ฉันจัดไฟล์ทุกอย่างไว้เรียบร้อยเมื่อคืนก่อน เรียงกันบนหน้าจอ เหมือนบทสนทนาที่รู้ว่าไม่มีวันได้พูดจบ แต่ก็ยังไม่ลบ เพราะเผื่อวันไหนกล้าพอจะเปิดกลับไปดู
Sponsored Ads
เช้านี้ ฉันไปที่ K-World PrintNet Café ร้านที่เสียงพัดลมดังกว่าเสียงมนุษย์ และกลิ่นพลาสติกร้อน ๆ จากเครื่องถ่ายเอกสารลอยค้างในอากาศเหมือนความฝันที่ถูกพิมพ์ซ้ำโดยไม่ตั้งใจ
พนักงานไม่พูดอะไร แค่รับแฟลชไดรฟ์ไป กดสองปุ่ม แล้วพยักหน้าเบา ๆ แบบโลกนี้ไม่มีอะไรต้องอธิบายกันมากกว่านี้ สิบบาทต่อหน้า ฉันพิมพ์สามหน้า — เนื้อเพลง, คอร์ด, และปกหน้า ทั้งหมดในฟอนต์ที่จริงจังเกินจำเป็น รอยเว้นบรรทัดกว้างพอจะให้ความสงสัยเล็ดลอด
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันเปิดโฟลเดอร์ แล้วเพิ่มไฟล์ PDF สแกนสัญญา รายละเอียด
฿11,000 การซื้อขาดครั้งเดียว
1.25% ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ — หลังหักค่าใช้จ่ายสุทธิ
โอนลิขสิทธิ์เต็มรูปแบบ
ไม่มีการรับประกันชื่อผู้แต่งเพลง
มันคือเอกสารที่ถูกต้อง สมบูรณ์ และปลอดเสียงเพลงโดยสิ้นเชิง
ฉันวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ เรียงเหมือนชุดของไหว้บนหิ้งพระ — ที่ไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปแล้ว แต่เราก็ยังจัดให้ เพราะเผื่อบางสิ่งมองอยู่
ไฟล์เดโมสุดท้าย มิกซ์เอง เสียงเบา เหมือนมันเขิน ใบคอร์ด, เนื้อเพลง, และสัญญา เรียงอย่างเรียบร้อยเกินไป ในโลกหนึ่ง มันคือ “ความพร้อม” ในอีกโลกหนึ่ง มันคือ “การยอมแพ้แบบเป็นระบบ”
ลาเต้ขดตัวอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับเขารู้เวลานัดหมายของทุกอย่างโดยที่ไม่มีใครบอก เขาวางอุ้งเท้าหนัก ๆ ไว้บนมุมของหน้าเอกสารสุดท้าย ไม่ใช่เล่น ไม่ใช่เตือน แค่วางไว้เหมือนปั๊มตรา
ฉันแนบไฟล์เข้าอีเมล หัวข้อ: “Final materials: ‘เจ้าหญิงคนต่อไป’” แล้วกดส่ง
เสียง “วูช” ของอีเมล มันเบา เบาพอที่หนึ่งเดือนของการคิดเขียนจะหายไปพร้อมมัน
สองนาทีต่อมา ดุจดาวตอบกลับ
“ได้รับแล้ว เงินจะเข้าภายในสามวัน”
ไม่มีอีโม ไม่มีเครื่องหมายตกใจ มีแค่ความแน่นอนแบบพนักงานธนาคารที่เก่งการทำลายฝันด้วยวิธีอ่อนโยน
ฉันมองอีเมลอยู่นานกว่าที่จำเป็น จากนั้น เปิดโฟลเดอร์ แล้วลบไฟล์ต้นฉบับทั้งหมด
ไม่ใช่เพราะโกรธ แค่มันเหมือนการเคลียร์ตู้เย็น ของบางอย่างมันหมดอายุแล้ว แม้จะยังดูดีอยู่
พวกเขาไม่ได้ซื้อแค่เพลง พวกเขาซื้อความเงียบที่แถมมากับเพลงนั้น ซื้อสิทธิ์ที่จะไม่พูดถึงชื่อคนที่เขียน
ฉันมองโฟลเดอร์ที่ว่างเปล่า แล้วหันไปมองลาเต้ เขากระพริบตาหนึ่งที แบบที่ดูเหมือนจะพูดว่า เรียบร้อยแล้ว
