินทางในภูเขาและลำธาร”《溪山行旅图》บนกระดาษร่าง แล้วออกแบบเส้นทางปีนเขาของตัวเอง จินตนาการว่าหลังจากปีนถึงยอดแล้ว ฉันแอบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ มองลงไปยังพ่อค้าผู้เดินทางผ่านหุบเขาเบื้องล่าง
ฉันเคยใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ท่องไปในภาพ “ป่าทึบและยอดเขาไกลโพ้น”《茂林远岫图》จินตนาการว่าตัวเองเดินจากลำธารขึ้นไปจนถึงเชิงผา คิดหาทางหลบหลีกสัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในภูเขาได้อย่างไร และในที่สุดก็เข้าไปซ่อนในถ้ำที่ปลอดภัย
แต่ในโลกแห่งความจริง… ครูมักจะฟ้องพ่อแม่ฉันบ่อย ๆ
“ลูกของคุณสมาธิสั้นเกินไป เวลาสอนทีไร ชอบเหม่อลอยอยู่เสมอ!”
เมื่อแม่ของฉัน ซึ่งเป็นครูสอนเปียโน ตัดสินใจสอนฉันเล่นเปียโนเพื่อฝึกสมาธิ ฉันต้องฝึกไล่นิ้วอย่างทุกข์ทรมาน คีย์สีดำและขาวที่อยู่ตรงหน้าฉัน บางครั้งมันกลายเป็นหมีแพนด้า บางครั้งมันกลายเป็นเพนกวิน สุดท้ายฉันรู้สึกเหมือนกำลังเกาพุงให้ม้าลายอยู่ เพื่อกระตุ้นความสนใจของฉัน แม่เล่นเพลงของโมสาร์ทให้ฟัง พร้อมพูดว่า “ถ้าฝึกดี ๆ วันหนึ่งลูกจะเล่นเพลงที่ไพเราะแบบนี้ได้”
ฉันฟังเพลงนี้อย่างว่างเปล่าอยู่นาน ในเพลงหนึ่ง ฉันจินตนาการว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นลงบนบอลลูนลมร้อน และสุดท้ายบินเข้าสู่ทางช้างเผือก อีกเพลงหนึ่งเป็นเรื่องของเด็กชายตัวน้อย กำลังใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปมาบนผิวน้ำ ส่วนเพลงสุดท้ายเป็นภาพของสวนสนุกที่เปิดไฟสว่างไสวในยามค่ำคืน
แม่เห็นฉันฟังอย่างตั้งใจ จึงถามว่าฉันรู้สึกอย่างไร เมื่อฉันเล่าให้ฟังจนจบ แม่ถอนหายใจ ปิดฝาเปียโน แล้วพูดว่า “ไปเล่นเถอะ”
แต่เดิม ฉันมีแต่จินตนาการกับภาพที่เห็นเท่านั้น แต่จากนั้นเป็นต้นมา ฉันเริ่มจินตนาการจากเสียงได้อีกด้วย
Sponsored Ads
หลังจากเข้ามัธยมต้น ฉันเริ่มสนใจประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ แต่เป็นเพียงความสนใจผิวเผิน ไม่ได้ลงลึก ฉันใช้ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เป็นปุ๋ยบำรุงให้จินตนาการเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก สมองของฉันเหมือนมีเถาวัลย์นับพันพันเส้น ที่เลื้อยพันทุกสิ่งที่พบเจอ รัดแน่นและหมุนวน ก่อนจะออกดอกบานสะพรั่ง
ฉันสามารถเหม่อลอยได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน มองเห็นอะไรก็สามารถ หลุดเข้าไปในความคิดของตัวเอง ได้เสมอ บางครั้งก็ พูดอะไรแปลก ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว เพื่อน ๆ ต่างก็มองว่าฉันเป็นตัวประหลาด ผลการเรียนก็ย่ำแย่ไม่มีชิ้นดี
พ่อแม่พาฉันไปปรึกษาครูแนะแนวของโรงเรียนแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็พาไปหาจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง บางคนบอกว่า ฉันมีอาการเพ้อฝันผิดปกติ บางคนก็บอกว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่มีจินตนาการสูงเกินไป แต่ สรุปแล้วก็ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ทุกคนลงความเห็นว่า “รอให้โตขึ้นอีกหน่อย เดี๋ยวอาการอาจจะดีขึ้นเอง” พ่อแม่มักจะถอนหายใจอยู่บ่อย ๆ ส่วนฉันกลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไรเลย
ฉันสามารถนอนหลับในฝักบัว ว่ายน้ำไปจนถึงขอบเมฆ เดินบนกระดานดำ และ ไล่ตามวาฬสีน้ำเงินที่ซ่อนอยู่ในขวดหมึก ฉันสามารถ ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศขณะที่ถูกครูดุ ไม่มีใคร ควบคุมฉันได้ และไม่มีใคร จับฉันได้ ฉันเดินทางเข้าออกได้ทุกโลกตามใจชอบ และ โลกใบนี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ ฉันยังสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติด้วย เมื่อฉัน จินตนาการว่าตัวเองกำลังปีนป่ายอยู่ในภาพวาดภูเขาและลำธาร ถ้าหากฉันจินตนาการได้ลึกซึ้งมากพอ เมื่อลืมตาขึ้นมา ฉันกลับรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ราวกับว่า ฉันได้ปีนเขาจริง ๆ
คืนหนึ่งก่อนนอน ฉันจ้องมองภาพ “สระบัว” (Water Lilies) ของโมเนต์อยู่นานมาก ในความฝัน ฉันกลายเป็นคนตัวเล็ก ๆ ล่องลอยอยู่ท่ามกลางกลีบดอกบัว เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันยังคงได้กลิ่นหอมจางๆ อยู่ข้างหมอน
แม่ถามฉันระหว่างมื้อเช้าว่า “แอบเอาน้ำหอมแม่ไปฉีดหรือเปล่า?”
