089-เสียงประสานผี

“เอ้า! ฟังหน่อย ไอ้เพลงดึงดันนี่ กรณ์มันส่งมาตอนตีห้า มันคงกินมาม่าแล้วก็ล้มตึงบนกีตาร์”

ต้นกดปุ่ม play โดยไม่แคร์เสียงบ่นของบอล หรือท่าทางหยีตาเพราะกาแฟยังไม่ลงกระเพาะของแดง ฝ้ายยังนั่งจูนเสียงกีตาร์ใต้ลมหายใจรำพึงว่าเครื่องอัดมีผีหรือเปล่า

Sponsored Ads

เสียงอินโทรขึ้น คอร์ดเปิดที่แข็งกระด้างเล็กน้อยและทื่อเล็กน้อย แบบที่คนเขียนไม่สนว่าเพลงนี้จะดังหรือไม่ 

เสียงร้องหลักคือเสียงของกรณ์ ซึ่งถูกกลืนไปครึ่งหนึ่งด้วยเสียงอื้ดของเทป แต่พอถึงท่อน เสียงประสาน เสียงผู้หญิงที่ไม่เพอร์เฟกต์ ไม่สวยงามนัก แต่จริงใจ…

ทุกคนเงยหน้าขึ้น ไม่มีใครพูดทันที เหมือนทุกคนกำลังหาคำที่ยังไม่ถูกคิดค้น เสียงนั้นไม่ใช่เสียงร้องที่เทคนิคดี หรือวางมุมพุ่ง แต่เหมือนอะไรบางอย่างในตัวเองที่หลุดเข้าไมค์โดยไม่ได้ตั้งใจ 

“เสียงผู้หญิง ที่ร้องประสานนี่ใครอะ?” บอลโพล่งทันที ตามสไตล์ที่ไม่เคยรอจังหวะ 

“เอาน่า ให้ฝ้ายลองดูดิ เผื่อรอด!” แดงหัวเราะแล้วโยนแผ่นคอร์ดที่พิมพ์ออกมาเยินนิดหน่อยไปให้ มีรอยเท้าแมวแปะอยู่ชัดเจน

ฝ้ายถอนหายใจ แล้วยกมือทำท่าตะเบ๊ะ “ซ้อมร้องหญิงแต่เช้าเนี่ยนะ…กรูเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ”

เธอลองร้องท่อนประสานเสียงไม่พัง แต่ยังไม่พุ่ง วงเงียบฟัง พร้อมความเห็นแบบวงดนตรีที่รู้จักกันดีเกินไป

“โอเคนะ แต่…มันเหมือนขาดอะไร” แดงว่า 

“เสียงได้ แต่ใจยังไม่โดนว่ะ” ต้นจิบกาแฟที่ไม่รู้ว่ายังร้อนอยู่ไหม

“ให้แฟนผมมาร้องไหมล่ะ? หรือจะลองเรียกแมวมาแจม?” บอลแซว 

เสียงหัวเราะกรุบจากทุกมุมห้องซ้อม เหนื่อยแต่ยังมีชีวิต

ฝ้ายไหล่ตกนิด ๆ “ฝึกอีกก็อาจพอได้…แต่เพลงมันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ในโน้ต”

ต้นไม่พูดอะไรทันที เขายืนข้างเครื่องอัดเสียง ราวกับจะย้อนกลับไปฟังซ้ำ แต่ก็ไม่ได้กด เขาคุ้นกับเสียงซ้อม เสียงหลุด เสียงที่ควรลบ แต่นี่มันเป็นเสียงที่ไม่ยอมลบตัวเองออก 

ต้นพยักหน้า “ไว้ถามกรณ์อีกทีละกัน ว่าไอ้ช่วงเสียงประสานนี่มันต้องการอะไรแน่”

ตอนนี้เพลงยังค้างในอากาศ เสียงเมืองลอดหน้าต่างเข้ามาเป็นพื้นหลัง สกู๊ตเตอร์บีบแตรจากหน้าตึก แล้วตามด้วยคำสบถแบบกรุงเทพฯ และถึงแม้ในห้องซ้อมจะเต็มไปด้วยมุกตลก ก็มีบางอย่างเงียบกว่าเสียงซ้อมทั้งหมด

เสียงเมืองลอดเข้ามาเหมือนเดิม แต่ความเงียบในห้องซ้อมเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

ไม่ใช่แค่ความสงสัยว่าเสียงผู้หญิงนั่นคือใคร แต่เป็นความรู้สึกว่าเพลงนี้อาจไม่ใช่ของใครเลย… หรืออาจเป็นของใครบางคนที่เคยพยายามหายไปอย่างเงียบ ๆ แล้วไม่สำเร็จ 

