071-ของที่รั่วกับของที่รอ

ฉันไม่ได้เดินทั่วสวนแบบจริงจัง ตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ด

ตอนนั้น มันดูไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนนี้…มันดูมีขอบเขต ไม่ใช่เล็กลง แค่เหนื่อยขึ้น เหมือนเพลงที่เคยจำได้ว่าเสียงดัง แต่พอเปิดอีกที มันกลับเบากว่าที่คิด

Sponsored Ads

บางทีฉันก็รู้สึกเหมือนกำลังฟังด้วยหูของใครอีกคน . คนที่ไม่เคยโตในสวนนี้ แต่เคยผ่านโลกอีกใบที่เสียงเพลงไม่เหมือนกันเลย แล้ววันหนึ่ง…เขาก็เดินมาซ้อนอยู่ตรงนี้ ฟังทุกอย่างพร้อมกันกับฉัน โดยไม่มีใครต้องชี้นิ้วบอก ความเฉยชาที่เคยฝังอยู่ในคอนกรีต กับความเหนื่อยที่ปลูกไว้กลางดิน มันหลอมรวมในร่างเดียวกันเงียบ ๆ 

ฉันออกมาเดินคนเดียว 

ลาเต้นั่งอยู่ตรงประตู มองออกมาเหมือนแมวบ้านที่กำลังพิจารณานโยบายต่างประเทศ เขาไม่ตามมา อาจเพราะน้ำแข็งใสนั่งอยู่บนรั้วอีกแล้ว และกะพริบตาช้า ๆ เหมือนเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่มีกรงเล็บจ่อบัญชีดำ

แดดยังไม่แรง แต่พื้นเริ่มแห้งแล้ว

ฉันก้าวข้ามท่อพีวีซีเส้นเก่า สีฟ้าจาง ขอบแตกจากการโดนแดดแกล้งซ้ำหลายรอบเกินไป มีเสียงซี้ดเบา ๆ ตรงรอยต่อ ไม่ใช่เสียงระเบิด ไม่ใช่ท่อแตก แค่เสียงกระซิบของสิ่งที่พยายามจะยื้อทุกอย่างไว้ด้วยตัวเอง

ฉันย่อตัวลงดูใกล้ ๆ รอยร้าวตรงข้อต่อ วาล์วที่พันด้วยเชือก และราที่ขึ้นใต้ท้องท่อ มันยังทำงานอยู่  แต่ก็แทบจะพังแล้ว ก็เหมือนกับทุกอย่างในครอบครัวนี้นั่นแหละ

ฉันไม่มีแผน 

มีแค่สมุด กับดินสอกดที่ยางลบเหลือครึ่งเดียว ฉันเริ่มวาดสิ่งที่เห็น เส้นเมน แปลงฝั่งซ้าย  โซนหัวน้ำหยด วาล์วที่น่าจะรั่วทุกเดือนมีนาแต่ไม่มีใครพูดถึง

ฉันเดินผ่านต้นลิ้นจี่ มันสูงกว่าที่จำได้ ดูเผิน ๆ ก็ดูดี แต่ดินตรงโคนต้นแตกระแหง เหมือนแผนที่ของการตัดสินใจที่ช้าไปเสมอ

อีกมุมหนึ่ง เครื่องพ่นยาเครื่องเก่า วางคว่ำอยู่ เหมือนเคยถูกไล่ออก แล้วไม่มีใครเรียกกลับมาอีกเลย

“จะซ่อมหรือจะหนีอีก?”

ฉันหันกลับไป ไม่มีเสียงใคร มีแค่ลม

น้ำแข็งใสยังอยู่บนรั้ว  ตอนนี้หน้าตาดู…พอใจนิด ๆ

พอฉันเดินมาถึงรั้วท้ายสวน ในสมุดฉันมีเส้นที่วาดยังไม่เสร็จสามเส้น กับโน้ตที่เขียนไว้ว่า:

“แรงดันตกตรงโซนลำไย (แดดบ่ายแรงสุด)” 

“บ่อเก่าตื้น น้ำขุ่น → ฟิลเตอร์??” 

“เส้นเมน – ต้องย้าย?”