จากเหตุการณ์นี้ ฉันเริ่มสันนิษฐานว่า ถ้าหากจินตนาการของฉันมีความสมจริงมากพอ ละเอียดมากพอ และมั่นคงมากพอ มันอาจ เชื่อมโยงเข้ากับโลกแห่งความจริงได้ ราวกับว่าทั้งสองโลก สามารถสัมผัสกันได้ที่ไหนสักแห่ง ถ้าฉันถูกเสือกระโจนออกมาจากป่าแล้วกลืนกินเข้าไปในจินตนาการ บางที ฉันในโลกความจริงอาจจะหายไปด้วย แน่นอนว่าฉันไม่เคยลอง และไม่คิดจะลอง ฉันพอใจแค่เป็นนักเดินทางในโลกแห่งความฝัน ไม่ใช่นักวิจัยที่ต้องค้นหากลไกเบื้องหลังมัน และฉันเชื่อว่า หากจินตนาการมีความสมจริงมากพอมันก็จะ กลายเป็นความจริงในอีกรูปแบบหนึ่ง
ตอนอยู่ ม.2 ฉันคิดค้นเกมใหม่ขึ้นมา จินตนาการถึงละอองฝุ่นที่ลอยอยู่ในแสงแดด ตอนนั้น ฉันพอมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่บ้างแล้ว ฉันจินตนาการว่า ละอองฝุ่นเม็ดหนึ่งคือดาวเคราะห์ จากนั้นฉัน แต่งประวัติศาสตร์ของดาวเคราะห์ดวงนั้นขึ้นมา ตั้งแต่ยุคหัดใช้ไฟ ไปจนถึง การสร้างยานอวกาศ เพื่อออกสำรวจละอองฝุ่นดวงอื่น แน่นอนว่าฉันอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ของโลกเรา แล้วฉันก็ตระหนักว่าการใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเพื่อจินตนาการเรื่องราวที่กินเวลาหลายพันปี ทำให้โครงสร้างของเรื่องหลวมเกินไป เต็มไปด้วยช่องโหว่ และจินตนาการก็เลือนหายไปง่ายดายเกินไป ดังนั้นฉันลองปรับใหม่ ฉันลองใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อจินตนาการถึงเหตุการณ์ภายในหนึ่งวันของดาวเคราะห์ดวงนั้น แต่สุดท้าย มันกลายเป็นโครงการที่ใหญ่เกินไป และคงไม่สนุกเลย
สุดท้ายฉันตัดสินใจ ใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ยาวหนึ่งร้อยปี ฉันกำหนด เผ่าพันธุ์ สิ่งมีชีวิต ทรัพยากร ประเทศ รูปร่างของทวีป ฯลฯ ใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มพัฒนาไปเอง จินตนาการก็เหมือนเรือกับการล่องไปตามกระแสน้ำ สิ่งที่ยากคือการลากเรือจากฝั่งลงสู่แม่น้ำ แต่พอเรือแตะผิวน้ำแล้ว เพียงแค่ผลักเบา ๆ จินตนาการก็ไหลลื่นไปเอง เรื่องราวในฝันตอนกลางวัน มักจะ ต่อเนื่องเข้าไปในความฝันยามค่ำคืน บางครั้งฉันถึงกับสงสัยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา อาจเป็นแค่จินตนาการของใครบางคนที่มองดูละอองฝุ่นอยู่ก็ได้ แต่ฉันพบว่าเกมนี้ มีข้อบกพร่องสำคัญ ไม่ว่าฉันจะตั้งต้นเรื่องอย่างไร สุดท้าย โลกใบจิ๋วของละอองฝุ่นต้องจบลงด้วยสงครามโลก ฉันลองเปลี่ยนเงื่อนไขหลายครั้ง แต่ก็ หลีกเลี่ยงสงครามไม่ได้เลย เสียง อาวุธปะทะกัน เปลวเพลิง และกลุ่มเมฆรูปเห็ดจากระเบิดนิวเคลียร์ ทำให้ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน สุดท้ายฉันเลยตัดสินใจ หยุดจินตนาการ เหมือน ใช้มือบี้บุหรี่ที่ยังติดไฟให้ดับสนิท
Sponsored Ads
หลังจากนั้น ฉันก็คิดค้นเกมที่ทำให้ฉันหลงใหลที่สุด และก็อันตรายที่สุดด้วย—ฉันสร้างเรือดำน้ำขึ้นมา ปู่ของฉันเป็นนักสมุทรศาสตร์ ตอนฉันอายุเจ็ดขวบ ท่านตัดสินใจเข้าร่วมการสำรวจมหาสมุทร แม้ว่าครอบครัวจะคัดค้าน เพราะท่านมีอายุถึงหกสิบปีแล้ว ท่านไม่เคยบอกเราว่าไปที่ไหนหรือทำอะไร และสุดท้ายก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ตอนที่ฉันยังเล็ก ทุกคืนก่อนนอน ฉันจะฟังปู่เล่าเรื่องราวของท้องทะเล พ่อของฉันเองก็เคยฟังเรื่องพวกนั้นตอนเด็ก และเชื่อว่าเรื่องเล่าของปู่คือสาเหตุที่ทำให้ฉันเป็นคนเพ้อฝัน ฉันคิดถึงปู่เสมอ ในจินตนาการของฉัน ปู่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับท้องทะเล