ข้างนอก รถบรรทุกคันหนึ่งกำลังถอยหลัง เสียง “ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ” ดังช้า ๆ สม่ำเสมอ เหมือนโลกกำลังส่งสัญญาณว่า “ขอโทษนะ จะชนหน่อย”
ลาเต้หาวหนึ่งที ขยับตัวเล็กน้อย ยังวางอุ้งเท้าไว้บนเอกสารเหมือนจะบอกว่า ไม่ต้องห่วง มันไม่ไปไหน แม้ไม่มีอะไรข้างใน ฉันไม่ได้ขยับมัน แค่นั่งอยู่ตรงนั้นกับเขา ในห้องที่เต็มไปด้วยเสียงไฟฟ้าเบา ๆ เสียงของสิ่งที่เราเพิ่งมอบให้โลก โดยไม่หวังจะได้มันกลับมา
Sponsored Ads
———————
กลับมายืนริมทางเท้า
กาแฟในมือไม่ถึงกับร้อน แค่อุ่น ๆ แบบหงุดหงิดใจ เหมือนมันเพิ่งโดนเวฟด้วยความลังเล แล้วก็เก็บงอนไว้ในกลิ่น ฉันก็ดื่มมันอยู่ดี เพราะมันคือสิ่งที่มี และเพราะฉันยังภักดีกับการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลของตัวเอง เหมือนเป็นข้ารับใช้ในพิธีกรรมไร้แก่นสาร
ห้องยังนิ่ง เหมือนรอให้ใครสักคนตีฆ้องเริ่มวัน ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้มองอะไรจริง ๆ มีเพียงแสงที่เลื้อยผ่านตึก เหมือนแมวไม่อยากให้ใครรู้ว่ามา
ฉันเปิดคอมเก่า เสียงมันเหมือนถอนหายใจแบบคนเพิ่งตื่นแต่ยังไม่อยากเริ่มวัน พัดลมในเคสหมุนช้า ๆ ครางเบา ๆ เหมือนกำลังบ่นเรื่องที่ไม่มีใครฟัง ฮาร์ดไดรฟ์คลิกสองที หยุด เหมือนจะพูดว่า “อย่าลืมฉันนะ” แล้วก็เงียบไป
ฉันเสียบโมเด็ม บัตรเติมเงินที่อยู่ในลิ้นชักมานานจนฝุ่นเริ่มคิดจะเปิดพรรคการเมืองเสียงโมเด็มกรีดร้องเหมือนเครื่องดนตรีที่ไม่มีใครดูแลแล้ว แต่ยังอยากเล่นอยู่
แล้วมันก็เชื่อมต่อ เสียง “ติ๊ง” เล็ก ๆ จากอีกยุคหนึ่งดังขึ้น อินเทอร์เน็ตเปิดประตูเหมือนคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองยังมีสิทธิ์เข้ามาไหม
ฉันเข้าเว็บบอร์ดเก่า ส่วนใหญ่ตายแล้ว กลายเป็นหลุมศพของรีวิวเครื่องสำอางหรือโพสต์จากบอทแปลก ๆ ที่พูดเหมือนคนเคยมีความฝัน แต่ “วารสารเสียงระหว่างซอย” ยังอยู่ เหมือนห้องเช่าที่ไม่มีใครกล้ายกเลิกสัญญา
ธีมเดือนกุมภาพันธ์คือ “แรงกระเพื่อมของวันธรรมดา”
มันไม่ใช่ธีมที่น่าตื่นเต้น แต่มันกระทบอะไรบางอย่างในตัวฉัน เพราะฉันรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มจากสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไร คนเดินคนหนึ่ง เสียงตะโกนหนึ่งคำ ทางม้าลายที่ไม่มีไฟ
ฉันเปิดไฟล์เปล่า มันขาวจนเกือบฟังเสียงตัวเองไม่ได้ แต่ฉันก็เริ่มพิมพ์
“คนบนสะพาน สะพานแคบไม่ผิด… ถ้าไม่มีใครยืนขวางด้วยศักดิ์ศรี”
ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ กระพริบแบบที่ดูเหมือนตัดสิน แต่ไม่ใช่ มันคือแบบว่า แน่ใจเหรอว่านี่เป็นเรื่องนี้… หรือจริง ๆ ยังเป็นเรื่องของตัวเองอยู่?