ฉันวงไว้ทุกข้อไว้ ยังไม่มีคำตอบ แต่เป็นคำถาม…ที่ไม่วิ่งหนีเวลาจ้องมันกลับ และสำหรับฉัน นั่นก็ถือว่าก้าวหน้า มากกว่าที่เคยทำได้ในรอบหลายปี

Sponsored Ads

———————

วิธีเริ่มปฏิวัติด้วยเงินหนึ่งร้อยเก้าสิบสามบาท

ร้านขายอุปกรณ์เกษตรในตัวอำเภอยังมีกลิ่นเหมือนเดิม กลิ่นปุ๋ย, ปลาป่น, และความตึงเครียดในครอบครัวที่ไม่เคยเคลียร์

ไม่มีอะไรเปลี่ยน

ป้ายซีดจางจากแดด ชั้นวางของจัดตามตัวอักษรอย่างคลุมเครือ และลุงหลังเคาน์เตอร์…ให้อารมณ์เหมือนคนที่ผ่านทั้งภัยแล้ง และดิสโก้ยุค 80 มาแล้ว

“เอาท่อพีอีกี่มิล?”

เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้า

“สิบหกครับ” ฉันตอบ อย่างกับว่าฉันใช้ขนาดนี้มาตลอดชีวิต

ทางเดินในร้านแคบ เต็มไปด้วยท่อม้วน เครื่องมือไร้ป้าย และกล่องที่มีชื่ออย่าง “หัวฉีดท้าดวงอาทิตย์”  ที่ให้ความหวังว่าจะได้ปาฏิหาริย์หรือบาดแผลอย่างใดอย่างหนึ่ง

ฉันจดรายการไว้ด้านหลังใบเสร็จ แล้วเดินหาแบบแมวเดินงง ๆ ในงานวัดวังเวียง

สิ่งที่ฉันซื้อ

– ท่อ PE 16mm – 30 เมตร → ฿90

– หัวพ่นหมอก – 8 หัว → ฿48 

– ข้อต่อ T และจุกปลาย – รวม 5 ชิ้น → ฿30

– เคเบิลไท – 1 แพ็กเล็ก → ฿10

– เทปพันเกลียว → ฿15

รวม: ฿193

จ่ายสด  เพราะร้านนี้น่าจะมองเครื่องอ่านบาร์โค้ดเป็นอาวุธของจักรวรรดินิยมอเมริกัน

“ทำเองเหรอ?” 

ลุงถามในที่สุด ตอนส่งถุงพลาสติกสีดำให้

“ลองดูครับ” ฉันตอบ พยายามไม่ให้ฟังเหมือนคิดสด

“แรงดันตกอย่ามาโทษร้านนะ”

เขาโฮะในลำคอหนึ่งที ก่อนพยักหน้าให้ เป็นทั้งคำเตือน และหนังสือสละสิทธิ์ทางกฎหมาย

ด้านนอกร้าน แดดแรงเหมือนโกรธสีเสื้อฉันเป็นการส่วนตัว ฉันมัดถุงไว้หลังมอเตอร์ไซค์ของพี่วัฒน์ด้วยเชือกเก่าที่ขาดง่ายกว่าศรัทธาในระบบ แล้วสตาร์ทรถ…เหมือนเตะเรื่องเก่าที่ค้างในอก

ทางกลับบ้านไม่ไกลนัก แต่ความคิดของฉันยาวกว่านั้นมาก

นี่ไม่ใช่ระบบใหญ่ ไม่ใช่การลงทุนระยะยาว แค่การทดสอบเงียบ ๆ เสียงกระซิบของแผนที่ยังไม่กล้าพูดดัง ๆ

แต่บางครั้ง  สิ่งที่ใช้เริ่มบทใหม่ก็มีแค่ ฿193 

กับเหตุผลบางอย่าง…ที่จะอยู่ต่อ

Sponsored Ads

———————

ถุงดำ กับฟ้าใส

“กลับมาแล้วเหรอ?”

แม่ไม่ได้เงยหน้าจากเขียง 

แต่ฉันรู้สึกถึงคิ้ว คลื่นความสงสัยระดับเรดาร์แม่บ้าน

“ไปแป๊บเดียวครับ แค่ลงไปหาซื้อของมาลองดู”

“ลองแบบไหนที่ใส่มาในถุงดำ?”