ตอนอายุ 14 ปี เทอมแรกของมัธยมต้นปีที่ 3 ฉันตัดสินใจ เริ่มต้นการเดินทางสู่โลกใต้น้ำในจินตนาการของตัวเอง ฉันร่างพิมพ์เขียวอย่างละเอียด บนด้านหลังของสมุดจดในห้องเรียน ฉันออกแบบเรือดำน้ำของตัวเอง มันสร้างจากโลหะผสมที่แข็งแกร่งที่สุด (แต่ฉันไม่ได้ลงรายละเอียดว่ามันคืออะไร) เครื่องยนต์เป็นเครื่องจักรพลังงานนิรันดร์ ตัวเรือมีรูปทรงคล้ายเมล็ดมะกอก ตัวเรือเป็นสีน้ำเงินเข้มมีหน้าต่างกลมทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ทำจากกระจกที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ พร้อมฟังก์ชันมองกลางคืน เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไป จะเห็นมหาสมุทรเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่ใช่สีดำสนิท โครงสร้างภายในของเรือดำน้ำเหมือนชั้นสองของบ้านฉันเป๊ะ คือ ห้องของพ่อแม่ ห้องของฉัน ห้องรับแขกเล็ก ๆ ที่มีเปียโนตั้งอยู่ และ ห้องน้ำ
แผนการของฉันเป็นแบบนี้ ตอนกลางวัน ชั้นสองของบ้านฉันก็ยังคงเป็นชั้นสองของบ้านตามปกติ ที่ตั้งอยู่ใน เมืองเล็ก ๆ ท่ามกลางขุนเขาแต่พอถึง เวลากลางคืน แค่ฉันกดปุ่มบนโต๊ะเขียนหนังสือ พื้นที่ภายในชั้นสองของบ้านจะเปลี่ยนไปอยู่ในเรือดำน้ำ แล้วมันก็ ออกเดินทางใต้มหาสมุทร พ่อแม่ของฉัน นอนหลับอยู่ในห้องข้าง ๆ พวกเขาไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้เลยว่าตอนนี้หน้าต่างที่มืดมิดเป็นเพราะความมืดของกลางคืน หรือเป็นเพราะน้ำทะเลที่โอบล้อมอยู่ ห้องของฉันก็คือห้องควบคุมของเรือดำน้ำ ฉันเป็นกัปตัน ลูกเรือของฉันมี ฟุชิกิดาเนะ และปิกาจู
ทุกค่ำคืน ฉันจะนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ ใช้ ปลายนิ้วเคาะเบาๆ บนพื้นโต๊ะ ระบบเริ่มทำงาน พื้นโต๊ะ เปลี่ยนเป็นแผงควบคุม มี หน้าปัดและเครื่องมือวัดค่าต่าง ๆ กระจกหน้าต่างด้านหน้า แสดงภาพใต้ท้องทะเลลึกสีคราม ปิกาจูที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้ช่วยกัปตันพูดขึ้นว่า “ปิก้า ปิก้า!” ซึ่งหมายความว่า “กัปตันเฉิน! ออกเดินทางกันเถอะ!” ฟุชิกิดาเนะ ก็พูดขึ้นว่า “ซี้ด ซี้ด” หมายความว่า “ทุกอย่างพร้อมแล้ว!” ฉันก้มมองลูกโลกที่วางอยู่บนโต๊ะ มีจุดสีแดงกะพริบขึ้นมา นั่นคือตำแหน่งปัจจุบันที่เราอยู่ตอนนี้ เรือดำน้ำอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว นาฬิกาแขวนผนัง ไม่ได้เป็นแค่เครื่องบอกเวลา แต่มัน เป็นหน้าจอเรดาร์ ซึ่งแสดงว่า บริเวณใกล้เคียงไม่มีศัตรูอยู่เลย เส้นทางที่เราวางแผนไว้คือ ออกเดินทางจากแม่น้ำในเมือง เข้าสู่ แม่น้ำหมิ่นเจียง จากนั้น ไหลสู่มหาสมุทร อ้อมผ่านเกาะไต้หวัน ทำการเดินทางรอบโลก! ตอนที่เราอยู่ในแม่น้ำและลำคลอง เรือดำน้ำจะหดตัวเล็กเท่าลูกอเมริกันฟุตบอล เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น แต่พอถึงใต้มหาสมุทร มันก็จะขยายกลับเป็นขนาดปกติ พร้อมออกสำรวจโลกใต้ทะเล!