Sponsored Ads

———————

ผลตอบรับ

เสียงโมเด็ม 56k ร้องโหยหวนอยู่เกือบนาทีเต็ม กว่าจะยอมให้ฉันเข้าอีเมลได้ Dynabook เครื่องใหม่ที่แพงกว่าค่าเช่าห้อง แต่ก็ยังเบากว่าลาเต้อยู่ดี  ที่ตอนนี้เขายึดแป้นพิมพ์ไปเรียบร้อยแล้ว หางพาดผ่านทัชแพดอย่างจงใจเหมือนเครื่องหมายวรรคตอนสายอาร์ต

กล่องจดหมาย: 1 ข้อความใหม่ 

หัวข้อจดหมาย: “แจ้งผลการพิจารณาเรื่องสั้น – วันที่ครอบครัวกลับบ้าน”

ไม่มีพลุ ไม่มีเสียงปรบมือ มีแต่ข้อความตัวดำบนพื้นขาว กับลายเซ็นที่ดูเหมือนถูกก๊อปมาจากฟอร์มภาษี ไม่มีคำว่า “ซาบซึ้ง” ไม่มี emoticon ไม่มีใครโทรมาแสดงความยินดีเหมือนฉากในหนัง ชัยชนะในโลกความจริงหน้าตาเหมือนกระดาษแผ่นเดียวที่พิมพ์ผิดฟอนต์ 

“เรียน คุณตะวันหลงทาง,
กองบรรณาธิการ วารสารเสียงระหว่างซอย ขอแจ้งให้ทราบว่าเรื่องสั้นของท่าน
“วันที่ครอบครัวกลับบ้าน” ได้รับคัดเลือกลงตีพิมพ์ประจำเดือนพฤษภาคม 2544
ทางกองฯ จะโอนค่าตอบแทน: 1,000 บาท ภายใน 7 วันทำการ
ขอแสดงความยินดีมา ณ โอกาสนี้ 
ด้วยความเคารพ
กองบรรณาธิการ วารสารเสียงระหว่างซอย”

ฉันหันไปมองลาเต้ เขาไม่สนจอเลยสักนิด ยืดตัวข้ามปุ่มลูกศร แล้วหาวออกมาอย่างกับจะเล่นละครเวที

มีแค่ตัวหนังสือไม่กี่บรรทัด ที่กระแทกลงในห้องเงียบ ๆ ที่เต็มไปด้วยต้นฉบับเก่าและสายชาร์จพันกันยุ่ง

“เห็นไหม เขาตีพิมพ์แล้วนะ ฉันพึมพำ 

ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีเสียงกริ๊งจากจักรวาล มีแต่ลมหายใจแมวที่ฟังดูน่าเชื่อถือกว่าทุกคำวิจารณ์ มันแค่หนึ่งพันบาท กับเรื่องที่ฉันเขียนตอนน้ำต้มมาม่าเดือดพอดี

ลาเต้ตอบกลับด้วยการกดทัชแพดด้วยอุ้งเท้า เปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมาโดยไม่ถาม ฉันก๊อปข้อความอีเมลไว้ใน text file สำหรับเป็นหลักฐาน 

พร้อมเขียนโน้ตลงในสมุดดิจิทัลของฉัน:

“29 เมษา 2001 – วันที่ครอบครัวกลับบ้าน: ตีพิมพ์, ไม่มีใครเปิดแชมเปญ, มีแต่แมวกับเสียงโมเด็ม”

ข้างนอกฝนพร่าเสียงมอเตอร์ไซค์ส่งของ ข้างใน ลาเต้ขยับตัวให้พอดีกับแป้นพิมพ์ กลายเป็นเจ้าของบัลลังก์ Dynabook ผู้ครองความสำเร็จที่แทบไม่มีใครอ่าน

เสียงโมเด็มหลุดการเชื่อมต่อแบบครางหงิง ๆ ฉันไม่กล้ากด forward อีเมลนี้ให้ใคร แต่ก็ไม่กล้าลบทิ้งเหมือนกัน  เลยเก็บมันไว้ในโฟลเดอร์ชื่อว่า “ไม่แย่นะ (แต่ยังไม่กล้าภูมิใจ)” ตามปกติแล้วชัยชนะจะได้รับการชื่นชมมากที่สุดในความเงียบและขนแมว

Sponsored Ads

———————

สิ่งที่กรณ์ไม่พูดออกมา

มือถือสั่นขณะฉันกำลังยกโมเด็มขึ้นสูงราวกับจะให้ศีลล้างบาปเข้าสู่ยุค DSL เสียงพี่ต้นทะลุลำโพงมาตรง ๆ แบบไม่มี buffer time ให้ใจเตรียมตัว 

“มึงยังไม่เปลี่ยนพัดลมอีกเหรอ?” 