ฉันวางถุงพลาสติกสีดำใต้โต๊ะไม้ใต้ถุนเบา ๆ  พัดลมบนหัวส่งเสียงครางเบา ๆ เหมือนไม่เห็นด้วยกับโปรเจกต์วิศวกรรมนี้

พอฉันเริ่มแกะของออกจากถุง:

“ซื้อกับดักช้างมาเหรอ?”  แป้ง กอดอก หน้านิ่ง จังหวะลั่น

“หัวพ่นหมอก” ฉันตอบ 

เหมือนจะช่วยให้เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง

เธอกะพริบตา

“จะติดไว้ตรงหัวบ้าน หรือทำสปา?” 

ฉันยิ้มบาง ๆ ไม่ใช่เพราะมั่นใจในโปรเจกต์น้ำหมอก แต่เพราะมันดีกว่าทำเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยโตที่นี่

“สวน” 

“พ่นหมอกใส่ลำไย?” 

“ก็ลองดูไง”

สายตาเธอบอกว่า ให้เวลาไม่เกินสามวัน ของพวกนี้จะกลายเป็นที่ตากผ้าชั้นดี

ฉันเริ่มวางท่อ ข้อต่อ เคเบิลไทเรียงบนโต๊ะ ลาเต้กระโดดขึ้นม้านั่ง หมุนตัวหนึ่งรอบ แล้วลงนอนทับพอดีกับข้อต่อพลาสติกทั้งหมด

แน่นอน เขากะพริบตาช้า ๆ 

ฉันกะพริบตากลับ แล้วมันก็เริ่มขึ้น ไม่ใช่เสียงฮัม แต่เป็นเสียงในหัว

🎶 “เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม… ฉันเก็บเอาไว้ ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ฮืม…” 🎶

เวอร์ชันอะคูสติก ไม่มีเครื่องเป่า มีแค่กีตาร์กับอากาศ

ฉันไม่ได้ฮัมออกมา ยังไม่ใช่ตอนนี้ต่อหน้าคนอื่น แต่เนื้อเพลงวนอยู่ในหัว เหมือนหมอกลอยอยู่เหนือดิน

โต๊ะไม้มีรอยขูด เครื่องมือมีฝุ่น แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น มันเหมือน “บางอย่าง” อาจเริ่มได้ตรงนี้ บางสิ่งในสวน บางสิ่งในโต๊ะเก่า กับน้ำหนักของปากกาที่มีแค่ฉันถือ มันรวมกันออกมาเป็นประโยคนี้

*หยดน้ำตรงนี้ ไม่มีใครเห็น… แต่ฉันก็รดไว้เสมอ*

ฉันเขียนลงบนเศษกระดาษใบเสร็จ ไม่รู้ว่าเป็นท่อนเพลงไหม ไม่รู้ว่าดีรึเปล่า แต่…มันก็เป็นอะไรบางอย่าง

แล้วลาเต้ ผู้ช่วยแห่งปี กลิ้งตัวหนึ่งที แล้วทำปากกาตกจากโต๊ะ

แป้งหัวเราะแบบไม่ไว้หน้า แม่หลุดขำออกมาหนึ่งจึ้ก

ฉันเอนหลัง ถอนหายใจ แล้วปล่อยให้มันเป็นไป

การเริ่มต้นเล็ก ๆ  มักถูกขัดขวาง โดยเฉพาะ…เมื่อมีแมวอยู่ในฉาก

Sponsored Ads

———————

ขอแค่แถวเดียว

ฉันรอจนแดดลับหลังต้นมะม่วง  ค่อยออกไป ถุงดำในมือดูเบากว่าเดิม หรือไม่ก็…ฉันหยุดทะเลาะกับมันแล้ว

ฉันเลือกแปลงด้านตะวันออก ใกล้บ้านที่สุด แดดแรงสุด แม่เรียกที่ตรงนี้ว่า “แดดแรงเหมือนคนหัวร้อน” ถ้ามันจะเริ่มที่ตรงไหน…ก็คงเริ่มที่ตรงที่ร้อนที่สุดก่อน ก็เหมาะสมดี

ฉันไม่ได้ขุดหลุม ไม่ได้เปลี่ยนทางน้ำ ไม่ได้พูดให้ใครเชื่ออะไร แค่พยายามให้มันไหลได้ โดยไม่ฝืนอะไรมากไปกว่านี้ ก็แค่หนีบท่อ PE เข้ากับคานไม้เก่า ลากผ่านต้นไม้สี่ต้น  ติดหัวพ่นหมอกด้วยวิธี “บิดแล้วภาวนา”  ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ร้านเน็ตย่านอ่อนนุช