ฉันตั้งค่าเวลาเดินเรือไว้ที่ปี 1997 เพราะตอนนั้นปู่ของฉันยังออกสำรวจมหาสมุทร บางที เราอาจได้พบเขาก็ได้ ฉันจับคอของโคมไฟตั้งโต๊ะ (ซึ่งเป็นคันบังคับ) แล้วผลักไปข้างหน้า พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ออกเดินทาง!” เรือดำน้ำ เคลื่อนตัวอย่างมั่นคง ฝ่าความมืดดำของท้องทะเลลึกไป
การผจญภัยของเราเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันหนึ่ง เราถูกปลาหมึกยักษ์ไล่ล่า เราต้องแล่นเต็มกำลังตลอดทั้งคืน จนกระทั่งเรือดำน้ำไปยังพื้นทะเลลึก จากนั้น เปิดโหมดล่องหน พรางตัวเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง เจ้าปลาหมึกยักษ์ลอยผ่านอยู่เหนือหัวเรา หนวดที่เต็มไปด้วยปุ่มดูดของมันแกว่งไปมา มองไปรอบๆ ด้วยความสับสนเหมือนกำลังสงสัยว่าพวกเราไปไหน พวกเรานั่งกลั้นหายใจอยู่ข้างล่าง สัมผัสถึงความระทึกที่หวานหอม
เราใช้เวลาสามคืน ล่องลอยผ่านป่าปะการัง ที่นั่นงดงามราวกับมหาวิหารใต้สมุทร เราพบเรือดำน้ำลำหนึ่งติดอยู่ระหว่างกอปะการัง ไม่รู้ว่ามาจากประเทศไหน เราตัดสินใจช่วยมันออกมา บางที เราอาจแอบเล็ดลอดเข้าไปในมหาสมุทรของความเป็นจริง หรือ อาจเป็นเพียงแค่จินตนาการของใครอีกคน เราไม่ได้คิดมากไปกว่านั้น
ครั้งหนึ่ง เราสำรวจร่องลึกใต้สมุทร ในความมืดสนิท จู่ ๆ ก็มีมังกรทะเลโบราณ แหวกว่ายออกมาเงียบๆ เกือบจะงับเรือดำน้ำของเราเข้าไปทั้งลำ! เสียงเขี้ยวอันแหลมคมของมันขูดไปตามตัวเรือ แค่คิดถึงตอนนั้น ก็ยังทำให้ขนลุกซู่ พอจ้องผ่านกระจกออกไป เห็นเกล็ดแข็งวาววับของมัน ส่องประกายราวกับเหล็กกล้า แม้มันจะน่ากลัว…แต่ก็สวยงามจริงๆ
เรายังมีเพื่อนที่ดีตัวหนึ่ง เป็นวาฬเพชฌฆาตที่ใจดีมาก ทุกครั้งที่เรามีภัย เราแค่ส่งสัญญาณออกไป มันจะ ปรากฏตัวราวกับเทพผู้พิทักษ์ ช่วยพวกเราต่อสู้เคียงข้างเราอยู่เสมอ
Sponsored Ads
ตั้งแต่เริ่มต้นจินตนาการนี้ขึ้นมา ช่วงกลางวันฉันเริ่มเหม่อลอยน้อยลง เพราะ ฉันต้องเก็บพลังจินตนาการไว้ใช้ในตอนกลางคืน แต่ฉันก็ยังไม่ตั้งใจเรียนอยู่ดี ฉันเอาแต่ปรับปรุงแบบแปลนของเรือดำน้ำ วางแผนการผจญภัยครั้งใหม่อยู่ตลอดเวลา
หลังจากกลับมาจากการศึกษาด้วยตนเองในช่วงเย็น ฉันจะนั่งในห้องหนังสือ วางโครงเรื่องคร่าวๆ สำหรับค่ำคืนนี้ จากนั้นเคาะโต๊ะเบา ๆ แล้วปล่อยตัวเองดำดิ่งลงไปในโลกของจินตนาการ เนื้อเรื่องในจินตนาการส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่บางครั้ง มันก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ฉันควบคุมไม่ได้ และ นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้มันสนุกที่สุด หลังจากหลับไป เหตุการณ์ในจินตนาการก็ยังคงดำเนินต่อไปในความฝัน แสงสะท้อนจากปะการังและเงาของสาหร่ายทะเลที่พลิ้วไหวอยู่ด้านนอกหน้าต่างทุกค่ำคืน
คืนหนึ่งพ่อฉันออกไปดื่มกับเพื่อน ดึกแล้วก็ยังไม่กลับบ้าน ฉันเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะว่าถ้าฉันย้ายพื้นที่ชั้นสองของบ้านไปอยู่ในเรือดำน้ำที่ก้นทะเล ตำแหน่งเดิมของมันจะกลายเป็นอะไร ฉันไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน บางทีพอพ่อขึ้นมาถึงชั้นสองแล้วเปิดประตู สิ่งที่เขาอาจเห็นอาจเป็นเพียงความว่างเปล่า หรือไม่ก็ ทั้งห้องอาจเต็มไปด้วยน้ำทะเล ฉันไม่กล้าเสี่ยง ทำได้เพียงแค่รอ…