น้ำเสียงเขาเหมือนแอมป์ที่ขัดสายไฟ กับซุปผงสี่ชนิดหลังซ้อม 

“หรือจะรอให้แมวมึงมันสปาร์คสายไฟจนกลายเป็นตำนานกลางห้องวะ?”

พี่ต้นไม่ได้รอให้ฉันตอบกลับ

“เฮ้ย มึงคิดเท่าไหร่รอบนี้ เพลง ‘ดึงดัน’ กูจะได้โอนให้!”

ฉันมองกระดาษคอร์ด ลาเต้เหยียดตัวทับตรงขอบ แถมตีปากกาทุกครั้งที่ฉันจะจดอะไรเพิ่ม

“เรตเดิมครับ” ฉันตอบ “ถ้าไม่มีใครกินข้าวได้เพราะจ่ายค่าเพลงผม ก็แบ่งมาม่าแทนแล้วกัน”

เสียงหัวเราะของเขาครึ่งจริงครึ่งประชด “แล้วเรื่องส่วนแบ่งมึงจะหักจากพวกกูเรตเดิมป่ะวะ?”

ฉันส่ายหน้า เขามองไม่เห็น แต่หวังว่าจะรู้สึกได้จากเสียงในสาย

“เดี๋ยวอันนั้นผมจะคุยกับคุณโอเองตอนพวกพี่อัดซิงเกิ้ล ผมไม่เอาจากวง เอาแค่ค่าแต่งแค่นี้พอ”

ปลายสายเงียบพอให้ฉันได้ยินเสียงแฟกซ์จากร้านข้างล่างลอยแทรกเข้ามา เงียบแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นระหว่างฉันกับพี่ต้น อาจเพราะคำตอบฉันมันไม่มีช่องให้เล่นมุกกลับ เสียงเงียบไปแป๊บนึง ก่อนที่เสียงถอนหายใจจะดังผ่านคลื่นจาง ๆ แบบจริงใจ 

“กูรักมึงว่ะ (แบบเพื่อนนะ)”

“ถ้าเก็บแพงกว่านี้ แมวผมมันจะเดินทับโน้ตทุกคืน” ผมสวน

แล้วลาเต้ก็ทำจริง ๆ พอดีเป๊ะ ฝ่าเท้าของเขาแปะตรงท่อนบริดจ์ได้ราวกับจงใจ

หลังจากวางสาย ฉันลองปรับคอร์ดใหม่ในหัว ตามเสียงที่จินตนาการว่า “เธอคนนั้น” อาจจะร้อง มัน “เกือบได้” แต่มันยังมีบางอย่างขาดหาย เหมือนมีช่องว่าง ที่รอเสียงจริงบางอย่างเติมเต็ม 

ฉันเปิดเดโม ฟังไลน์เปียโนวน ๆ แล้วปล่อยให้ลาเต้เป็นคนตัดสิน เขากระพริบตาช้า ๆ หาว แล้วเหยียบ space bar อย่างชำนาญ เพื่อลดความทะเยอทะยานของฉันลง taskbar ไปเรียบร้อย

ฉันไม่แน่ใจว่าเพลงมันไปถึงใครไหม แต่ฉันเริ่มแน่ใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่าถ้ามีใครฟังจริง มันคงไม่ใช่เพราะคอร์ดตรง อาจเพราะมันดูเหมือนคนที่พยายามพูดทั้งที่ไม่ถนัด 

บางทีงานของฉันอาจมีแค่นี้ เติมสิ่งที่มี ส่งให้ถึงที่ แล้วรอให้ใครสักคนกล้าพอจะฝันต่อ

Sponsored Ads

———————

ฝ้ายสู้เพื่อเสียงฟอลเซ็ตโต (และแพ้)

กฎข้อหนึ่งของวง: ถ้าต้องพึ่งคนนอก แสดงว่ามึงมีสปอนเซอร์กับเครื่องปรับอากาศ ที่นี่ ถ้าอยากได้เสียงประสาน ต้องแลกด้วยศักดิ์ศรีและเส้นเสียง

ต้นนับจังหวะ, บอลเคาะกลองจากลังเบียร์ที่มีรอยบุบสามด้าน, แดงขู่ว่าถ้าฝ้ายเบี้ยวอีก จะเล่นคอร์ดผิดให้ทุกท่อน