หัวพ่นอันหนึ่งแตก  อีกอันรั่วเฉียงเหมือนมีทัศนคติเอนเอียง

ลาเต้นั่งดูจากร่มไม้ หน้าตาเหมือนหัวหน้าคุมงานที่เพิ่งส่งฟ้องฝ่ายทรัพยากรบุคคล

แต่อันที่สาม… พ่นละอองเป็นสายโค้งใสสะอาด ไม่มีอะไรเวอร์  แค่ลมเย็นในที่ที่ร้อนเกินไป

แล้วทำนองมันก็มาอยู่ในหัว

🎶 “เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม… ฉันเก็บเอาไว้ ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ฮืม…” 🎶

ฉันก็ยังไม่ได้ฮัมออกมา แค่อยู่ในหัว  เหมือนหมอกเรียกมันขึ้นมาเอง

ฉันถอยหลังออกมานิดหนึ่ง ปล่อยให้ระบบมันทำงานของมันไป

ใบไม้ขยับ ดินดูดซึม และครั้งแรกตั้งแต่กลับมา… ฉันรู้สึกว่าไม่ได้มารบกวนใคร

มีเสียงฝีเท้า

ไม่ดัง  แต่ก็ไม่ได้แอบซ่อน

ฉันหันกลับไป

พี่วัฒน์ยืนอยู่ที่ขอบแปลง กอดอก หน้านิ่งตามฟอร์ม เขาไม่ถาม

ฉันเลยไม่อธิบาย แค่ใจมันเต้นเร็วขึ้นนิดเดียว เหมือนกีตาร์ถูกตั้งคีย์สูงเกินไป แต่…ฉันไม่ถอย ฉันย่อตัวลงข้างท่อ ดีดหัวพ่นเบา ๆ เพื่อปรับองศา พูดขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้มองหน้าเขา

“มันพอได้อยู่นะพี่ ถ้าตรงนี้เวิร์ก…ก็ค่อยดูว่าจะต่อขยายยังไง”

เขาเดินเข้ามาใกล้  ย่อตัวลง ตรวจรอยต่อด้วยนิ้ว

“แรงดันไม่ตก?” 

“ยังไม่เจอปัญหา” 

“เดินน้ำจากวาล์วหลัก?” 

“ต่อแยกผ่านข้อต่อสามทางครับ พี่ดูได้นะ ผมซ่อนไว้ใต้หญ้า”

เขาไม่พูดอะไร แค่นั่งอยู่ตรงนั้น  มองหมอก

แสงแดดกระทบละอองในจังหวะที่พอดี  เหมือนมีบางอย่างอ่อนโยน…เริ่มเรียนรู้ว่าจะอยู่ยังไง

🎶 “ถนนสายนั้น ที่ทอดยาว… มีเรื่องราวของความเป็นจริง มีเงาไม้เอาไว้ ให้พักพิง… มีให้เธอเอาไว้ ยามอ่อนล้า” 🎶

แล้วเขาก็พูดขึ้นมาเบา ๆ  เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

“แถวนี้เว้นไว้ละกัน เดี๋ยวลองปลูกอย่างอื่นดูก็ได้”

ฉันไม่ได้ยิ้ม  ยังเร็วไปสำหรับรอยยิ้ม แต่ฉันพยักหน้าเบา ๆ เหมือนประโยคนั้นมากกว่าคำอนุญาต

มันคือ…พื้นที่ แสงแดดกระทบละอองในจังหวะที่พอดี  เหมือนหมอกจำได้ว่าต้องโอบต้นไม้ ไม่ใช่หนีจากมัน

เขาหันหลังกลับไป ออกจากแปลงแบบเดิม ไม่มีการตบหลัง ไม่มีคำพูดเท่ ๆ

แค่เสียงฝีเท้าช้า ๆ บดกับดินแห้ง กับเสียงบางอย่าง อาจไม่ใช่คำว่าให้อภัย แต่อาจเป็นคำว่า “ทำงาน”

ฉันหันกลับมาทางละอองหมอก ปล่อยให้มันพัดโดนแขน เย็น นุ่ม และบางที…แค่นี้ก็พอแล้ว

บางที เขาเองก็เห็นฟ้านั่นเหมือนกัน

Sponsored Ads