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว การนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือเริ่มหนาวเกินไป ฉันจึงย้ายแผงควบคุมไปไว้บนเตียงแทน ลวดลายบนหมอนกลายเป็นปุ่มควบคุม พนักพิงหัวเตียงคือจอแสดงผล เมื่อเปิดใช้งานโหมดมองทะลุและระบบไฟส่องสว่าง ฉันจะเห็น แสงลอดผ่านน้ำทะเลสีครามเข้ม ฝูงปลาที่ว่ายผ่าน และพื้นทรายใต้มหาสมุทร ฉันซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนคว่ำลงบนเตียง มือทั้งสองข้างวางข้างหมอน เตรียมพร้อมออกเดินทาง
สี่ทุ่มครึ่ง พ่อฉันกลับถึงบ้านในที่สุด ฉันฟังเสียงเขาล็อกประตู เสียงฝีเท้าบนบันได เสียงประตูห้องนอนที่ถูกปิดลงเบา ๆ ความสุขอบอวลอยู่ในผ้าห่มทันที เหมือนนกที่กลับสู่รัง เหมือนปลาที่ดำดิ่งสู่ส่วนลึกของทะเล ทุกอย่างมั่นคง ปลอดภัย ค่ำคืนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง เมื่อประตูถูกปิดลง บ้านก็ปิดสนิท เหมือนเปลือกของผลไม้แข็ง ๆ ห่อหุ้มทุกอย่างไว้ ภายนอกเงียบสนิท บางครั้งมีเสียงสุนัขเห่าก้องจากที่ไกล ๆ เหมือนแสงริบหรี่ที่ระยิบระยับอยู่บนผิวน้ำในความมืด
ฉันอยากจะอยู่ในค่ำคืนนี้ตลอดไป… ไม่ต้องออกไปสู่โลกภายนอกอีกเลย ฉันกดปุ่มสตาร์ท—เข้าสู่เรือดำน้ำ ฟุชิกิดาเนะ เอียงศีรษะถามว่า “ซี้ด ซี้ด?” (คืนนี้ดึกจังเลยเนอะ?) ฉันตอบว่า “ขอโทษที่ให้รอนาน… ไปกันเถอะ!” คืนนั้นเราดำดิ่งใต้ผืนน้ำแข็งของมหาสมุทรอาร์กติก ฉันลืมออกแบบระบบทำความร้อน ผลที่ตามมาคือ…ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดมา พร้อมกับไข้หวัด
Sponsored Ads
คืนหนึ่งในช่วงมัธยมปลายปีที่ 2 ฉันเลิกเรียนพิเศษตอนดึก วิ่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น คืนนี้…พวกเราจะไปสำรวจร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ฉันวางแผนสำหรับวันนี้มานานมาก—ปิกาจูตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้ว! แต่เมื่อฉันเปิดประตูบ้าน… พ่อแม่ของฉันนั่งอยู่ในห้องรับแขก สีหน้าเงียบขรึม บนโต๊ะน้ำชา มีสมุดโน้ตของฉันเปิดกางออก ทุกหน้าล้วนเต็มไปด้วยภาพเรือดำน้ำที่ฉันวาด ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันจ้องมองสมุดโน้ต แล้วพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“โถวหนาน… ลูกต้องหยุดสิ่งนี้ได้แล้ว”
ภายใต้แสงไฟ ฉันมองเห็นความทุกข์ใจบนใบหน้าของพ่อแม่ ทำให้ฉันเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่าพ่อแม่ของฉันดูแก่ลงมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันเอาแต่จมอยู่ใต้ท้องทะเลในจินตนาการของตัวเอง ไม่เคยสังเกตเลยว่าพวกเขาเปลี่ยนไปแค่ไหน คืนนั้น
พวกเขาพูดกับฉันมากมาย บอกเล่าความกังวลตลอดหลายปีที่ผ่านมาของพวกเขา แม่ร้องไห้ และฉันก็ไม่เคยเห็นสีหน้าของพ่อที่เต็มไปด้วย ความสิ้นหวัง แบบนั้นมาก่อน มันเป็นบทสนทนาที่หนักอึ้ง กระหน่ำเข้ามาในช่วงเวลาที่ฉันกำลังมีความสุขที่สุด
จนกระทั่งหลายปีต่อมา เมื่อฉันหวนคิดถึงมันอีกครั้ง ประโยคต่าง ๆ เริ่มเลือนราง แต่ หัวใจกลับยังคงถูกปกคลุมด้วยความเศร้าหมอง
“สอบเข้ามหาวิทยาลัย”
“หางานทำ”
“แต่งงาน”
“ซื้อบ้าน”