ฝ้ายไม่เคยเกลียดเสียงตัวเองเท่าตอนนี้ เธอขยับไมค์เหมือนอาวุธสงคราม แล้วเหล่ไปทางพัดลมที่เสียงดังพอ ๆ กับกลอง

กูยังไม่ตายใช่ไหม ถ้าร้องหลุดอีกที?” ฝ้ายกลืนน้ำลาย ยกไมค์ขึ้น แล้วพุ่งเสียงฟอลเซ็ตโตเข้าใส่ท่อนสูง

🎶 “โอ้ใจเอ๋ย ทำไมรักใครช่างง่ายดาย…” 🎶

เสียงพุ่งไปได้แค่ครึ่ง ก่อนจะดิ่งลงแบบนกชนกระจก วงพยายามกลั้นขำ…ล้มเหลวแบบหมดรูป

บอลว่า “เอาอีกทีฝ้าย! รอบนี้ทำเสียงให้เหมือนโดนแมวเหยียบคอ!”

แดงเติมไฟ “ถ้าฝ้ายร้องรอด กูจะกราบกลางห้องเลย!” 

ฝ้ายกลอกตา “พวกมึงร้องเองไหมล่ะ?” 

ต้นไหล่ตกแบบคนรับผิดชอบ “กูขอเป็นผู้ฟัง เชียร์มึงเต็มที่เหมือนกีฬาโอลิมปิก”

ลองครั้งที่สอง ฝ้ายพุ่งได้สูงกว่าเดิม ทุกคนตกใจมากบอลทำไม้หล่นลง

แดงแกล้งซับน้ำตา “น้ำตาจะไหล…เพราะหูดับ”

ไม่มีใครพูดถึง “นักร้องหญิงเสียงต้นฉบับ” ไม่ใช่เพราะลืม แต่เพราะทุกคนรู้ว่าบางอย่างในเสียงนั้น มันไม่เกี่ยวกับเทคนิค มันเกี่ยวกับความเจ็บที่ยังอัดอยู่ในไมค์  ฝ้ายไม่ได้พยายามจะชนะเสียงนั้น เธอแค่พยายามไม่หนี

ต้นว่า “ฝ้ายเอ็งนี่แหละ เสียงประสานมือหนึ่งของวง เพราะไม่มีมือสองให้เลือก!” 

บอลตบมือช้า ๆ ดัง ๆ “ซ้อมให้ครบสิบรอบ เดี๋ยวก็เวิร์ก…หรือไม่เวิร์กก็แล้วแต่กรรม”

ฝ้ายถอนหายใจ แล้วคว้าแผ่นเนื้อเพลงราวกับกำลังเซ็นใบลาออก 

แดงกระซิบข้าง ๆ “คืนนี้ขอให้ฝันดี…อย่าได้ยินเสียงประสาน ลอยเข้าหูตอนหลับ”

วงลองคอรัสอีกครั้ง ฝ้ายเพี้ยนในโน้ตสุดท้าย ทุกคนเฮเหมือนเพิ่งได้แกรมมี่

ไม่มีใครสน “ความสมบูรณ์แบบ” ทุกคนแค่ดีใจที่ฝ้ายยังไม่ฆ่าใคร

ตอนเก็บของ ต้นหันมายิ้มกว้าง “ฝ้าย ร้องเสียงประสานได้แบบนี้ เดี๋ยวเราดังแล้วจะซื้อพัดลมใหม่ให้” 

บอลเสริม “หรือเปลี่ยนวงใหม่ ให้ฝ้ายเป็นนักร้องนำแม่งเลย!”

เมืองข้างนอกเสียงดังพอจะกลบความเพี้ยน แต่ภายในทุกคนรู้ว่า ถ้าวงนี้รอด เสียงฟอลเซ็ตโตของฝ้ายจะกลายเป็นตำนาน พัดลมดูดควันจากร้านหมูย่างชั้นล่างทำงานพอดี ควันคลุ้งขึ้นบันได 

ฝ้ายยังร้องเพี้ยน แต่เพี้ยนแบบคนที่กล้าร้อง และในห้องซ้อมที่เสียงไม่เคยตรง แต่ใจไม่เคยหลบ มันก็พอจะเป็น “วง” ได้  บางทีตำนานไม่ได้เริ่มจากพรสวรรค์ แต่มาจากคนที่ยอมร้องซ้ำ ๆ แม้ไม่มีใครกล้าฟังรอบสอง

ฝ้ายโบกแผ่นเนื้อเพลงเหมือนธงขาว “ช่วยด้วย เสียงประสานวงนี้จะฆ่ากู!”

Sponsored Ads