ฉันไม่ได้ตอบ ไม่เป็นคำพูด แค่พิมพ์ต่ออีกนิด แล้วเว้นบรรทัดเหมือนกำลังรอให้ตัวละครตัดสินใจเอง
อาจจะไม่ได้ส่ง อาจจะไม่จบ แต่อย่างน้อย ฉันจะไม่แกล้งลืม
Sponsored Ads
———————
หน้าต่อไป
ฉันพิมพ์ย่อหน้าแรกโดยไม่ได้รู้ตัวว่าเริ่มยังไง รู้แค่ว่า…มันเริ่ม
📖 “ช่างเป็นเช้าที่สดชื่นและสวยงามเหลือเกินในความรู้สึกของแม่ค้ารถเข็นปลาเผา เธอออกจากห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี เข็นรถด้วยแรงที่ไม่ได้มาจากกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่จากความจำเป็น เข็นรถเข็นเป็นระยะทางเกือบสิบกิโลฯ แดดเช้าส่องอุ่นแต่ไม่อภัย เธอเดินผ่านสะพานไม้แคบ ๆ ที่รถเข็นผ่านได้เพียงหนึ่งคัน และใจของคนก็เช่นกัน…”
ลาเต้ขดตัวอยู่ข้างจอ เหมือนสฟิงซ์มีขน ตากะพริบช้า ๆ แบบที่ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เหมือนจะพูดว่า ก็ดีกว่ากลิ้งไปนอนทับสัญญาเพลงอีก
📖 “…สะพานเก่า สร้างข้ามคลองพาณิชย์ เสียงเรือส่งของยังดังสะท้อนอยู่ใต้รางไม้ มันทั้งสูง ทั้งแคบ และทั้งดื้อ—สะพานที่ไม่ยอมพับให้ใครง่าย ๆ แม่ค้าต้องถอยหลัง ค่อย ๆ ดึงรถเข็นขึ้นทีละจังหวะจนล้อสั่น เธอเริ่มรู้สึกว่าสะพานวันนี้แกว่งแปลก ๆ …”
ตัวหนังสือไม่ได้มาเร็ว ไม่เคยมาเร็ว แต่ก็มาจนได้
📖 “…เธอรู้สึกแปลกใจนิด ๆ เมื่อรู้สึกว่าสะพานเริ่มแกว่งหนักกว่าครั้งเก่า เธอหันกลับไปอย่างเอะใจแต่แล้วต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นใครอีกคนกำลังขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นมาบนสะพานแคบ ๆ แห่งนี้ด้วย คนทั้งสองประจันหน้ากันกลางสะพาน สะพานไม้สั่นไหวส่งเสียงเอี้ยดอ้าด คนทั้งสองยังไม่เคลื่อนไหว….”