แนวคิดเหล่านี้เคยเป็นเหมือนดาวเคราะห์ที่ล่องลอยอยู่นอกจักรวาลของฉัน แต่หลังจากคืนนั้น มันเริ่มร่วงหล่นลงมาตรงหน้า ทีละดวง… ทีละดวง เหมือน อุกกาบาตที่ลุกเป็นไฟ ฉันเพิ่งเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ “คนปกติ” ควรจะต้องกังวล และทั้งหมดที่พวกเขาต้องการจากฉัน ก็แค่ให้ฉันเป็น “คนปกติ”
ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรที่ผิดแปลก นอกจาก ชอบเหม่อลอยและเรียนแย่ แต่พ่อแม่ของฉันมองเห็นว่า จิตใจของฉันล่องลอยอยู่ที่อื่น พวกเขารู้ว่า ฉันไม่ได้อาศัยอยู่แค่ในโลกใบนี้ แต่ฉันเอง กลับไม่เคยตระหนักเลย ว่าความฝันของฉันมีบางอย่าง “ผิดปกติ” ว่าความเจ็บปวดของพ่อแม่มาจากอะไร และเมื่อคิดถึง เวลามากมายที่ฉันทิ้งไปในท้องทะเลแห่งจินตนาการ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลิ้มรสของ “ความวิตกกังวล”
คืนนั้น… ฉันนอนหลับโดย ไม่ได้กลับไปที่เรือดำน้ำของฉัน ฉันฝันถึง ภาพที่แปลกประหลาด โลกในฝันของฉันบิดเบี้ยว ราวกับภาพเขียนแนวเซอร์เรียลลิสม์ที่ยุ่งเหยิง
Sponsored Ads
วันต่อมา ฉันพยายามตั้งใจฟังบทเรียน แต่พบว่า ฉันทำไม่ได้อีกแล้ว จิตใจของฉันล่องลอยไป… ล่องลอยไปอย่างไม่อาจควบคุม ฉันจ้องมอง รอยแตกร้าวบนผนังห้องเรียน และจินตนาการว่ามันคือ แผนที่ของร่องลึกใต้มหาสมุทร ฉันจ้องมองลำแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามา และเห็น ดวงดาวมากมายวิ่งไล่ล่ากันอยู่ในนั้น ฉันจ้องมอง ยางลบ กลิ่นของมันคล้ายกับ ครีบเท้าของชุดดำน้ำ ซึ่งฉันเคยสวมใส่ ตอนที่ฉันดำน้ำตื้นเพื่อเก็บไข่มุกในจินตนาการ ฉันเปิดตำราเรียน หวังจะอ่านเนื้อหา แต่กลับใช้เวลาครึ่งชั่วโมง เพียงแค่จ้องมองรายชื่อบรรณาธิการสิบกว่าคนบนหน้าแรก ฉันนั่งนิ่งอยู่กับที่
คาดเดา บุคลิก หน้าตา และชีวิตของพวกเขา จากเพียงแค่ชื่อที่พิมพ์อยู่ตรงนั้น ในหัวของฉัน เต็มไปด้วยเถาวัลย์นับพันเส้น แต่ละเส้นแตกกิ่งก้านออกไปเป็นร้อยเป็นพันแขนง ปกคลุมห้องเรียนทั้งหมด จนกระทั่งมันเติบโตแผ่ขยาย และ กลืนกินทุกคนไปจนหมดสิ้น
ผ่านไปสามวัน ตลอดทั้งสามวันนี้ ฉันไม่ได้ลงไปในเรือดำน้ำเลย แน่นอน ฉันสามารถจินตนาการโลกอีกใบขึ้นมาได้ โลกที่พ่อแม่ของฉัน ไม่ต้องเป็นกังวลกับฉัน โลกที่ฉันยังคงออกเดินทางใต้มหาสมุทรในทุกค่ำคืน ขณะที่พวกเขาหลับสนิทอยู่ในห้องข้าง ๆ โดยไม่รู้เลยว่าบ้านทั้งหลังได้กลายเป็นเรือดำน้ำ แต่ฉันทำไม่ได้ ภาพใบหน้าที่อิดโรยของพวกเขา เสียงพูดที่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าในคืนนั้น มันสลักลึกอยู่ในใจของฉันแล้ว ฉันไม่อาจหลอกตัวเองต่อไปได้อีก เมื่อเทียบกับ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย การสำรวจร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยและไร้สาระเหลือเกิน ฉันไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจอีกต่อไปแล้ว ฉันต้องทำให้พวกเขาภูมิใจให้ได้