ฉันหยุด ไม่ใช่เพราะติดขัด แต่เพราะย่อหน้านั้นหนักกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เพราะคำศัพท์ ไม่ใช่เพราะไวยากรณ์ แต่น้ำหนักของคำว่า “ไม่ยอมถอย”
ฉันเอนหลัง เก้าอี้ส่งเสียงเอี๊ยดแบบที่บ้านผีสิงในหนังฟังแล้วร้องขอชีวิต ลาเต้ยกหางขึ้นทีหนึ่ง พาดผ่านแป้นพิมพ์ แล้วก็ขดตัวเหมือนเดิม อ่านไม่ออก แต่ดูรู้ว่าเขาเข้าใจ
บางทีเรื่องสั้นก็เป็นเหมือนความจริงที่ต้องใส่วิกปลอม หรือไม่ก็เป็นพื้นที่เดียวที่ฉันจะพูดเรื่องที่ไม่มีใครอยากฟังในวงการเพลงแบบเนื้อเพลงได้
ฉันไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะกลายเป็น “เรื่อง” จริงไหม แต่มันเกาะติดในหัวแบบที่ “เพลงฮิต” ไม่เคยทำได้ ฉันเลยเขียนต่อ
เสียงพัดลมในเคสคอมครางเบา ๆ เสียงแป้นพิมพ์ดังแบบที่ไม่เคยถูกร้องขอ และที่สำคัญ ไม่มีใคร “ขอให้ฉันเขียน” และนั่นเอง ที่ทำให้มันสำคัญ
Sponsored Ads
———————
เมื่อความเงียบดังขึ้นก่อน
ข้อเสนอนั้นถูกพิมพ์ลงบนกระดาษครีมที่มีกลิ่นคล้ายโต๊ะทำงานของคนแปลกหน้า Studio ToSi (Studio Tokuma Siam) บริษัทลูกของอะไรบางอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า กำลังประสานงานกับผู้จัดจำหน่ายอินดี้ เพื่อเอา Cardcaptor Sakura (ซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์) กลับมาฉายอีกครั้งในไทย
ไม่ตัด ไม่แปลตรง ๆ พากย์ใหม่ งบเล็ก แต่หัวใจใหญ่
พวกเขาต้องการเพลงจบใหม่ ภาษาไทย ไม่ใช่เวอร์ชันดัดแปลงจากต้นฉบับ ต้องเป็นต้นฉบับแท้ ๆ อ่อนไหว แต่ไม่อ่อนแอ นุ่มนวล แต่ไม่เบา
แฟ้มข้อเสนอจากสตูดิโอเต็มไปด้วยถ้อยคำที่เรียนรู้มาอย่างดี การเชื่อมโยงข้ามวัฒนธรรม ความลึกทางอารมณ์ ความจริงใจที่คัดสรร พวกเขายังไม่ได้เลือกนักแต่งเพลง
แต่พวกเขาเอ่ยชื่อเธอ ชัดเจน ตรงไปตรงมา นีน่าไม่แน่ใจว่านั่นยังมีความหมายอะไรอีกไหมในตอนนี้
ขอบกระดาษม้วนขึ้นเล็กน้อยใต้แสงโคมไฟ เธอจ้องมันอยู่นาน จ้องเหมือนที่คนเราจ้องใครบางคนที่ยังไม่พร้อมจะให้อภัย มันไม่ใช่ข้อเสนอที่แย่ ไม่แม้แต่จะเรียกว่ายุ่งยาก เธอสามารถตอบตกลง ร้องในสิ่งที่เขาให้ รอยิ้มให้กล้อง แล้วกลับบ้าน แต่มือของเธอกลับเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์
ดุจดาวรับสายก่อนเสียงกริ่งจะจบครึ่งรอบ แบบที่เธอมักจะทำเสมอ
“นีน่า?”
“ฉันอยากร้องอีก” เธอพูด เสียงเงียบจากปลายสายไม่ใช่ความว่างเปล่า มันนุ่ม และฟังได้
“แต่เพลงสุดท้าย…มันไม่ใช่ของฉัน” เธอกดฝ่ามือแนบขอบโต๊ะ เสี้ยววินาทีที่เธอพูดออกมา มันฟังเหมือนบาดแผลเก่าถูกแตะอีกครั้ง
ดุจดาวไม่ขัดจังหวะ เธอไม่เคยทำในเวลาที่นีน่าต้องการได้ยินเสียงของตัวเอง
“ฉันเหนื่อยกับเพลงที่ถูกปั้นมาก่อนแล้ว” เธอพูดช้า ๆ “ฉันอยากเริ่มจากอะไรที่ยังไม่รู้จุดจบของตัวเอง”
ปลายสายมีเสียงฮัมเบา ๆ เสียงที่ฟังเหมือนการคิด หรือบางที…การยอมรับ
“ฉันไม่อยากให้คณะกรรมการไหนมาบอกว่าฉันควรฟังดูนุ่มขึ้น” เสียงของเธอเข้มขึ้นเล็กน้อย “หรือรู้สึกขอบคุณมากขึ้น หรือเข้าถึงได้ในเชิงตลาดมากขึ้น ฉันไม่อยากร้องเพื่อแบรนด์อีกแล้ว”
“แล้วเธอก็ไม่ได้อยากเขียนเอง” ดุจดาวพูดอย่างโอนโยน มันไม่ใช่คำถาม
“ไม่” นีน่าพิงหลังพิงพนัก มองออกไปนอกหน้าต่าง เมืองยังเคลื่อนไหว แต่เธอไม่วิ่งตามมันอีกต่อไป
“ฉันอยากได้เพลงที่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงหยุดร้องตั้งแต่แรก”
และเธอก็รู้ว่าเพลงนั้นควรมาจากใคร ไม่รู้ว่าเขาจะเขียนให้ไหม แต่เธอรู้แน่ว่าถ้าเขาเขียน มันจะรู้สึกยังไง
“ถ้ากรณ์มีเพลงอยู่…” เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ
“เพลงที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร…ให้ฉันได้ฟังก่อนคนอื่น”
Sponsored Ads
———————
การเซฟที่ไม่ใช่จุดจบ
พัดลมกลายเป็นนาฬิกาอีกเรือนหนึ่ง — ไม่ได้เดินเป็นวินาที แต่เป็นคลื่นลมหายใจที่วนซ้ำอย่างสม่ำเสมอ เคอร์เซอร์กระพริบอยู่ตรงมุมจอ เล็ก เรียบง่าย ดื้อเงียบ เหมือนรู้ว่ายังมีอะไรให้พูดอีก แต่สุภาพเกินกว่าจะทวงในคืนนี้
ฉันกดบันทึกไฟล์
สะพาน_01.doc
การกระทำนั้นมันแปลกดี ไม่ได้รู้สึกเหมือนชัยชนะ ไม่ใช่ตอนจบ แต่มัน…จริง เหมือนปิดประตูห้องที่ยังไม่มีใครเคยเดินเข้า ห้องที่เราล็อกไว้เอง แต่ก็ยังวางกุญแจทิ้งไว้ตรงนั้น เผื่อไว้
ฉันเอนหลังกับพนักเก้าอี้ กระดูกส่งเสียงกรอบแกรบในจุดที่ไม่ควรมีเสียงอะไรเลย
เมืองยังอยู่ตรงหน้าต่าง ยังอยู่ และยังไม่เงียบ รถคันหนึ่งวิ่งผ่านเหมือนลมหายใจต่ำ
มีคนกระแทกประตูเหล็กที่ตึกข้าง ๆ หม้อแปลงเก่าที่หัวมุมส่งเสียงฮึ่มเหมือนพยายามจำวิธีฮัมเพลงของตัวเอง
เรื่องยังไม่จบ มันแค่หยุด — ด้วยเจตนา
ลาเต้ยืดตัว ขาหน้าข้างหนึ่งก่อน แล้วอีกข้างตาม ไม่มีท่าทางเวอร์วังอะไร เขาไถลตัวจากกองใบแจ้งหนี้ แล้วเลื่อนตัวมานั่งตรงขอบโต๊ะ หันหน้าเข้าหาฉันตาปรือ ๆ ครึ่งเปิด ครึ่งปิด แต่น้ำเสียงของสายตาเต็มไปด้วยคำพิพากษาเงียบ ๆ
ฉันเอื้อมมือไปหาปุ่มปิดเครื่อง แต่หยุดไว้ ไม่ใช่เพราะยังมีอะไรต้องทำ แค่รู้สึกว่าแสงจากหน้าจอมันควรจะได้อยู่ต่ออีกนิด เหมือนมันทำงานมาทั้งวัน และขอเพียงได้ส่องแสงเงียบ ๆ อีกสักครู่
ไฟล์ถูกบันทึกแล้ว แต่คืนนี้ยังไม่จบ และถ้าจะมีเพลงใหม่เกิดขึ้น มันก็คงต้องเริ่มแบบนี้แหละ เบา ๆ ยังไม่สมบูรณ์ แต่ซื่อตรงกับตัวเองอย่างประหลาดใจ
เค้าโครงเรื่องจาก คนบนสะพาน (2530)
ไพฑูรย์ ธัญญา