คืนวันที่สาม ฉัน คิดหาวิธีจัดการกับมันได้แล้ว ฉันปิดประตูห้อง นั่งลงที่โต๊ะทำงาน แล้วหลับตาลง ฉันรวบรวมพลังจินตนาการทั้งหมด มันเป็นเหมือน แสงสีฟ้าจาง ๆ กระจายอยู่ทั่วร่างฉัน คล้ายกับหิ่งห้อย แต่ในตอนนี้ทั้งหมดค่อย ๆ ไหลรวมไปที่ศีรษะของฉัน ฉันนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนในที่สุดพลังจินตนาการทั้งหมดได้ก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าเรืองรอง มันลอยขึ้นจากศีรษะของฉัน ค่อย ๆ ลอยห่างจากฉัน ล่องลอยไปทั่วห้องราวกับเปลวไฟของภูตผี นี่คือวิธีของฉัน ฉันจินตนาการว่าพลังจินตนาการของฉันหลุดออกจากตัวฉัน และมันก็หลุดออกไปจริง ๆ ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะ รู้สึกทั้ง ผ่อนคลายและอ่อนแรง มองดูมันค่อย ๆ หายลับไป สุดท้ายมันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับดาวหาง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หลังจากอ่านไปได้สักพัก ฉันรู้สึกประหลาดใจ ฉันอ่านเข้าใจจริง ๆ ในห้องเรียน ฉันตั้งใจฟัง ไม่หลุดลอยไปที่อื่น ฉันผ่านไปได้ทั้งคาบเรียน โดยไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เผลอจินตนาการไปไกล ครูพูดอะไร ฉันฟังได้ทั้งหมด ฉันตามบทเรียนได้ทัน ไม่มีคำไหนที่ทำให้ฉันหลุดเข้าไปในห้วงแห่งจินตนาการอีกต่อไป ในระหว่างเรียน ฉันสามารถมองข้ามทุกสิ่งรอบตัวได้ ความมึนชาในระดับที่พอดีแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนฉันเพิ่งวิ่งออกจากป่าฝนร้อนชื้น แล้วก้าวขึ้นไปบนถนนลาดยางได้ในทันที ไม่มีอีกแล้วพุ่มไม้แน่นทึบ โคลนนุ่มนิ่ม นกแก้วหลากสี หรือ งูที่แลบลิ้นออกมา มีเพียงพื้นถนนที่มั่นคง และกระแสผู้คนที่เร่งรีบ ดังนั้นฉันจึงออกวิ่งไปพร้อมกับฝูงชน ตลอดปีสุดท้ายของมัธยมปลาย ฉันพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ครูทุกคนบอกว่าฉันเข้าใจบทเรียนได้แล้ว และเพื่อน ๆ พูดกันลับหลังว่า “สมองของเขาหายดีแล้ว”
Sponsored Ads
เรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าพูดถึง ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้เข้าทำงานในบริษัทโฆษณา แต่งงานมีครอบครัว และในหัวของฉัน ไม่เคยมีเถาวัลย์งอกออกมาอีกเลย มันกลายเป็นแค่ สมองธรรมดา ๆ จินตนาการก็อยู่ในระดับปกติ ไม่ต่างจากคนทั่วไป
เวลาฉันไปเที่ยว… ฉันนั่งอยู่บนแพไม้ไผ่ ไกด์ชี้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นคือเขาหัวเสือ” ฉันตอบ “อืม ก็พอจะเหมือนอยู่นะ” เขาชี้ไปที่อีกลูก “นั่นคือยอดเขาหญิงงาม” ฉันมองตาม “ดูไม่ออกแฮะ” เขาบอกว่า “ต้องมองแบบตะแคง” ฉันเลยเอียงหัวแล้วตอบ “ก็พอจะเข้าท่าอยู่” ก็แค่เท่านั้นเอง
เวลาทำงาน บางทีลูกค้าหรือหัวหน้าบ่นว่า “ไอเดียของคุณขาดจินตนาการ” ตอนนั้น ฉันอยากขับเรือดำน้ำพุ่งชนพวกมันให้รู้แล้วรู้รอด
บางครั้งฉันพยายามหวนคืนสู่ความฝันในอดีต แต่มันก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่ฉันสามารถจินตนาการได้มากที่สุด คือเพียงแค่ ผืนน้ำสีครามเข้ม เรือดำน้ำของฉันลอยอยู่ตรงกลาง แต่ด้วยจินตนาการอันเบาบางที่ยังเหลืออยู่ ฉันไม่สามารถเข้าไปข้างในได้อีกแล้ว ฉันทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกล ๆ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น… คืนนั้น ฉันดื่มไปเล็กน้อย และหลับสนิทกว่าปกติ
ในความฝัน… ฉันกลับไปนั่งอยู่ที่ห้องควบคุม ปิกาจูเขย่าตัวฉันแล้วพูดว่า “ปิกา ปิก้า?” (เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเหม่อลอยแบบนั้น?) ฟุชิกิดาเนะ พูดขึ้นว่า “ซี้ด ซี้ด!” (ถึงเวลาออกเดินทางสู่ร่องลึกแล้ว!)
ฉันเหลือบมองนาฬิกา—เรายังคงอยู่ใต้ท้องทะเลของปี 1999 ฉันจากที่นั่นมาเนิ่นนาน… แต่ภายในเรือดำน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ พวกเขาไม่รู้เลยว่า ฉันได้ละทิ้งที่นี่ไปนานหลายปีแล้ว
ทันใดนั้นฉันก็ตื่นขึ้นมา เต็มไปด้วยความรู้สึก โหยหาและอ้างว้าง ฉันเพิ่งตระหนักว่า… แผนการเมื่อหลายปีก่อนของฉัน มีช่องโหว่ร้ายแรง ฉันมัวแต่รีบตัดขาดจากจินตนาการ แต่ลืมตั้งเงื่อนไขไว้ว่า…ฉันจะเรียกมันกลับมาได้อย่างไร
ตอนนี้ฉันมีแผนการที่ดีกว่าเดิม ฉันจะจินตนาการถึงตู้เซฟ และจินตนาการว่าความคิดสร้างสรรค์ของฉันเป็นทองแท่ง จากนั้น ฉันจะล็อกมันไว้ในตู้เซฟนั้น ฉันจะตั้งรหัสผ่านเป็นตัวเลข ที่ฉันในตอนนั้นไม่มีวันรู้ แต่ตัวฉันในอนาคตจะรู้แน่นอน เช่น วันที่ฉันแต่งงาน หรือ หมายเลขโทรศัพท์ของฉันในปี 2022 ด้วยวิธีนี้ฉันจะสามารถกลับไปสัมผัส ความฝันในอดีต ออกผจญภัยในโลกใต้ทะเลเป็นครั้งคราว และเมื่อใดที่ฉันกลัวจะจมลึกเกินไป ฉันก็เพียงล็อกมันกลับเข้าไปในตู้เซฟ แล้วตั้งรหัสผ่านใหม่ เท่านั้นเอง
…แต่ในตอนนั้น ฉันยังเด็กเกินไป ฉัน ไม่ได้คิดให้รอบคอบ และตอนนี้ มันสายเกินไปแล้ว จินตนาการของฉัน…บางทีอาจล่องลอยออกไปไกลถึงขอบจักรวาล และไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย
Sponsored Ads
คืนสุดท้ายก่อนออกจากบ้านในวันหยุดวันชาติ ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เคาะเบา ๆ บนโต๊ะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจับคอโคมไฟตั้งโต๊ะ มองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง แล้วพูดกับตัวเองว่า—
“กัปตันเฉิน… เตรียมตัวออกเดินทาง”
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับอีกแล้ว…
— ดังที่กล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง
บทความข้างต้นถูกเขียนขึ้น เมื่อตอนที่เฉิน โถวหนานอายุ 30 ปี ในตอนนั้น เขายังคงทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณา ภายหลัง เขาหลงใหลในการวาดภาพ และตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อเป็นจิตรกร เส้นทางสู่ความมีชื่อเสียงของเขาเป็นที่รับรู้กันดี จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำอีก
ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาได้กล่าวไว้ในบันทึกความทรงจำของเขา “เถ้าถ่านแห่งวันวาน” ว่า:
“…หลังจากอายุ 50 ปี ฉันเลิกวาดภาพและหยุดเขียนบทกวี หลายคนบอกว่าฉันหมดไฟไปแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น พรสวรรค์ของฉันได้หลุดลอยไปตั้งแต่อายุ 16 ปี บินออกไปไกลเกินขอบฟ้าเสียแล้ว
ในวัยกลางคน ฉันเริ่มวาดภาพก็เพียงเพื่อถ่ายทอดภาพที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำ การเขียนบทกวีก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน ฉันเพียงแค่คัดลอกความทรงจำลงไปตามความเป็นจริง ไม่ได้ยึดมั่นในแนวคิดหรือสำนักใดอย่างที่ผู้คนกล่าวกัน
จนถึงวันหนึ่ง เมื่อฉันวาดภาพฝันในอดีตทั้งหมดเสร็จสิ้น ฉันก็หยุดวาด นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ ฉันเคยครอบครองพรสวรรค์ แต่พรสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะใช้มันสร้างสิ่งใดในโลกแห่งความเป็นจริงได้
เมื่อได้ครอบครองมันแล้ว ทุกสิ่งในโลกความจริงก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีสิ่งใดเปี่ยมสุขเทียบเท่ากับโลกแห่งจินตนาการได้
เปลวไฟของฉันดับลงตั้งแต่อายุ 16 ปีแล้ว สิ่งที่เรียกว่าผลงานที่ฉันทำมาตลอดชีวิตนั้น—แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงกลุ่มควันจาง ๆ ที่ลอยขึ้นมาหลังจากไฟมอดไปแล้วเท่านั้นเอง”
ในพินัยกรรมช่วงสุดท้ายของ เฉิน โถวหนาน หลังจากจัดการเรื่องทรัพย์สินเสร็จแล้ว เขาเขียนไว้ว่า:
“ฉันเคยวาดภาพเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า พื้นหลังเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตรงกลางมีสีน้ำเงินที่เข้มยิ่งกว่า บางคนบอกว่ามันดูเหมือนใบไม้ บางคนบอกว่ามันเหมือนดวงตา หรือวาฬที่ล่องลอยอยู่ใต้ทะเลลึก ผู้คนพยายามตีความมัน คิดว่ามันมีนัยยะซ่อนอยู่
แต่แท้จริงแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรเลย นั่นคือเรือดำน้ำลำหนึ่ง เรือดำน้ำของฉันเอง มันแล่นอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันเป็นนิรันดร์ มันจะล่องลอยอยู่อย่างนั้น ตลอดไป…ตลอดไป… ในความฝันสีน้ำเงินเข้มของฉัน”
ในช่วงเย็นของฤดูร้อน ปี 2166 เด็กคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่บนชายหาด คลื่นทะเลซัดพาเอาเศษโลหะชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาบนฝั่ง มันถูกกัดกร่อนจนเป็นสนิมหนัก เด็กคนนั้นหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหวี่ยงมันทิ้งกลับลงไปในทะเลอีกครั้ง
Cite: 夜晚的潜水艇 (99csw.com)
Photo: The Submarin at Night (Chiness Edition) (amazon.co.uk)